Ep 2 คฤหาสน์วัชระเมธาวิน
คฤหาสน์วชระเมธาวิน
เช้านี้กับอากาศที่แสนสดชื่นเพราะฝนที่พึ่งจะหยุดตกไปหมาดๆ เหล่านกกระจิบนกกระจอกต่างส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ เพราะคฤหาสน์หรูแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พื้นที่บ้านเป็นลานกว้างๆ มีแม่น้ำอยู่ทางด้านหลัง ซึ่งติดกับสวนขนาดเท่าๆ กับสนามฟุตบอลของโรงเรียนใหญ่ๆ ติดกันถึง 4 สนามเห็นจะได้ บริเวณท้ายบ้านยังมีสนามกอล์ฟอีกกว่า 10 ไร่ของผู้เป็นสามีที่เอาไว้พบปะกับเพื่อนฝูงเวลามีงาน
8:00 น. ของทุกเช้าจะเป็นเวลาของการเริ่มทำงานของคนร่างเล็ก และเธอจะเลิกงานในทุกๆ 2 ทุ่มของทุกวัน การทำงานก็แค่ใส่เสื้อผ้าสบายๆ แต่งตัวให้มิดชิด จริงๆ แล้วคุณหญิงไม่ได้อะไรกับเรื่องพวกนี้มากหรอก เธอเป็นคนหัวสมัยใหม่ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในชุดยูนิฟอร์ม เธอเน้นเรียบง่าย สบายๆ และเอาที่เราสะดวก
วันนี้ร่างเล็กของรมิตา ที่อยู่ในชุดมินิเดรสทรงเรียบสีชมพูอ่อน ยาวเลยเข่าไปคืบหนึ่ง มันช่างเข้ากับบุคลิกอ่อนหวานของเธอเสียจริง มืออีกข้างถืออุปกรณ์พยาบาล ส่วนอีกข้างกำลังเช็คตารางงานของวันนี้
“คุณคนสวยคะ ทางนี้ค่ะ”
วันนี้เป็นวันเสาร์ ซึ่งถุงแป้งไม่ได้ไปโรงเรียน เธอเป็นคนพาคุณคนสวยไปยังอีกฝั่งของตัวบ้าน กว่าจะเดินถึงก็เล่นเอาหอบกันเลยทีเดียว แค่เวลาเดินมาถึงที่นี่ก็กินเวลาราวๆ 5 นาทีเห็นจะได้ พื้นที่นี้ดูไม่ค่อยมีใครพลุกพล่านสักเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่คนใช้ คนรถ และแม่บ้านที่นี่ก็อยู่ราวๆ 10 กว่าคน แต่เจ้าหล่อนก็สังเกตอีกว่า พื้นที่แถวนี้ไม่ค่อยมีใครเข้ามา นอกจากจะเป็นช่วงเวลาอาหาร ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้เป็นมารดาอย่างคุณนายฉวี และก็มีปราณีมาสลับบ้างประปราย เขาคงอยากให้ลูกชายพักผ่อนอย่างเป็นส่วนตัว
เพราะนอกจากสองคนนี้แล้ว ร่างใหญ่จะแอนตี้ และไม่เอาใครเลยแม้สักคน อ้อ ยังเหลือเว้นไว้อีกหนึ่งคนคือคุณลลิล แต่รายนั้น นานๆ จะมาเยี่ยมหาเขาที ซึ่งนี่นี้เอง ที่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ร่างสูงอย่างเขามีอาการฉุนเฉียว อารมณ์แปรปรวน เพราะอาการป่วยของตนที่ทำอะไรไม่ได้
จริงๆ แล้วภาคินได้คิวผ่าตัดตาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อขาที่อเมริกา แต่คิวทั้งสองยังไม่ลงล็อคตรงกัน มารดาเห็นว่าถ้าจะไปก็แยกทำทีละคิว แต่เป็นคนร่างสูงเองนั่นแหละที่เรื่องมาก เขาอยากบินไปทำทีเดียวแบบจบๆ จะได้ไม่ต้องคอยบินมาบินไปหลายทีให้วุ่นวาย ซึ่งนั่นก็ทำให้คิวในการผ่าตัดทั้งสองเคสเร็วสุดก็เป็นปลายปีหน้า
