บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 (1)

ในวันที่ขวัญข้าวต้องเดินทางไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อทำตามคำสั่งของกัปตันบารอน คือการไปรับเพื่อนรักของกัปตัน ที่ได้เดินทางมาร่วมงานแต่งงานของกัปตัน และก่อนถึงเวลานัดหมายในราวๆ สามชั่วโมง ขวัญข้าวก็ได้ไปรับกุญแจรถเบนซ์แบบเปิดประทุนมาจากกัปตันบารอน ที่ได้สั่งกำชับให้เธอใช้รถคันนี้ เพื่อให้ดูเหมาะสมกับฐานะของเพื่อนรัก เพื่อนตาย ที่ได้ส่งให้เธอไปรับถึงสนามบิน

ผู้ที่มีกุญแจรถสปอร์ตแบบเปิดประทุนสีขาวสะอาดอยู่ในมือ ได้ยิ้มร่าขณะก้าวเดินเร็วๆ ตรงไปยังโรงรถขนาดใหญ่ ที่มีรถหรูราคาแพงลิบจอดเรียงกันอยู่เป็นตับ พอเดินเข้าไปใกล้รถสปอร์ตที่เป็นเป้าหมาย ก็ได้เอ่ยพูดออกมาลอยๆ ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง โดยไม่รู้เลยว่าผู้เป็นลุงจอมเฮี้ยบได้เดินตามหลังตนเองมาติดๆ

“อยากรู้จริงๆ เลยนะว่ารถสปอร์ตคันนี้ จะเหยียบได้เร็วสูงสุดสักกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง”

“จะเหยียบได้เร็วแค่ไหนก็ช่างมัน แต่ลุงขอสั่งให้ขวัญข้าวขับได้เร็วที่สุดแค่ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น!”

น้ำเสียงของผู้เป็นลุง ที่สั่งออกมาด้วยน้ำเสียงดุๆ ติดห้วนอยู่เล็กน้อย ทำเอาขวัญข้าวสะดุ้งโหยง รีบหันขวับไปมองผู้ที่อยู่ข้างหลังตนเองอย่างรวดเร็ว พอได้เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพรัก ได้ยืนกอดอกตีหน้ายักษ์ใส่ ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ แล้วรีบเดินเข้าไปกอดผู้เป็นลุงไว้ พร้อมกับเอ่ยประจบประแจงและแก้ตัวไปพร้อมๆ กัน

“โธ่...ลุงจ๋า ลุงที่เคารพรักของขวัญข้าว คุณลุงอย่าเชื่อที่กัปตันพูดเมื่อวานเลยนะคะ ขวัญข้าวนะไม่เค๊ย ไม่เคย ขับรถเร็วเลยนะคะ”

“ไม่เคยน้อยนะสิ”

ผู้เป็นลุงเอ่ยค้านเสียงห้วนๆ พยายามตีหน้าบึ้งขึงตาดุๆ ใส่หลานสาวไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วขวัญข้าวจะไม่มีทางเชื่อฟังเขาเป็นอันขาด

“ลุงจ๋า เชื่อขวัญข้าวสักนิดนะ ขวัญข้าวเหยียบคันเร่งแค่พอเหมาะพอเจาะเท่านั้นเอง แต่รถสปอร์ตพวกนี้มันมีสมรรถนะสุดยอดสมกับราคาแพงลิบลิ่วของพวกมัน พอขวัญข้าวเหยียบคันเร่งแค่นิ๊ดเดียว มันก็แล่นฉิวไปฉลุย โดยที่ขวัญข้าวไม่ได้ทำอะไรเลย”

ขณะที่ผู้เป็นหลานสาวได้แก้ตัวอย่างไหลลื่น ไม่มีสะดุดแม้แต่นิดเดียว ผู้เป็นลุงก็ได้แต่ตีหน้ายักษ์ใส่ พร้อมกับทำเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอด้วยความโมโหเหลือกำลัง ที่หลานสาวตัวแสบนั้นไม่ค่อยจะเชื่อฟังคำสั่งของเขาสักเท่าไร

