บทที่ 2
รถยนต์สปอร์ตสุดหรูยี่ห้อลัมโบร์กินี เรเบนตัน สุดยอดยนตกรรมระดับโลก ราคาสูงลิบลิ่ว ใครไม่กระเป๋าหนักหรือหลงใหลในรถยนต์สปอร์ต อาจต้องมีเหงื่อตกกันบ้างหากต้องการครอบครองรถยนต์คันนี้
รถคันดังกล่าวแล่นมาจอดหน้าอาคารสูงสิบห้าชั้นชื่อว่า อาคารฟังโคเน่ สถานที่ตั้งของบิรษัทเครือข่ายโทรศัพท์และเจ้าของดาวเทียฟัลโคเน่ ดาวเทียมสื่อสารและโทรคมนาคม
ราฟาเอลโล ฟัคโคเน่ เจ้าของรถและเป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ก้าวลงมาจากรถคันหรู ก่อนที่เท้าจะนำพาร่างสูงใหญ่ของเขาก้าวเข้าไปในตัวอาคารที่มีพนักงานยืนรอรับกันเป็นแถว
พนักงานทั้งชายและหญิงต่างมองมายังประธานบริษัทคนใหม่เป็นตาเดียว และแต่ละสายตาก็มีความตื่นตะลึงแฝงอยู่ เพราะไม่คิดว่าราฟาเอลโลจะรูปงามอย่างไร้ที่ติ หล่อสมกับคำร่ำลือ รูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม บึกบึนสมกับเป็นชายชาตรี ความหล่อที่มากเหลือประมาณสะกิดหัวใจสาวหลายคนให้เต้นระส่ำ แอบกรีดร้องในอก แล้วหลายคนปรารถนาจะได้อิงแอบกับอกกว้างที่น่าจะอบอุ่นไม่น้อยหากมีโอกาสได้แนบซบ
ดวงตาคมกริบของราฟาเองโลที่ไม่ต่างกับสายตาของพญาเหยี่ยวดุจดังชื่อสกุล เขามองปราดไปยังเหล่าพนักงานชายและหญิงที่มายืนรอต้อนรับ เขาส่งยิ้มบางๆ ให้พนักงานเหล่านั้นอย่างเป็นมิตร ไม่ให้ทุกคนคิดว่าเขาถือตัวหรือเย่อหยิ่ง เขาจริงจังกับงานก็จริง แต่บางครั้งก็รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา เพื่อไม่ให้งานเกิดความตึงเครียด
ระหว่างที่เจ้าของบริษัทกวาดตามองพนักงาน ดวงตาคมกล้าชะงักกึกกับสตรีนางหนึ่งที่ยืนปะปนกับพนักงานทั้งหลาย เธอมีความงามไม่ต่างกับผู้หญิงที่เขาเคยเห็น แต่ทว่าเธอทำให้เขาเกิดความรู้สึกสะดุดตาสะดุดใจได้อย่างชะงักงัน ที่สำคัญเธอโดดเด่นกว่าหญิงสาวทุกคนในที่นี้
เส้นผมดำสลวยเป็นลอนคลื่นเล็กน้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคมซึ้งชวนให้สบมอง ดวงหน้าเรียวรูปไข่ของเธองดงามไร้ที่ติ สวยหวานมองเท่าไหร่ไม่มีเบื่อ รอยยิ้มกระจ่างเต็มดวงหน้าผุดผาดยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับเธอมากขึ้น มากจนเขาไม่อยากละสายตา ทว่าเสียงของใครคนหนึ่งดึงความสนใจจากเธอคนนั้น ทำให้เขาจำต้องหันมามองต้นเสียงอย่างแสนเสียดาย
“สวัสดีครับคุณราฟาเอลโล ผมคริสเตียน...”