เมื่อถุงแป้งมาถึงหน้าห้องใหญ่ ประตูสูงราวกับประตูโขงวัดก็ไม่ปาน บานไม้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรศิลป์ ก่อนที่มือเรียวสวยของถุงแป้งจะเคาะแจ้งผู้ที่เป็นเจ้าของห้องก่อนจะเปิดเข้าไป
ก๊อกๆ
“คุณภาคินคะ ขออนุญาตให้คุณพยาบาลคนใหม่เข้าไปนะคะ”
สิ้นเสียงหวานของเด็กสาววัย 17 แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ ตอบกลับมาทั้งสิ้น ก่อนที่ถุงแป้งจะยื่นหน้าและทำปากบึน บอกกับรมิตาว่า นู่น คนที่คุณคนสวยจะต้องดูแล เขานั่งหันหลังอยู่ตรงนู้น
เอี้ยด…
มือบางผลักประตูเข้าไปอีกครั้งเพื่อที่ร่างเล็กของเจ้าหล่อนจะได้เข้าออกสะดวกมากยิ่งขึ้น และแล้วร่างบางของเธอก็ต้องชะงัก เพราะตอนนี้ถุงแป้งนอกจากจะไม่เดินตามมาแล้ว เธอกลับทิ้งเจ้าหล่อนหนีลงไปข้างล่างเอาเสียดื้อๆ
“สวัสดีค่ะ ดิฉัน…”
ยังไม่ทันที่คนตัวเล็กจะพูดแนะนำตัวจบ แต่ปากหนาของคนตัวสูงราว 190 เซนติเมตรก็ดันโพล่งสวนขึ้นมาก่อน
“รู้แล้ว พยาบาลพิเศษ! ครั้งนี้กะจะอยู่สักกี่วันกันล่ะ”
พูดเสร็จปากหนาก็เอาแต่หัวเราะหึในลำคอ ตรงกันข้ามกับร่างเล็กบางที่ตอนนี้เธอแทบจะไม่อยากเชื่อหูของตนเอง เธอคุ้นเสียงนี้ของเขา เธอจดจำเสียงนี้ได้ เสียงที่คุ้นเคย เสียงที่รอมานาน เธอไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจู่ๆ จะได้มาเจอกับเขาอีก ผู้มีพระคุณของหล่อน คนที่ช่วยชีวิตของเธอไว้ ร่างบางค่อยๆ วางกล่องพยาบาล ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหากันแล้วกุมบีบกันเอาไว้แน่น
หัวใจที่พองโตกับภาพผู้ชายตรงหน้า ตอนนี้เขานั่งวีลแชร์สีขาวตัวหรูสั่งทำขึ้นพิเศษจากอเมริกา ด้านหลังของเขา… นี่… มันใช่แน่ๆ ใช่เขาแน่ๆ แววตาของเจ้าหล่อนสั่นระริกน้อยๆ เธอสงสารคนที่อยู่ตรงหน้าจับใจ ผู้ชายที่เคยเพียบพร้อม ตอนนี้เขาคงต้องทุกข์ทนทรมานมากกับสภาพที่ตามองไม่เห็น ซ้ำร้ายยังเดินไม่ได้ จู่ๆ น้ำตาก็คอลพาลแต่จะไหลออกมาเสียให้ได้
ด้วยวิชาชีพพยาบาลขั้นสูงของเธอ คนตัวเล็กรู้ดีว่าอารมณ์ที่แปรปรวนของเขามันเกี่ยวกับฮอร์โมนโดยตรง แต่แล้วความคิดนั่นก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อจู่ๆ ก็มีเจ้ารีโมทลอยฟ้ามาทางนี้เอาเสียดื้อๆ
“เคว้ง”
“ออกไป”
เสียงดุเข้มอย่างไม่พอใจไล่ร่างบาง
ไล่แค่ปากไม่พอ แต่มือหนาของเขานี่สิ คว้าอะไรมาได้ก็คว้าปาซะกระจุยกระจายเกลื่อนพื้นไปหมด
ทางด้านถุงแป้งที่คอยดูสถานการณ์อยู่ข้างล่าง ก็เอาแต่เบ้หน้า และสะดุ้งเป็นพักๆ กับเสียงดังสนั่นลั่นห้องที่ได้ยิน เธอเจอกับเหตุการณ์นี้เป็นประจำ แต่ก็ยังไม่คุ้นชินอยู่ดี
“คุณคนสวยจะอยู่รอดถึงวันไหมวะเนี่ย”
เด็กสาววัย 17 ถึงกับต้องอุทานออกมา
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ!”