และก่อนที่ผู้เป็นลุงจะได้เอ่ยสั่งสอนหลานสาวต่อ ขวัญข้าวก็ยิ้มร่า เมื่อมองข้ามไหล่ของผู้เป็นลุงแล้วได้เห็นกองหนุนของตนเอง กำลังเดินยิ้มแป้นตรงมายังจุดที่เธอกับผู้เป็นลุงกำลังยืนโต้เถียงกันอยู่

พอคุณอาสุดหล่อทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ขวัญข้าวก็รีบเดินไปควงแขนคุณอาทั้งสองคนไว้ พร้อมกับยิ้มหวานเป็นการประจบเอาใจ พลางแอบยักคิ้วให้คุณอาทั้งสองเล็กน้อย ขณะได้เอ่ยขอร้องเสียงหวานหยด

“อามาร์คกับอาจอห์นนี่มาพอดีเลย มาช่วยกันยันยืนหน่อยสิคะว่าขวัญข้าวนะไม่เคยขับรถเร็วเลย”

“อืม...ไม่เคยมั้ง”

อามาร์คสุดหล่อเป็นคนแรกที่ได้เอ่ยตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่กี่นาทีต่อมาก็ต้องตีหน้าเหยเกสูดปากเบาๆ เมื่อถูกนิ้วเรียวยาวของหลานสาวคนสวยหยิกเข้าให้เต็มแรง

ขวัญข้าวเอียงใบหน้าหันไปยิ้มให้กับอามาร์ค ซึ่งเป็นรอยยิ้มพิฆาตที่ปากนั้นยิ้ม ทว่าดวงตากลมโตกลับถลึงใส่คุณอาสุดหล่อ พร้อมเค้นเสียงต่อว่าลอดไรฟันด้วยน้ำเสียงดุๆ

“อามาร์ค! จะฆ่าขวัญข้าวหรือยังไงคะ”

มาร์คหัวเราะร่วนออกมาทั้งๆ ที่เจ็บแปลบตรงต้นแขน ที่ถูกหลานสาวหยิกเสียเต็มแรง แต่ไม่ว่าจะถูกหลานสาวทำร้ายร่างกายมากเพียงใด เขาก็ยังคงเข้าข้างแม่สาวน้อยจอมแก่นเสมอ

“เชื่อที่ขวัญข้าวพูดเถอะลุกซ์ ขวัญข้าวขับรถไม่เร็วเท่าไรหรอกน่า”

“ผมก็ขอยันยืนอีกคน เพราะผมเคยนั่งรถกับสาวน้อยของเราแล้ว ขวัญข้าวนะขับรถช้า...มาก ขนาดว่าเต่ายังเรียกพี่เลย”

อาจอห์นนี่ทำตัวเป็นกองหนุนที่ดี ทั้งการันตี ทั้งยืนยันเสียงหนักแน่น ซึ่งคำพูดของเขาเรียกรอยยิ้มหวานหยดได้จากผู้เป็นหลานสาวทันที

“ให้คะแนนอาจอห์นนี่กับอามาร์คคนละคะแนนนะคะ”

ขวัญข้าวฉีกยิ้มแป้นขณะหันไปพูดกับอาจอห์นนี่ ที่รับพยักหน้ารับทันทีที่เธอได้เอ่ยพูดจบ

“ให้มันได้ยังงี้สิ”

ลุกซ์บ่นงึมงำ ได้แต่ถอนหายใจยาว ส่ายหน้าราวกับระอาหนักหนา เพราะทุกครั้งที่เขาเอ็ดหรือดุหลานสาวจอมยุ่ง ขวัญข้าวก็ขยันหากองหนุนและมีคนถือท้ายอยู่ร่ำไป จนทำเขาดุหรือต่อว่าขวัญข้าวไม่ได้เลย

“พวกนายได้ค่าจ้างเท่าไร ถึงได้กระโจนมาเป็นทนายหน้าหอให้กับขวัญข้าว”