คริสเตียนผู้จัดการใหญ่ประจำบริษัทยังไม่ทันจะแนะนำตัวเสร็จดี เสียงใหญ่ทุ้มแฝงไว้ซึ่งพลังอำนาจก็พูดขัดขึ้น
“เรื่องแนะนำตัวเอาไว้ก่อนดีกว่านะครับคุณคริสเตียน ผมอยากรู้เรื่องการประมูลเครือข่ายมากกว่า”
อันที่จริงแล้ว ก่อนที่จะเข้ามาทำงานในบริษัท เขาได้ศึกษาตำแหน่งระดับผู้บริหารว่าใครดำรงตำแหน่งไหน และมีนิสัยอย่างไรมาบ้างแล้ว ฉะนั้นเวลานี้คงไม่มีอะไรสำคัญเท่างานใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้า
“ครับคุณราฟาเอลโล”
คริสเตียนพูดอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะเดินเคียงคู่เจ้าของบริษัทคนใหม่ไปยังลิฟต์ส่วนตัว ที่พาเขาและเจ้านายใหญ่ทะยานขึ้นสู่ชั้นบนสุดของอาคาร โดยมีสายตาเพ้อฝันของพนักงานสาวหลายคนมองตามร่างสูงหนาของราฟาเอลโลไปจนสุดสายตา
หลังจากที่ประตูลิฟต์ปิดเสียงเซ็งแซ่ของพนัพงานสาวหลายคนก็ส่งเสียงดังไม่หยุด เธอทั้งหลายต่างพากันพร่ำชมประธานหนุ่มหล่อไฟแรงท่าทางทรงภูมิ สมาร์ต และเท่ระเบิดของเขา หนึ่งในเสียงเซ็งแซ่นั้นคือ เอมิลี่
“เกรซ ท่านประธานของเราหน้าตาหล่ออย่างกับเทพบุตรแน่ะ หล่อมากๆ หล่อที่สุดเลย”
เอมิลี่กล่าวชื่นชมเจ้านายหนุ่มกับเกตุกัญญาเพื่อนสนิท
“ใช่หล่อที่สุด หล่อขั้นเทพเลยด้วย”
วิเวียนเพื่อนร่วมงานที่ยืนติดกับผู้พูด พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ เธอสนับสนุนคำพูดนั้นทันควัน
“หล่อแบบนี้จะมีแฟนรึยังนะ อยากรู้จัง” เอมิลี่เอ่ยขึ้นอีกรอบ
“เธออยากรู้ไปทำไมเอ็มมี่ เธอมีสามีแล้วนะ เพราะฉะนั้นหมดสิทธิ์” วิเวียนสวนกลับ
“ฉันยังไม่ได้พูดเลยว่าอยากได้คุณราฟาเอลโลมาเป็นสามี ฉันแค่ถามลอยๆ เพราะอยากรู้เท่านั้น”
เอมิลี่ไม่มีความคิดตามที่วิเวียนกล่าวหาเลยแม้แต่น้อย นึกขุ่นใจกับคำพูดของเพื่อนร่วมงานที่ปากไม่มีหูรูดขึ้นมาตงิดๆ
“แต่ฉันว่ายังไม่มีนะ” เสียงหวานใสของเกตุกัญญาแทรกขึ้น
“เธอรู้ได้ไงเกรซ” คนถามคือวิเวียน
“นั่นสิ เธอรู้ได้ยังไง” เอมิลี่สงสัยร่วมด้วย
“ไม่รู้สิ ฉันพูดตามความรู้สึกของฉันน่ะ”
เกตุกัญญาเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าตนเองรู้ได้อย่างไร รู้เพียงว่าช่วงวินาทีหนึ่งที่นัยนต์ตาของตนสบสายตาเจ้านายหนุ่ม วูบแรกเธอร้อนผ่าวไปทั้งกาย ใจเต้นแรงและถี่รัวประหนึ่งมีคนมาตีกลองชุดในหัวใจ แต่ทว่าเกตุกัญญาก็มิได้หลบสายตาคู่นั้น ราวกับว่ามีแรงดึดูมหาศาลให้เธอมองลึกไปยังนัยน์ตาคู่นั้น และความรู้สึกหลายยอย่างก็ประดังเข้ามาในห้วงความรู้สึกของตน ทั้งความเศร้า ความเหงาและเปล่าเปลี่ยวซุกซ่อนแฝงในนัยน์ตาคมกริบ เป็นความรู้สึกที่เกตุกัญญาสัมผัสได้มากกว่าใครในโลก ราวกับว่าราฟาเอลโลเปิดเผยความรู้สึกให้เธอได้รับรู้เพียงคนเดียว