เสียงใสของใครบางคนลอยมา ทำเอาคนร่างโตหยุดชะงักไปชั่วครู่ ใบหน้าที่สงสัยราวกับคนคิดอะไรไม่ออก ก่อนที่เขาจะคว้าได้ไม้กอล์ฟและเอี้ยวตัวชี้หันมายังเธอ
คราวนี้คนตัวเล็กรีบวิ่งไปหลบตรงมุมตู้ของอีกฝั่ง ใจของเธอมันเต้นแรงตึกตักแทบไม่เป็นท่า นี่ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ ถ้าคิดจะฟาดหรือเขวี้ยงมันมาทางนี้จริงๆ คนตัวเล็กแบบเธอมีหวังได้เละเป็นโจ๊กอย่างแน่ๆ
ร่างเล็กยืนตัวสั่นไม่ขยับ เธอนิ่งอยู่ราวๆ 10 นาทีเห็นจะได้ มันเมื่อย มันเกร็ง มันบอกไม่ถูก รู้แต่ว่ามันเหนื่อยไปหมด เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเห็นว่าเขาวางไม้กอล์ฟลงไว้ด้านข้างแล้ว เพราะคงคิดว่าเจ้าหล่อนออกไป ตอนนี้แหละร่างเล็กถึงค่อยๆ ก้าวอย่างเบาฝีเท้าอย่างที่สุด ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือมาหยิบไม้กอล์ฟด้านข้างของคนร่างสูงนั่น เธอคิดว่าเขาคงไม่รู้ ก็ตามองไม่เห็นนี่นา แต่ทันใดนั้นเอง มือหนาก็มาคว้าหมับเข้าที่แขนน้อยๆ ของเจ้าหล่อนจนได้
พล้วด…
หมับ…
“โอ้ย!! ตาเจ็บนะคะ!”
ทันทีที่ร่างหนาได้ยินเสียงนี่ใกล้ๆ ไหนจะชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ใบหน้าหล่อเข้มที่ตอนนี้คิ้วขมวดเลิกสูง มันยู่เข้าหากันเล็กน้อย ไหนจะกลิ่นน้ำหอมจางๆ จากคนข้างหน้านี่ มันช่างกวนใจเขาอย่างบอกไม่ถูก
“ใส่น้ำหอมบ้าอะไรมา มันเหม็น ไม่ชอบ”
เธอได้ใส่เสียที่ไหนกันเล่า นั่นมันกลิ่นแป้งเด็กจางๆ ที่เธอทาต่างหาก ด้วยวิชาชีพของเธอ ทำให้เจ้าหล่อนรู้ว่าการใส่น้ำหอมกลิ่นฉุนมันมีผลต่อการทำงาน และบางรายอาจจะไปรบกวนผู้ป่วยได้
และในนาทีนี้นี่เอง ที่คนตัวเล็กต่างได้ลอบสำรวจความหล่อเข้มในฉบับของเขาอีกรอบ เพราะหล่อนใกล้ชิดเขาชนิดที่ว่า.. มันใกล้มากชนิดที่ทำเอาลมหายใจติดขัดเลยก็ว่าได้
นี่ผ่านมานานกี่ปีแล้วนะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะราวๆ 5 ปีได้ เขาแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย ถ้าไม่บอกว่าตามองไม่เห็น เธอก็คงจะเชื่อสนิทใจเสียด้วยซ้ำ ทุกอย่างของเขามันดูปกติ และตอนนี้ระยะความใกล้ชิดที่มากขนาดแค่เอื้อม
เสียงเต้นของหัวใจเจ้าหล่อนทำเอาร่างสูงอย่างเขา ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะนั่งอยู่วีลแชร์ แต่ก็สูงเกือบๆ จะเท่าเจ้าหล่อน หูของคนตัวโต มันใกล้หัวใจของคนตัวเล็กเพียงแค่เอื้อม ทำให้เขาได้ยินทุกจังหวะของเสียงหัวใจ
“นี่ตื่นเต้นเพราะกลัว หรือเพราะว่าได้ใกล้ชิดฉัน?”
