บทที่ 2 (1)
“ตายยากชะมัดเลยนะบารอน”
เป็นประโยคแรกที่เรนย์ได้ทักทายเพื่อนรัก หลังจากที่ได้กดรับสายแล้ว ซึ่งพอสิ้นคำพูดของเขา ก็ได้ยินเสียงของกัปตันหนุ่มหัวเราะร่วนพร้อมกับเอ่ยแซวมาตามสาย
“เป็นคำทักทายที่ใช้ได้เลยนะเรนย์ เจรามี่ ว่าแต่นายเห็นการ์ดแต่งงานของเราหรือยัง”
เรนย์ดึงการ์ดแต่งงานที่สร้างความงุนงงให้กับเขาได้เป็นอย่างมาก มาจากมือของพ่อบ้านเอ็ดเวิร์ด ก่อนจะยิงคำถามใส่กัปตันบารอนเสียชุดใหญ่
“เห็นแล้ว และตอนนี้เรากับเอ็ดเวิร์ดกำลังต้องการคำตอบว่าใครคือกัปตันอารอน ดี ทีสต์ และทำไมคุณนันท์นลินถึงได้ใช้นามสกุลของนาย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน แล้วนายกลับประเทศไทยตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่ส่งข่าวบอกเราด้วย และสุดท้ายคือ นายไปเจอคุณนันท์นลินได้ยังไงกัน ถ้ายังไงรบกวนคุณกัปตันบารอนตอบมาให้กระจ่างชัดทุกคำถามเลยนะครับ”
ปลายทางที่ได้โทรข้ามทวีปมาหาเจ้าของคฤหาสน์เดอะ บลู เฮ้าส์ ได้หัวเราะร่วนเสียงดังกว่ารอบแรก และแทนที่จะไขข้อสงสัย ทำให้เครื่องหมายคำถามได้จางหายไปจากใบหน้าของเพื่อนรักรวมทั้งพ่อบ้านเอ็ดเวิร์ด ที่ต่างก็ตั้งใจรอฟังคำตอบ กัปตันบารอนกลับเล่นลิ้นไม่ยอมตอบง่ายๆ
“ถ้าอยากได้คำตอบในทุกคำถามที่นายได้ถามมา นายจะต้องเดินทางมาฟังคำตอบที่ประเทศไทย”
“ไปแน่คุณกัปตัน” เรนย์สัพยอกกลับ ก่อนจะเอ่ยบอกเพื่อนรักต่อตามประสาคนใจร้อน
“เราจะตีตั๋วไปประเทศไทยในวันพรุ่งนี้เลย ถ้าไงก็เตรียมคำตอบไว้ตอบเราด้วย”
“ดีมากเรนย์ เพราะเราอยากให้นายมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เราด้วย”
น้ำเสียงของปลายทางที่ได้เอ่ยมาตามสายบ่งบอกถึงความยินดียิ่งนัก เมื่อได้ยินเจ้าของคฤหาสน์เดอะ บลู เฮ้าส์ บอกว่าจะเดินทางมาประเทศไทยในทันที
“ด้วยความยินดีเลยบารอน เราอยากพบนายมาก และอยากรู้ใจจะขาดแล้วว่าใครคือกัปตันอารอน ดี ทีสต์”
ขณะได้สนทนากับเพื่อนรัก เรนย์ก็ได้เดินลงจากระเบียงหน้าบ้าน ลงไปตามบันไดหินอ่อนที่ทอดยาวไปถึงหาดทรายขาวสะอาดอันเป็นอาณาจักรส่วนตัวของเขา ที่คนนอกไม่สามารถย่างกรายเข้ามาได้ หากไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน
“รีบมาเร็วๆ แล้วกันเรนย์ เพราะเรามีเซอร์ไพรส์หลายๆ เซอร์ไพรส์ จะมอบให้กับนายด้วย”
กัปตันบารอนช่างขยันสร้างเครื่องหมายคำถาม ให้เกิดบนใบหน้าของเรนย์ยิ่งนัก เพราะพอได้ยินกัปตันหนุ่มผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อนตาย ได้เอ่ยพูดมาเช่นนี้ เรนย์ก็ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่