“แหม นึกว่าจะรู้ลึกรู้จริงซะอีก ที่แท้ก็หมอเดา” วิเวียนพูดกระแนะกระแหนใส่
“ฉันไม่ใช่หมอดูหรือหมอเดา อย่างที่ฉันพูดไป ฉันพูดตามความรู้สึกของฉัน เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจเธอ ฉันบังคับให้เธอเชื่อไม่ได้หรอก ของอย่างนี้ต้องวิเคาระห์เอง”
เกตุกัญญาไม่ได้พูดแก้ตัว เธอพูดตามความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกบอกอย่างไร เธอก็ว่าไปตามนั้น
“ใช่ เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของเธอนะวิเวียน แต่อย่ามาว่ากระแทกเพื่อนของฉัน ไม่อย่างนั้นฝ่ามือของฉันจะไปกระแทกหน้าเธอบ้าง” เอมิลี่พูดอย่างเอาเรื่อง สมกับเป็นสาวห้าวใจร้อน
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แค่พูดไปอย่างนั้นเอง” วิเวียนแก้ตัว ล่าถอยเพราะกลัวฝ่ามือพิฆาตของเอมิลี่ที่หนักกว่าก้อนหินเสียอีก ที่รู้เพราะครั้งหนึ่งเอมิลี่เคยมีเรื่องตบตีกับเพื่อนร่วมงานที่ถูกตบจนแก้มบวม แต่โชคดีที่เจ้านายไม่รู้จึงไม่มีใครถูกไล่ออกฐานทะเลาะวิวาทในที่ทำงาน เอมิลี่จึงถูกขนานนามว่า ฝ่ามือพิฆาต “ฉันไปทำงานดีกว่า”
ก่อนที่ผู้พูดจะเดินห่างออกไปทันที
“โธ่ ไม่แน่จริงนี่หว่า” เอมิลี่โวยวายไล่หลังวิเวียนที่เดินห่างออกไปไม่หันมามองเจ้าของเสียงด้วยซ้ำ
“ช่างเขาเถอะ ทำงานร่วมกันมาตั้งนานไม่รู้นิสัยวิเวียนหรือไง” เกตุกัญญาออกโรงห้าม
“รู้ แต่มันหมั่นไส้นี่นา ” เอมิลี่กระแทกเสียงตอบ “ว่าแต่เธอรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
“อืมจริงสิ”เกตุกัญญาตอบ “ฉันรู้สึกว่า คุณราฟาเอลโลเป็นคนน่าสงสาร แต่ไม่รู้ว่าน่าสงสารเรื่องอะไร”
“คุณราฟาเอลโลเนี่ยนะน่าสงสาร ฉันว่าน่าอิจฉามากกว่า ทั้งหล่อ รวย สมาร์ต โก้หรูขนาดนี้ จะน่าสงสารตรงไหน” เอมิลี่โต้กลับเพื่อน เพราะเธอมองไม่เห็นความน่าสงสารของราฟาเอลแม้แต่นิดเดียว
“ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”
เกตุกัญญายังเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเอง เธอมีความมั่นใจเกินร้อยว่า ราฟาเอลโลเป็นคนที่น่าสงสารมากๆ แต่ไม่รู้ว่าด้วยเรื่องอันใดและเกตุกัญญามีความรู้สึกว่า สักวันหนึ่งเธอจะเป็นคนรู้ความน่าสงสารของเขา