จู่ๆ ปากหนาหยักได้รูปก็เอ่ยขึ้นมาดื้อๆ ซ้ำมือยังคงบีบ
แขนของเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ตอนนี้เขามองไม่เห็น และก็น่าจะจำเธอไม่ได้ เขาน่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นใคร แม้เหตุการณ์ในคราวนั้น มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบห้าวันที่ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกัน แต่ก็นั่นแหละ ความประทับใจแรกกับสิ่งที่เขายื่นให้มันทำให้เธอตราตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ดูเขาตอนนี้สิ เกรี้ยวกราด โมโหร้าย คิดยังไม่ทันจบ ร่างเล็กก็ถูกเขาเหวี่ยงกระแทกลงพื้นเข้าอย่างจัง กว่าจะรู้ตัวว่าเจ็บก็เมื่อก้นจ้ำเบ้าเข้ากับพื้นแข็งๆ นั่น
อึก!!!!
โอ้ย… ร่างบางที่เซถลาอย่างคนไม่ทันตั้งตัวร้องลั่นด้วยความเจ็บ เจ้าหล่อนเผลอมองใบหน้าหล่อคมของคนตรงหน้าด้วยคำถาม นี่เขาคือคนวันนั้นจริงๆ หรอกหรือ ทำไมถึงได้ใจร้ายราวกับเป็นคนละคนกันเลยนะ แต่ไม่เป็นไร ด้วยสปิริตของวิชาชีพพยาบาล และการแอบชอบเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอจะยอมให้อภัย ตั้งมั่นว่าจะช่วยให้เขาเดินและกลับมามองเห็นให้ได้ อีกทั้งเขายังเป็นลูกชายของผู้มีพระคุณต่อครอบครัวเธออีก
“ออกไป๊!!”
ทีนี้ร่างหนาตะคอกเสียงดังลั่น เขาพยายามควานหาไม้กอล์ฟ แต่เสียใจจ้ะ ตอนนี้ร่างเล็กนำมันไปเก็บไกลๆ โดยที่ร่างใหญ่แบบเขาจะหามันไม่ได้อีก และนั่นมันยิ่งทำให้เขาโมโหหนักขึ้นยิ่งกว่าเก่า
“คุณยังไม่ได้ทำแผลเลยนะคะ เดี๋ยวขอฉันทำแผลก่อน รับรองว่าทำเสร็จจะรีบออกไป”
แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาไม่ยอมฟังอะไร ทันทีที่มือคว้าหินฝนหมึกได้ร่างสูงก็เขวี้ยงอย่างส่งเดช แต่คนตัวสูงหารู้ไม่ว่านั่น มันแม่นเกินไปละนะ เมื่อจู่ๆ หลังจากที่คนตัวโตเขวี้ยงมันออกไป ครั้งนี้เขาไม่ได้ยินเสียงเธอร้องหรือต่อปากต่อคำกับเขาอีก เขาได้ยินแค่เสียงของหล่นดังสนั่นก็เท่านั้น ทำให้ร่างหนาคิดว่าคงไม่โดนเธอหรอก ก่อนจะแอบโล่งลอบถอนหายใจ
ด้านคนตัวเล็กที่โดนหินปาโดนหน้าผาก หัวเธอแตกและเลือดไหลซิบๆ มันค่อยๆ ไหลลงมาเป็นทาง ก่อนที่เธอจะเอานิ้วน้อยๆ กดหน้าผากตัวเองไว้แน่นๆ เพื่อห้ามเลือดและค่อยๆ เดินไปยังอีกมุมของห้องซึ่งมีกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่ จู่ๆ เธอก็เริ่มหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม ตอนนั้นเองที่เด็กถุงแป้งวิ่งขึ้นมาด้านบน เพราะได้ยินเสียงดังก่อนหน้า และพอจะรับรู้ได้ว่าสถานการณ์น่าจะไม่ดี และก็เป็นไปตามคาด
“คุณคนสวย!!”