“บารอน! นายอย่ากระตุ้นต่อมความอยากรู้ของเราให้พลุกพล่านสิวะ แค่นี้เราก็อยากรู้จวนจะคลั่งอยู่แล้ว”
“อืม...ถ้างั้นอีกสองวันค่อยเจอกัน แล้วเราจะส่งเพื่อนเจ้าสาวไปรอรับนายที่สนามบินด้วย”
กัปตันเรือผู้อาจหาญ เน้นหนักตรงคำว่าเพื่อนเจ้าสาวให้เรนย์ได้เอะใจเล่น
ทว่า...คนที่กำลังอยากรู้อยากฟังเกี่ยวกับชีวิตรักอันแสนวุ่นวายของกัปตันบารอน ดี ทีสต์ กลับไม่ได้สนใจฟังหรือรู้สึกเอะใจแม้แต่นิดเดียว
“เฮ้ย! ไม่ต้องส่งคนมารับ เดี๋ยวเราจะไปหานายเอง”
พอได้ยินเพื่อนรักบอกว่าจะส่งคนมารับ เรนย์ก็ได้ตะโกนคัดค้านเสียงหลง แต่ก็ไม่ทันการณ์แล้ว เพราะฝ่ายที่โทรมากได้กดตัดสายไปเสียแล้ว
“อ้าว! ไอ้กัปตัน! นึกจะวางสายก็กดวางเสียดื้อๆ เลยหรือว่ะ”
เรนย์บ่นอุบ เมื่อปลายทางได้กดวางสายหนีตนเองไปแล้ว เขาหันไปมองพ่อบ้านเอ็ดเวิร์ดที่กำลังก้าวเท้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็เอ่ยสั่งพ่อบ้านรัวเร็ว ตามประสาคนใจร้อน
“เอ็ดเวิร์ดเราจะเดินทางไปประเทศไทย นายจัดกระเป๋าเดินทางให้เราด้วย และก็จองตั๋วเครื่องบินเอาเที่ยวแรกของวันพรุ่งนี้เลย”
“ได้ครับคุณเรนย์”
พ่อบ้านเอ็ดเวิร์ดโค้งคำนับรับคำสั่ง แล้วหมุนตัวกลับทำท่าจะเดินออกไปจากบริเวณดังกล่าว แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหมุนตัวกลับมามองเจ้านายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะทำใจกล้าเอ่ยขออนุญาตออกมา
“คุณเรนย์ครับ เอ่อ...ผมขอไปเมืองไทยด้วยได้ไหมครับ”
เรนย์เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจกับการร้องขอของพ่อบ้านวัยดึก เพราะพ่อบ้านเอ็ดเวิร์ดเป็นคนที่เกลียดการเดินทาง และเบื่อที่จะนั่งเครื่องบินเป็นเวลานานหลายชั่วโมง แต่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ได้ขอเดินทางไปประเทศไทยด้วย ทำให้เขาออกจะแปลกใจอยู่มาก แต่กระนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา นอกจากจะเอ่ยอนุญาตให้อีกฝ่ายได้ยิ้นกว้างเพราะความดีใจ
“ได้สิเอ็ดเวิร์ด นายจัดการเรื่องตั๋วได้เลย นายจองชั้นเฟิร์สคลาสทั้งสองที่ ทั้งของนายและของเราเลย”
“ได้ครับคุณเรนย์”
พ่อบ้านเอ็ดเวิร์ดโค้งคำนับให้ผู้เป็นนายอีกครั้ง ก่อนจะรีบเร่งไปทำตามคำสั่ง พร้อมกันนั้นก็แย้มยิ้มกว้างด้วยความถูกใจ ที่เขาขอเจ้านายหนุ่มผู้หล่อเหลาเดินทางไปประเทศไทยด้วย เพราะมีลางสังหรณ์ คิ้วกระตุกอยู่ตลอดเวลาว่าผู้เป็นนายคงครองความเป็นโสดได้อีกไม่นาน
“สาธุ!!! ขอให้ลางสังหรณ์ของเราได้เป็นจริงด้วยเถอะ”