ลุกซ์ผู้เป็นต้นหนเรือ ได้เห็นไปขึงตาใส่ พร้อมกับเค้นเสียงถามลูกน้องของตนเอง ที่ได้ยืนขนาบข้างร่างอรชรอ้อนแอ้นของขวัญข้าวอยู่

“ก็มีสนธิสัญญาตกลงกันบ้างเล็กๆ น้อยๆ” จอห์นนี่บอกครึ่งๆ กลางๆ พลางหันไปยักคิ้วให้กับขวัญข้าวอย่างรู้กัน

และเมื่อคุณอาจอห์นนี่ที่หล่อไม่เป็นรองอามาร์คได้เอ่ยตอบไปแล้ว อามาร์คก็ไม่รอช้ารีบเอ่ยตอบออกมาให้ลุกซ์ได้หมั่นไส้ จนร่ำๆ อยากจะประเคนหมัดให้สักสองสามหมัด

“สนธิสัญญาฉบับนี้รู้กันแค่สามคนเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว จริงไหมขวัญข้าว”

“หมั่นไส้จริงโว๊ย!”

ลุกซ์สบถออกมาเบาๆ ไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติ เขาจะลงโทษหรือเอาผิดหลานสาวจอมยุ่งได้หรือเปล่า เมื่อขวัญข้าวนั้นมีคนคอยให้ท้ายอยู่ตลอดเวลา แต่จะว่าไปแล้วที่เขาบ่นหรือทำท่าทีโมโหใส่ ก็หาใช่เพราะโกรธหลานสาวหรือโกรธมาร์คและจอห์นนี่ ตามที่ได้แสดงออกไปไม่ เพราะเขารู้ว่าคุณอาสุดหล่อทั้งสองนั้นทั้งรัก ทั้งห่วงหลานสาวคนนี้ยิ่งนัก แม้ขวัญข้าวจะไม่ใช่หลานแท้ๆ ของมาร์คและจอห์นนี่ แต่พวกเขาทั้งสองก็มอบความรัก ความเอ็นดูให้กับขวัญข้าวเฉกเช่นเดียวกันกับที่ตัวเขาได้มอบความรักให้หลานสาวคนนี้

จอห์นนี่กับมาร์คพากันหัวเราะร่วน ราวกับได้ยินเรื่องตลกขบขัน เมื่อผู้เป็นต้นหนเรือได้สถบออกมาเสียงดัง จากนั้นมาร์คก็ทำหน้าที่เป็นสุภาพบุรุษ โดยการเปิดประตูรถเบนซ์ให้กับหลานสาวเข้าไปนั่ง ส่วนจอห์นนี่ก็ไม่ลืมทำหน้าที่ของตนเองเช่นเดียวกัน เขาได้ผายมือพร้อมกับโค้งให้อย่างงดงาม ให้ขวัญข้าวได้ขึ้นไปนั่งในรถสปอร์ตเปิดประทุนแบบสี่ที่นั่ง พอร่างบอบบางของหลานสาวแสนสวยเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ปิดประตูรถให้ด้วยกริยาอันแสนนุ่มนวล

ซึ่งทุกกริยาที่คุณอาทั้งสองได้ทำลงไปนั้น ได้เพิ่มดีกรีของความหมั่นไส้ ให้กับผู้เป็นลุงของขวัญข้าวได้อีกหลายสิบเท่า

“เออ...เอาอกเอาใจกันเข้าไป”

ลุกซ์กระแทกเสียงต่อว่าผู้เป็นลูกน้องเรือเดอะ รอยัล อาดามัส และมีฐานะเป็นลูกน้องของตนเองด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นก็ได้เดินไปเกาะประตูรถ แล้วพยักพเยิดให้หลานสาวที่ได้สตาร์ทรถเตรียมออกเดินทาง ได้ดูที่หน้าปัดหรูหราของรถราคาแพง

“ขวัญข้าว บอกลุงทีซิว่ารถคันนี้ มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่กี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง”