เสียงดังลั่นของเด็กถุงแป้งกุลีกุจอเข้ามาด้วยความตกใจ ลนลานทำอะไรไม่ถูก
“แม่… แม่…”
คิดอะไรไม่ออกก็ร้องเรียกหามารดา เพราะเธอก็กลัวเลือดเหมือนกัน
“เอะอะอะไรเสียงดังถุงแป้ง?”
เสียงคุณหญิงฉวีที่กำลังเดินมาพอดี เธอกะว่าจะมาดูเจ้าลูกชายเสียหน่อย ก่อนที่ผู้เป็นมารดาจะต้องช็อกกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ร่างเล็กที่ตอนนี้เลือดอาบ เจ้าหล่อนพยายามมีสติแม้ตอนนี้จะหน้าซีดมากอย่างกับกระดาษ ราวกับคนจะเป็นลม
“บอกนายศร บอกนายศรเอารถออก”
คุณหญิงฉวีร้องเรียกบอกถุงแป้งเสียงหลง แต่ปากเล็กกลับห้ามนายหญิงเจ้าของบ้านไว้
“ตาไม่เป็นไรค่ะคุณป้า แผลไม่ลึกมาก ตาแค่เมาเลือดนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายค่ะ”
คนตัวเล็กที่ประเมินสภาพบาดแผลของตนเองคร่าวๆ ก่อนจะเอ่ยกับฉวี
คราวนี้สายตาดุที่มองมายังทางด้านลูกชาย นิ้วทั้งห้าของผู้เป็นมารดาถึงกับได้สาดใส่ใบหน้าของเจ้าลูกชายเข้าอย่างแรง
เพี๊ยะ!!
นี่เป็นครั้งแรกที่คนเป็นแม่อย่างเธอถึงขั้นลงไม้ลงมือตบลูกชายของเธอ ที่ผ่านมาใช่ฉวีจะทำแบบนี้กันเสียที่ไหน ก็แค่ให้เขาเอ่ยปากขอโทษคนที่ถูกลูกชายกระทำ และให้เงินก้อนใหญ่ ส่วนบางคนเธอก็ถามว่ายังอยากทำงานต่อไหม ก็แค่เท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ปฏิเสธ
ส่วนครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เธอเจ็บ เจ็บซะกว่าคนที่ถูกตบเสียด้วยซ้ำ ใช่ว่าเธออยากจะทำ แต่ครั้งนี้ร่างสูงก็ทำเกินไป
มือหนาค่อยๆ จับแก้มของตัวเอง เขาเอามือขึ้นลูบแบบลวกๆ การกระทำทุกอย่างของสองแม่ลูกล้วนอยู่ในสายตาของ รมิตาเช่นกัน เธอไม่ได้ต้องการมาเห็นฉากอะไรแบบนี้ เจ้าหล่อนมองดูร่างสูง ที่ไม่เอ่ยไม่พูดอะไรสักคำ
นี่สินะที่ป้าณีพยายามจะเตือนหล่อน คงเพราะเห็นการกระทำของเขามานักต่อนักแล้ว
ร่างสูงที่นิ่งเงียบ นี่เป็นการยอมรับผิดหรือเปล่าก็คาดเดาไม่ได้ แต่ที่รู้ๆ คือเขาไม่คิดว่าไอ้เจ้าที่ฝนหมึก มันจะไปโดนร่างบางนั่น ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ถูกเธอจริงๆ ซะหน่อย แต่วันนี้มารดามาแปลก แม่ที่หวงแหนเขายิ่งกว่าอะไร แต่ทำไมวันนี้แม่ของเขาถึงได้โมโหขนาดนี้กันล่ะ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่ เธอคงจะไม่ใช่พยาบาลธรรมดาๆ หรอกนะ
แน่นอน ในเมื่อเจ้าหล่อนอยากจะลองดี งั้นถ้าหากพรุ่งนี้เธอจะยังไม่ออกไปจากที่นี่ รับรองว่าคนอย่างเขามีหรือที่จะถูกผู้เป็นมารดาตบฟรีๆ ในเมื่อดื้อด้านที่จะอยู่ เขาก็จะรับมือในแบบฉบับของเขาด้วยเช่นกัน
“เจ็บมากไหมลูก?”