พ่อบ้านวัยเฒ่าได้เอ่ยออกมาคนเดียว ก่อนจะหัวเราะร่วนด้วยความถูกใจ ตั้งแต่อยู่รับใช้เจ้าของคฤหาสน์เดอะ บลู เฮ้าส์ มาเป็นเวลาช้านาน เขาไม่เคยรู้สึกเป็นสุขใจเช่นนี้มาก่อนเลย
พอพ่อบ้านผู้จงรักภักดีต่อตนเองเสมอ ได้เดินจากไปทำตามคำสั่งแล้ว เรนย์ก็ได้เดินเล่นทอดน่อง สดับรับฟังเสียงคลื่นลมที่ซาซัดโหมกระหน่ำใส่โขดหินต่อ อีกทั้งเดินรับกลิ่นอายของโอโซนอันแสนบริสุทธิ์ ไม่มีมลภาวะเป็นพิษมาเจอปน ซึ่งบรรยากาศอันแสนรื่นร่ม ภายในอาณาจักรเดอะ บลู เฮ้าส์ ที่กินพื้นที่หลายสิบไร่ ทำให้เขาไม่อยากออกไปเที่ยวเตร่ตามผับตามบาร์ เพราะแค่เพียงได้เดินทอดน่อง อยู่ในบริเวณคฤหาสน์ของตนเอง เขาก็เป็นสุขใจยิ่งแล้ว
เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้า ได้ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่บริเวณชายหาด จากนั้นก็หันหน้าเข้าหาคฤหาสน์หรูของตนเอง พอนึกถึงการ์ดแต่งงานมากมายก่ายกองที่ตนเองได้รับ นึกถึงวันที่ตนเองต้องไปเป็นเกียรติ ร่วมในวันพิธีการรับศีลล้างบาปของเล็กตัวน้อย ที่เป็นลูกของบรรดาเพื่อนๆ ของตนเอง ก็ทำให้ฉุกคิดถึงครอบครัวของตนเองขึ้นมาบ้าง และยิ่งได้ทอดสายตามองความใหญ่โตของคฤหาสน์เดอะ บลู เฮ้าส์ ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า ยิ่งทำให้รู้สึกว่าคฤหาสน์หลังนี้แม้จะงดงามน่าอยู่มากสักเพียงใด แต่มันก็ยังดูว้าเหว่ อ้างว้าง เงียบเหงา ราวกับว่ามันยังขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ซึ่งก่อนหน้านั้นเขายังคิดไม่ออกว่าคฤหาสน์เดอะ บลู เฮ้าส์ ขาดสิ่งใดไป แต่ในขณะนี้ เขาเริ่มฉุกคิดได้แล้วว่าอาณาจักรของเขามันเงียบเหงาก็เพราะขาดผู้เป็นนายหญิงนั่นเอง
‘คุณสมบัติเลิศเลอเพอร์เฟค เสียยิ่งกว่านางงามจักรวาล ผมคิดว่าคุณเรนย์คงได้เจอเข้าสักวันหรอกนะครับ’
เรนย์ฉุดคิดถึงคำพูดของพ่อบ้านวัยเฒ่า ที่ได้เอ่ยต่อว่าตนเองก่อนหน้านี้ เขายอมรับว่าที่ผ่านๆ มานั้นเขาเลือกเฟ้นบรรดาสาวๆ ที่จะคบด้วย ไม่ต่างจากการเลือกเฟ้นนางงาม หากมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน ไม่ตรงตามที่เขาต้องการ เขาก็ไม่สนใจที่จะคบหาด้วย และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เขาครองความเป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้ และดูท่าว่าจะครองความเป็นโสดไปจนถึงวันตายด้วยซ้ำไป เพราะชาตินี้เขาคงหาหญิงใด ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ต้องการไม่ได้อย่างแน่นอน
ประเทศไทย...