ขวัญข้าวขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง ไม่เข้าใจว่าลุงลุกซ์จะถามเธอทำไมกัน ก็ในเมื่อตัวลุงเองก็มองเห็นอยู่โต้งๆ แล้วว่ารถเบนซ์แบบสปอร์ตคันนี้ มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

“เอ่อ...รถนี้วิ่งได้เร็วที่สุด ตามสมรรถนะของมันก็ในราวๆ 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมงค่ะคุณลุง ว่าแต่ลุงถามทำไมหรือคะ”

ขวัญข้าวเอ่ยตอบแบบพาซื่อ และตามที่ดวงตาของตนเองได้มองเห็น แต่ผู้เป็นลุงกลับถลึงตาจ้องมองเธอเขม็ง ก่อนจะย้ำถามในคำถามเดิมก่อนหน้านี้

“ตอบใหม่อีกทีสิขวัญข้าว พาเรลส์ ว่ารถคนนี้วิ่งได้เร็วสูงสุดกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง”

“แหม! เรียกซะเต็มยศ” ขวัญข้าวงึมงำพูดอยู่ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยตอบออกมา “ก็เห็นๆ อยู่แล้วนี่ค่ะว่า 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนะคะ”

เมื่อผู้เป็นลุงได้ย้ำถามในคำถามเดิม ขวัญข้าวก็ยังคงตอบในคำตอบเดิม ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังฟังชัด แถมยังมั่นใจว่าคำตอบของตัวเองนั้นต้องถูกต้องอย่างแน่นอน แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะก๊ากของอามาร์คกับอาจอห์นนี่ลอยมากระทบประสาทหู ก็หันไปมองคุณอาสุดหล่อทั้งสองคนอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเธอตอบผิดตรงไหน บรรดาคุณอาสุดหล่อถึงได้พากันหัวเราะร่วนจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด

ลุกซ์หันไปถลึงตาจ้องมองบรรดาคุณอาสุดหล่อทั้งสองของขวัญข้าวที่พากันหัวเราะร่วน เพราะทั้งสองคนนั้นเข้าใจความหมายในคำถามที่ตนเองได้ถามขวัญข้าวเป็นอย่างดี จากนั้นก็จะหันมามองหลานสาว แล้วเอ่ยถามในประโยคเดิมอีกครั้ง

“ขวัญข้าว! ดูให้ชัดๆ หน่อยสิว่ารถคันนี้วิ่งได้เร็วสูงสุดกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง”

“โธ่...ลุงลุกซ์!”

ขวัญข้าวโอดครวญ งุนงงจนเครื่องหมายคำถามวิ่งชนกันให้วุ่นไปหมด เมื่อผู้เป็นลุงได้แต่ย้ำถามในคำถามเดิมๆ ที่เธอได้ตอบไปแล้ว หญิงสาวหันไปมองที่หน้าปัดรถอีกครั้ง แต่ไม่ได้กวาดสายตามองผ่านๆ เหมือนครั้งแรก แต่คราวนี้ได้ก้มหน้าลงไปเกือบชิดกับหน้าปัดรถ เพื่อมองให้เห็นชัดๆ ว่าตัวเลขบนหน้าปัดรถเบนซ์คันนี้ ได้ระบุไว้ว่ารถวิ่งได้เร็วสูงสุดกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยยืนยันเป็นกระต่ายขาเดียวว่า

“จะให้ขวัญดูสักกี่ครั้ง ขวัญข้าวก็เห็นว่ารถคันนี้ มีตัวเลขบอกความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมงค่ะคุณลุงลุกซ์"

ลุกซ์ถอนหายใจเฮือกๆ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มไปบนหน้าปัดรถ พร้อมกับเอ่ยตอบหลานสาวด้วยน้ำเสียงดุๆ

“ใครบอก! รถคันนี้วิ่งได้สูงสุดแค่ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น ห้ามให้เข็มบนหน้าปัดรถวิ่งเลยตัวเลขที่ลุงได้จิ้มไว้เป็นอันขาด”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel