บทนำ 2 พิศวาสบัลลังก์ทราย
“ฝ่าบาท นางไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซาอิดกราบทูลเสียงแผ่วราวกับไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะเดินอิดเอื้อนไปหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งใกล้ตั่งใหญ่ที่ท่านชีคฟารีสเจ้านายเหนือหัวของตนกำลังนอนเอนกายพักผ่อนอยู่
“...อะไร...ใครไปไหน...หึม...ซาอิด...”
คนฟังเงยหน้าจากตารางงานบนเครื่องไอแพดรุ่นล่าสุดที่กำลังดูอยู่ขยับตัวยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ เห็นสีหน้าซีดเจื่อนของคนรายงานก็ยิ่งแปลกใจ
“เอ้อ...เชคก้าอาบิดาห์พ่ะย่ะค่ะ นางหายตัวไป”
ชายหนุ่มคิดคำนึงว่าทำไมต้องเป็นเขาที่ต้องนำเรื่องนี้มากราบทูล เพราะคนกราบทูลน่าจะเป็นคนในครอบครัวของนางมากกว่า แต่ท่านชีคคาลีฟะห์ทรงเรียกให้เขาเข้าเฝ้าและรับสั่งให้นำเรื่องมากราบทูลพระโอรส
“อ้าว!...อาบิดาห์หายตัวรึ...ไปไหนล่ะ”
คนรับสั่งถามหันกลับไปสนใจกับงานตรงหน้า รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่รู้สึกตื่นเต้นตกใจอะไรที่ว่าที่พระคู่หมั้นหายตัวไปก่อนเวลาเข้าพิธีหมั้นที่จะถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“คาดว่าจะไปฝรั่งเศสพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของคนกราบทูลจะยังสั่นเล็กน้อยจากอาการตื่นเต้นตกใจ นึกไม่ถึงว่า เชคก้าอาบิดาห์จะหนีการหมั้นไปก่อนพิธีไม่กี่ชั่วโมง เพราะงานนี้ได้จัดเตรียมกันมานานนับเดือน
“ไปกับใครล่ะ“ รับสั่งถามทั้งที่รู้และมั่นใจว่านางคงไปกับหนุ่มคู่รักคนหนึ่ง
“เอ้อ เห็นว่าตามคู่รักไปพ่ะย่ะค่ะ” กราบทูลหน้าเครียด รู้สึกขัดใจที่เห็นแค่การพยักหน้ารับรู้ของเจ้านาย
“ ท่านพ่อกับท่านน้าทาซิมว่าไงหรือ” รับสั่งโดยไม่ยอมละสายตาจากหน้าจอไอแพด
“ท่านชีคองค์ประมุขไม่ได้รับสั่งอะไรพ่ะย่ะคะ แต่ท่านชีคทาซิมท่าทางจะโกรธมาก เข้ากราบทูลแล้วก็ขอตัวไปตามพระธิดาที่สนามบิน”
“จะไปตามทำไม เสียเวลาเปล่า” น้ำเสียงเจือหัวเราะอย่างเห็นขัน
“ท่านชีคทาซิมคาดว่าจะทันเที่ยวบินที่นางไป“
แต่คนรับฟังไม่นึกขำด้วย เพราะเขาอุตส่าห์เอาใจช่วยท่านชีคทาซิมให้ได้พบเจอธิดาและนำตัวนางกลับมาเข้าพิธีที่เตรียมการเอาไว้เพียบพร้อมแล้ว
“แล้วทันไหมล่ะ“ เสียงรับสั่งเยาะ และยังมีเสียงหึเป็นเสียงหัวเราะลอดจากลำคอตามออกมาอีก
“เอ้อ...ไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ นางไม่ได้ขึ้นเครื่องไปฝรั่งเศสโดยตรง เครื่องบินออกไปก่อนหลายชั่วโมง”
คนกราบทูลสบตาคนฟังที่เงยหน้าขึ้นมอง พระเนตรทั้งสองส่องประกายพราวระยับเหมือนกับจะบอกเขาว่า...เห็นไหมล่ะฉันว่าแล้ว...