ภายในเกาะส่วนตัวในประเทศไทย อันเป็นอาณาจักรของกัปตันบารอน ดี ทีสต์ หนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เจ้าของบริษัทเดินเรือ The Royal Adamas Group (เดอะ รอยัล อาดามัส กรุ๊ป) เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย ทั้งในเรื่องสัพเพเหระ เรื่องสัปดน กระเซ้าเหย้าแหย่กันอย่างสนุกสนานครื้นเครง ของบรรดาลูกเรือวัยฉกรรจ์ ซึ่งล้วนเป็นลูกน้องของกัปตันบารอน ดี ทีสต์ ทั้งสิ้น
และภายใต้เสียงหัวเราะห้าวทุ้มของบรรดาผู้ใหญ่หน้าตาโหดเหี้ยม ทว่าจิตใจกลับใสสะอาดบริสุทธิ์ เป็นคนดีผิดกับรูปร่างหน้าตา ก็ได้มีเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากแหลมเล็กของกัปตันน้อยอารอน ดี ทีสต์ ซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ และบรรดาลูกเรือทุกคน รวมทั้งน้าสาวแสนสวยแก่นแก้วเป็นที่หนึ่ง ดังเล็ดลอดมาตามสายลมด้วย
“คุณหนูอารอน อย่ากัดนิ้วตัวเองสิคะ ถ้านิ้วขาดน้าข้าวไม่พาไปหาคุณหมอนะ”
เจ้าของนัยน์ตากลมโตดำขลับ ที่แทนชื่อตัวเองว่า ข้าว หรือที่บรรดาลูกเรือทุกๆ คนรู้จักกันดีในชื่อเต็มๆ ว่า ขวัญข้าว พาเรลส์ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อเมริกัน แต่ผิว
พรรณหน้าตาเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ จะออกมาทางมารดาซึ่งเป็นคนไทยเสียมากกว่า ได้พูดคุยหยอกล้อกับกัปตันน้อยอารอนด้วยความสนุกสนาน
ในขณะที่บรรดาลูกเรือ ที่ต่างก็เป็นพี่ป้าน้าอาของเธอ รวมทั้งลุงลุกซ์ พาเรลส์ ลุงแท้ๆ ของเธอต่างก็พากันวุ่นกับการจัดสถานที่แต่งงานของกัปตันบารอนกับคุณนันท์นลิน ซึ่งจะมีขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า สาวน้อยขวัญข้าวก็เลือกที่จะอยู่ดูแลกัปตันน้อยอารอนแทน
“คุณหนูอาร๊อน! น้าข้าวบอกว่าอย่ากัดนิ้วตัวเองยังล่ะไงค่ะ เอ๋...ทำไมไม่เชื่อฟังน้าข้าวเลย”
ขวัญข้าวแสร้งเอ็ดหลานตัวน้อย ที่ยังคงเอานิ้วป้อมๆ แหย่เข้าไปในปากของตัวเอง ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะกัปตันน้อยอารอน กำลังคันเหงือกคันฟันที่เริ่มโผล่มาได้สองสามซี และทำท่าว่าจะโผล่ขึ้นมาอีกซี โดยไม่คิดเชื่อฟังคำสั่งของน้าสาวแม้แต่นิดเดียว
“ไหน? น้าข้าวขอแหย่ปากดูหน่อยสิว่ามันสนุกแค่ไหน กัปตันน้อยของน้าข้าว ถึงได้ชอบเอานิ้วไปแหย่ในปากนัก”
ว่าแล้วก็ลองพิสูจน์ทำตามคำพูดของตัวเอง ด้วยการเอานิ้วเรียวยาว ลองแหย่เข้าไปในปากเล็กสีสดของกัปตันน้อยที่ตนเองนั้นรักปานดวงใจ และพอแหย่นิ้วเข้าไปครึ่งนิ้ว กัปตันน้อยอารอนที่รู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในปากของตนเอง ก็ได้งับฟันเล็กๆ ลงไปบนนิ้วเรียวยาวของน้าสาวเต็มแรง จนผู้เป็นน้าสาวถึงกับร้องจ๊ากเสียงหลงเลยทีเดียว
