บทที่ 4 พิศวาสบัลลังก์ทราย
“...แต่...นายหญิงเจ้าคะ...” มูนาชะงักคำพูด เหลือบไปเห็นร่างสูงเดินเงียบผ่านประตูเข้ามา จึงรีบยอบกายก้มหน้าลงทันที
“ไม่แต่ละจ้ะ ออกไปรอข้างนอก หรือจะไปทำอะไรก็ได้ ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว อยากอาบน้ำเอง”
วารดาห์กำลังเปิดตู้สำรวจดูข้าวของเครื่องใช้ ไม่ทันสังเกตกิริยาการยอบกายต่ำลงนั่งก้มหน้าของหญิงสาวที่อยู่ข้างหลัง แล้วมองไปยังอ่างล้างหน้าสะดุดตากับศิลปะงานอันประณีตด้วยลายดอกกุหลาบขนาดเล็กๆที่ทำจากโลหะสามกษัตริย์ที่ฝังตัวอยู่บนเนื้อเซรามิกสวยงามวิจิตร
“มูนากับจันนาออกไปก่อน ฉันจะดูแลนายหญิงเอง”
เสียงทุ้มกังวานของบุรุษเรียกความสนใจของผู้ที่กำลังมองชื่นชมอ่างล้างหน้าหันมองทางต้นเสียง และเห็นมูนาหมอบคลานผ่านแวบออกไป
“มูนา จันนา จะไปไหน“
วารดาห์ร้องเรียก ก่อนจะหันมามองคนตัวสูงที่ออกคำสั่งเต็มตา เมื่อได้เห็นใบหน้าชัดก็ชะงักตะลึงตาค้าง ตื่นเต้นจนหัวใจกระตุกเหมือนจะหยุดด้วยความตกใจ
“...เอ๊ะนี่...ท่าน...ท่านชีคฟารีส...“
เจ้าของเสียงหวานอุทานเรียกชื่อบุรุษหนุ่มรูปงามด้วยเสียงอันดัง จากสัญชาตญาณความหวาดระแวงพาให้เธอก้าวถอยห่างร่างสูงตระหง่านที่ต้องเงยแหงนมองประจันหน้ากันอยู่
แม้จะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แต่ดูยังไงก็ใช่ เพราะรูปร่างหน้าตาหล่อคมเข้มแบบนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากท่านชีคฟารีสมกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์โมห์ดาบีผู้เป็นหุ้นส่วนใหญ่และประธานใหญ่ของโรงแรมเอมิเรตส์-ไทยที่เพิ่งเดินทางกลับประเทศไปเมื่อคืนนี้ แล้วทำไมพระองค์ถึงมาอยู่ที่นี่
“ฝ่าบาท...มาทำอะไรที่นี่เพคะ”
เมื่อถามออกไปแล้วจึงคิดได้ว่าเขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพาตัวเธอมา และรอยแย้มสรวลที่เห็นแค่เป็นอาการบิดยกมุมพระโอษฐ์เพียงเล็กน้อยกับแววพระเนตรพราวระยับสามารถยืนยันแน่นอนว่าความคิดของเธอไม่ได้ผิดเพี้ยน
“ก็...มาดูทุกข์สุขของคนที่ฉันพามาน่ะสิ”
คำรับสั่งแบบกวนๆชวนโมโหได้ดีนัก เมื่อทรงเห็นผู้รับฟังยืนจ้องกลับมาด้วยแววสงสัยแปรเปลี่ยนเป็นแววโกรธขึ้งขึ้นทันที แต่ดวงตาสวยสุกใสวาววับราวกับเพชรเม็ดงามกลับทำให้เขาพึงพอใจ ผู้หญิงคนนี้สวยได้กระทั่งยามโกรธ โดยเฉพาะริมฝีปากอิ่มสวยสีแดงชาดที่กำลังเผยอค้างอย่างลืมตัวก็ยั่วยวนใจให้เกิดความต้องการจูบสัมผัสความอ่อนนุ่มจากกลีบปากสวยนั่น
“นี่ฝ่าบาทหรือเพคะ ให้คนพาตัวหม่อมฉันมา”
สมองไวของวารดาห์คิดตามและรับรู้ทันทีว่า เหตุการณ์ที่เธอถูกคนร้ายอุ้มขึ้นรถ ถูกโปะยาสลบ แล้วมาอยู่ที่นี่ ทั้งหมดเป็นการกระทำของบุรุษตรงหน้า
“ทำไมฝ่าบาทต้องทำถึงขนาดนี้ พาหม่อมฉันมาที่นี่ทำไมเพคะ” มองสบพระเนตรคมเฉียบจับจ้องมาก็เกิดอาการประหม่าอายจนผิวหน้าร้อนผ่าว
“ในสถานการณ์อย่างนี้ ฉันคงไม่ต้องบอกเธอหรอกนะว่า...พามาทำไม...”
เสียงรับสั่งราบเรียบต่างจากพระเนตรคมวาววามที่มองกราดจากใบหน้าหวานหวาดหวั่นละเรื่อยลงไปถึงปลายเท้าเปล่าเปลือย แล้ววกกับมาอ้อยอิ่งอยู่กับเนินอกสล้างที่เห็นวงป้านรำไรเพราะมีเพียงผ้าไหมเนื้อบางของชุดนอนปิดอยู่ และดูเหมือนเจ้าของจะรู้ตัวจึงยกแขนไขว้บังไว้
“มะ...หมายความว่าอะไร...นี่ฝ่าบาท...”
คำพูดของผู้หวั่นกลัวไม่ทันจบประโยค ก็ถูกคว้าข้อมือดึงร่างบอบบางเข้ากอดประชิด แม้เธอจะพยายามดิ้นรนผลักไสก็ดูจะไม่เป็นผล จึงร้องขอ
“ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ...ปล่อย...” หวั่นกลัวจนใจเต้นระรัวแรงแทบจะประทุออกมานอกอกเมื่อคิดว่าอยู่บนสวรรค์ก่อนหน้ากลายเป็นขุมนรกเสียแล้ว
“จะดิ้นไปทำไม ยังไงเธอก็ไปไหนไม่ได้หรอก ต้องอยู่กับฉันที่นี่”
ผู้รับสั่งขู่ก้มหน้าลงมาเกือบชิด มองพินิจใบหน้างามจับจ้องสบดวงตากลมสวยล้อมกรอบด้วยขนตาเป็นแพหนายาวงอนที่เบิกโพลงฉายแววหวาดหวั่น พลางแย้มสรวลพอใจกับผิวแก้มบางใสสีเข้มจัดขึ้นทันตา