“แล้วท่านพ่อบอกหรือเปล่าว่าจะให้ทำยังไง“
“ทรงให้กระหม่อมมากราบทูลฝ่าบาท และให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัยเอง พ่ะย่ะค่ะ“
“อืม...ฉันก็ไม่ต้องไปเข้าพิธีแล้วสินะ“ ทรงวางเครื่องไอแพดลุกจากที่ประทับนั่งไปยืนมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างใช้ความคิด
“เอางี้...นายช่วยไปบอกคุณแม่นมฮาลีมะห์กับหัวหน้าพิธีการให้จัดหาพระญาติมาเข้าพิธีหมั้นแทนฉันที ดูเหมือนจะมีสองสามคู่ที่กำลังจะจัดพิธีแต่งงาน ให้มาทำพิธีหมั้นก่อน ส่วนเรื่องสินสอดของหมั้นก็เอาส่วนของฉันจัดแบ่งกระจายให้กันไปจะได้ไม่เสียงาน” ฟารีสรับสั่งโดยไม่หันกลับมามองเลขาคนสนิทที่กำลังกดคีย์บอร์ดบนไอแพดระรัว
“ฝ่าบาท...จะไม่...ไม่ตามนางกลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซาอิดอดทูลถามไม่ได้ เพราะปกติเจ้าชายฟารีส ไม่เคยยอมเสียพระพักตร์หรือต้องเสียอะไรให้ใครง่ายๆ และเขาก็รอรับคำบัญชาที่จะให้ออกติดตามหานาง
“จะตามกลับมาทำไมล่ะ การกระทำของนางก็บอกแล้วว่า ไม่ต้องการเข้าพิธีหมั้นกับฉัน แล้วฉันจะไปทำอะไรได้ นายรีบไปบอกสองคนนั่นให้ช่วยแก้ปัญหาเสียก่อนเถอะ อีกห้าหกชั่วโมงก็จะถึงกำหนดเวลาแล้วไม่ใช่รึ แล้วรีบกลับมานะ มาช่วยกันเตรียมเอกสารสักสองสามอย่าง เราจะเดินทางไปต่างประเทศกันบ่ายนี้เลย ฉันอยากจะไปดูงานที่สิงคโปร์สักหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปรีบมา”
ฟารีสยืนมองลงไปยังอุทยานอันสวยงามของตำหนักสวนกุหลาบที่พำนักอยู่ดูเหมือนวันนี้กุหลาบทุกดอกในสวนจะสวยสดใสมากกว่าทุกวันที่เคยเห็นมา เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรู้สึกเบาอกเบาใจเป็นอย่างไร ข่าวการหายตัวไปของอาบิดาห์ว่าที่พระคู่หมั้นไม่ได้ทำให้เขาเป็นทุกข์เดือดร้อนใจอะไรเลย แต่ควรจะเรียกได้ว่าเบาใจเสียด้วยซ้ำ
ถ้าจะถามว่าเขารู้สึกเสียดายนางไหม อาจจะพูดได้ว่าเสียดาย แต่ก็นิดหน่อย เพราะอาบิดาห์เป็นหญิงสาวสวยเซ็กซี่ที่งดงามบาดตาคนหนึ่ง ซึ่งเขาต้องยอมรับว่าชื่นชอบความสวยงามของใบหน้าและรูปร่างอวบอิ่มชวนถวิลหาของนาง แต่ไม่เคยประทับใจอะไรในตัวนางจนสามารถเรียกว่า ความรัก ได้ เขาจึงไม่ได้กระตือรือร้นจะเข้าพิธีหมั้นหมายกับนาง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
ส่วนตัวอาบิดาห์เองก็ดูเหมือนนางจะไม่ได้สนใจใยดีในตัวเขานัก เพราะมีข่าวการคบหาควงคู่กับหนุ่มต่างชาติมาให้ได้ยินอยู่เป็นบางครั้งบางคราว ที่บางแหล่งข่าวก็พอจะเชื่อถือได้ แต่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับข่าวของนางนัก จนบางครั้งซาอิดที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งองครักษ์และเลขาคนสนิทถามเขาตรงๆว่า ...จะไม่ทำอะไรบ้างหรือ...ซึ่งเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าหัวเราะขำกับอาการหงุดหงิดของซาอิดที่เดือดเนื้อร้อนใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
การหนีพิธีหมั้นไปอย่างกระทันหันของอาบิดาห์ เป็นการยืนยันกระแสข่าวลือที่ว่านางมีคู่รักอยู่แล้วเป็นจริง และหญิงสาวคงจะรักคู่รักคนนี้มากจึงได้ตัดสินใจหนีไปแบบนี้ เขาจึงไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองนาง ถ้าจะมีสิ่งใดที่เขาจะไม่พอใจก็น่าจะเป็นนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่น เพราะมีคนได้รับผลกระทบต่อการกระทำของนางในครั้งนี้หลายคน โดยเฉพาะพระบิดาพระมารดาที่เลี้ยงดูนางมาด้วยความรักและความปรารถนาดี และที่อาบิดาห์ไม่ยอมปฏิเสธเสียแต่ทีแรกว่าไม่ต้องการหมั้นหมาย หากนางปฏิเสธเสียแต่แรกก็จะได้ไม่มีพิธีหมั้นในวันนี้