“โอ๊ย! คุณหนูอารอน น้าข้าวเจ็บนะ”
ขวัญข้าวร้องเสียวหลง ตีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บ ชักนิ้วมือออกมาจากปากน้อยสีสดแทบไม่ทัน เห็นฟันเล็กๆ ขึ้นมาแค่เพียงไม่กี่ซี แต่พอได้กัดแล้วก็กัดเจ็บชะมัดญาติ
“แกล้งน้าข้าวใช่ไหม แบบนี้ต้องเจอแก้แค้นคืนซะแล้ว”
ผู้เป็นน้าสาวแสร้งขู่ฟ่อ จากนั้นก็แกล้งงับต้นแขนป้อมๆ ขาวอวบของหลานรัก จนกัปตันน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความถูกอกถูกใจ และยิ่งหลานชายหัวเราะเสียงดังมากเพียงใด ขวัญข้าวยิ่งแกล้งมากเท่านั้น จนผู้เป็นมารดาของกัปตันอารอน ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กัน ต้องห้ามปราบออกมาเบาๆ
“ขวัญข้าว เพลาๆ หน่อย เดี๋ยวอารอนหัวเราะมากๆ จะหายใจไม่ทันนะ”
“ก็คุณหนูอารอนแกล้งขวัญข้าวนี่คะ ขวัญข้าวก็ต้องแกล้งคุณหนูคืนบ้าง เราสองคนจะได้เสมอภาคกัน”
ขวัญข้าวเอ่ยตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะหันไปเล่นกับหลานชายสุดที่รักต่อ
ส่วนนันท์นลินได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ ด้วยความระอา ทว่าแฝงไปด้วยความเอ็นดูในตัวสาวน้อยจอมดีเดือดบ้าบิ่น ที่ชื่อขวัญข้าว หญิงสาวรู้ว่าขวัญข้าวนั้นรักอารอนยิ่งนัก เพราะอีกฝ่ายได้อยู่ดูแลปกป้องอารอนตั้งแต่แรกเกิด จึงทำให้ขวัญข้าวรัก และเป็นห่วงอารอนปานดวงใจ
“พี่นลินเชิญแขกมาร่วมงานแต่งงานมากไหมคะ”
ขวัญข้าวหยุดแกล้งกัปตันน้อยไปครู่หนึ่ง เพียงเพื่อหันมาถามหญิงสาวผู้งดงาม ซึ่งได้นั่งทำของชำร่วย ไว้สำหรับแจกแขกเหรื่อที่มาร่วมงานในวันแต่งงาน ที่จะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า
“กัปตันคงเชิญไม่เยอะเท่าไรหรอก ส่วนมากจะเชิญเพื่อนที่สนิทจริงๆ เท่านั้น ซึ่งคงมีแค่ไม่กี่ราย”
นันท์นลินเอ่ยตอบโดยไม่ได้ละมือจากงานที่ทำอยู่ ของชำร่วยที่จะแจกในงานแต่งงาน ซึ่งจะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า หญิงสาวได้ทำขึ้นเองทั้งหมด เป็นการทำด้วยใจรักและตั้งใจมอบให้กับแขกเหรือที่มาร่วมงาน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีแขกคนสำคัญๆ ของผู้เป็นสามีแค่ไม่กี่สิบราย ส่วนแขกเหรื่อที่เหลือ ก็เป็นลูกเรือเดอะ รอยัล อาดามัส ซะส่วนใหญ่ ซึ่งงานเลี้ยงแต่งงานก็จะจัดแบบครอบครัวเป็นกันเอง ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนั้น ทว่าเน้นในเรื่องความรักเสริมกลิ่นอายแห่งความอบอุ่นให้กับคนในครอบครัวเสียมากกว่า
“ขวัญข้าวอยากให้ถึงวันแต่งงานของพี่นลินกับกัปตันเร็วๆ ขวัญข้าวอยากเห็นตอนที่กัปตันจูงมือพี่นลินลอดซุ้มประตูวิวาห์ บอกตามตรงเลยนะคะ แค่คิดถึงตอนนั้นขวัญข้าวก็อิจฉาพี่นลินจนตาร้อนผ่าวเลยล่ะค่ะ”