ฉวียังไม่ลืมที่จะเอ่ยถามอาการของรมิตา เธอไม่ตอบแต่พยักหน้าให้ฉวีน้อยๆ
“ไปจ้ะหนูตา เดี๋ยวให้ปราณีพาไปพักก่อนนะ”
ปราณีที่เดินขึ้นมากับผู้เป็นนาย เธอเห็นทุกอย่างจนหมด แม้จะเห็นเรื่องแบบนี้กับการกระทำนั่นของคุณชายของบ้าน แต่เธอก็ยังไม่ชินมันอยู่ดี
“ไปค่ะคุณรมิตา ไปพักก่อนนะคะ”
ก่อนที่ร่างท้วมวัยกลางคนจะพาคนตัวเล็กกลับห้องไป
“ภาคิน แม่ขอโทษ”
ในที่สุดคุณหญิงฉวีที่เดินเข้ามาใกล้เขาก็เอ่ยขอโทษลูกชายขึ้น ก็มันพลั้งมือไปหนิ เห็นคนตัวเล็กเจ็บแล้วคุณหญิงฉวีแทบทนไม่ได้
ร่างสูงไม่เอ่ยตอบอะไร แต่กลับซัดมารดากลับด้วยคำถาม
“เธอคือใคร? ทำไมแม่ถึงปกป้อง?”
ก็เขาไม่เคยเห็นมารดาปกป้องใครขนาดนี้เสียเมื่อไหร่
“เธอคือน้องสาวของลูก คือคนที่แม่ตั้งใจจะให้ลูกหมั้น
หมายด้วย”
มารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อย แต่ทว่าจริงจัง
“ผมไปมีน้องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วเรื่องหมั้นบ้าอะไรนั่น!!”
“เอาหน่าลูก เรื่องมันยาว อีกอย่างน้องก็มาไกลจากเชียงรายนู่น คิดซะว่าเห็นแก่หน้าแม่หน่อยแล้วกันนะ อย่าไปทำร้ายน้องอีกเลย เพราะต่อให้ลูกทำร้ายน้องแค่ไหน เธอก็จะทน ลูกเชื่อแม่ไหม ว่าคนนี้ไม่เหมือนกับทุกราย อีกอย่างเราก็เป็นผู้ชาย อย่าทำร้ายน้องอีกนะลูก?”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงจะกลับ ผมคงไม่ได้ทำอะไรเธออีกหรอก”
“ทำไมถึงว่าแบบนั้นล่ะลูก เชื่อแม่ไหมว่าเธอจะยังอยู่ เธอรับปากแม่ว่าจะอยู่จนกว่าลูกจะหาย”
สิ้นเสียงคำพูดของผู้เป็นมารดา ทำเอาคนร่างสูงที่กำลังนั่งอยู่ตรงวีลแชร์ต่างหัวเราะหึในลำคอ ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะทนได้สักกี่น้ำ ด้านฉวีที่บ่นลูกชายเสร็จก็ต้องมานั่งทำแผลให้เขาต่อ จริงๆ แล้วร่างสูงไม่อยากให้ใครมาปฐมพยาบาลอะไร
ตนเองอย่างใกล้ชิด ก็ไหนจะคอยเช็ดตัว อาบน้ำทำความสะอาด ก็ใครจะไปบ้าอยากให้ใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จักมาทำนี่นั่นให้ อีกอย่างร่างสูงก็เป็นคนหวงเนื้อหวงตัวยิ่งกว่าอะไร
“พรุ่งนี้ช่วยใจดีกับน้องหน่อยนะลูก นะ.. ถือว่าแม่ขอร้อง”
ร่างสูงไม่ตอบ เขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าไอ้น้องที่ว่ามันจะอดทนเขาได้สักกี่วันกันเชียว