บทที่ 5 (1)
5 นาที ก่อนที่ The Long Night Pub จะปิดให้บริการ
เด็กเสริฟภายในผับได้เดินเข้ามาสะกิดนาราภัทรแจ้งให้ทราบว่าพอลให้เข้าไปพบที่ห้องทำงานเป็นการด่วน หญิงสาวก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจยืดยาวอีกไม่ถึง 10 นาทีก็เลิกงานแล้ว อีตาพอลจะมาเรียกคุยอะไรตอนนี้ แต่เมื่อไม่มีทางเลี่ยงหญิงสาวก็จำต้องวางมือจากการช่วยแองจิล่าเก็บขวดเหล้าทำความสะอาดเคาร์เตอร์บาร์ก่อนจะเดินไปพบเจ้านายบนชั้นสองของผับ หญิงสาวได้แอบกวาดสายตามองหาเจ้าชายซารีฟร์ว่ายังคงอยู่หรือเปล่า แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจยาวออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าตนเองโล่งอกหรือเสียใจกันแน่ที่เจ้าชายหนุ่มแห่งอัลนูรีนไม่ได้อยู่รอคอยเธอตามที่ตนเองเป็นคนออกคำสั่งเสียงหนักแน่น
“ไหนย้ำหนักนักหนาว่าให้เรารอ ที่ไหนได้ตัวเองกลับหนีกลับบ้านก่อนเราจะเลิกงานอีก”
นาราภัทรงึมงำต่อว่าเจ้าชายหนุ่มเสียงขึ้นจมูกทั้งโมโหทั้งน้อยใจและไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมรู้สึกเช่นนี้กับบุรุษหนุ่มชาติอาหรับที่เพิ่งพบเจอะเจอกันแค่ไม่กี่นาที
“คราวหลังถ้าทำตามที่พูดไม่ได้ก็ไม่ต้องมาสัญยิงสัญญากับเราเลยน่ะ”
อาการโมโหฮึดฮัดยังมีให้เห็นเสียงบ่นพึมพำต่อว่ายังคงลอยมาเรื่อยๆ ขณะที่เจ้าตัวได้สาวเท้าขึ้นไปยังชั้นสองของผับและเมื่อมาหยุดยืนหน้าห้องทำงานของเจ้านายจอมแตะอั๋งนาราภัทรก็สำรวจเสื้อโค้ทตัวยาวว่าติดกระดุมเรียบร้อยหรือยัง การที่จะเข้ามาพบกับเจ้านายชีกอตามลำพังแบบนี้จำเป็นต้องแต่งตัวให้รัดกุมเพื่อไม่ให้ถูกลวนลามด้วยสายตา
ก๊อก...ก๊อก...
นาราภัทรเคาะประตูแค่ให้อีกฝ่ายรับรู้การมาถึงของเธอจากนั้นก็ได้เปิดประตูกระจกเข้าไปโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยอนุญาต
“คุณพอลต้องการพบดิฉันหรือคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามเสียงราบเรียบแทนตัวเองว่าดิฉันเพราะไม่ต้องการให้ความสนิทสนมกับอีกฝ่ายและหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานใหญ่ของเจ้านายจอมชีกอหลายโยชน์
“ขยับเข้ามาใกล้หน่อยแล้วก็นั่งลงก่อนสิน้ำหนาว”
พอลออกคำสั่งเสียงเข้มด้วยหวังว่าลูกจ้างสาวจะยอมทำตามคำสั่ง ออกจะเสียดายอยู่มากที่นาราภัทรสวมเสื้อโค้ทตัวยาวมิดชิดปกปิดสิ่งสวยงามไม่ให้เขาได้เห็น
“คุณพอลมีเรื่องด่วนจะคุยกับดิฉันหรือเปล่า ถ้าไม่...ดิฉันจะขอตัวกลับเพราะถึงเวลาเลิกงานแล้ว”
นาราภัทรยังคงยืนนิ่งไม่ทำตามคำสั่งอีกฝ่าย เพราะหากขยับกายเข้าไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน อีตาพอลก็จะเอื้อมไม้เอื้อมมือมาลอบแตะอั๋งจับนิดจับหน่อย เพราะฉะนั้นยืนคุยอยู่ตรงนี้นั่นแหละดีแล้วจะเป็นการปลอดภัยสำหรับเธอที่สุด
พอลมองตามเรือนร่างอรชรในชุดโค้ทที่ยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ที่เดิมก็ลอบถอนหายใจยาวอย่างแสนเสียดายก่อนจะเอ่ยบอกวัตถุประสงค์ที่ให้ลูกจ้างเข้าพบ
“วันหยุดสุดสัปดาห์นี้คุณติดธุระหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ดิฉันว่าง”
“ถ้างั้นดีเลย ผมมีงานพิเศษให้คุณทำ” พอลเอ่ยบอกแล้วเว้นจังหวะด้วยการยกบุหรี่ขึ้นโชว์ราวกับขออนุญาตก่อนจะจุดสูบ
นาราภัทรรีบพยักหน้าพร้อมกับแอบบ่นอยู่ในใจ ‘เฮ้อ...จะถ่วงเวลาไปถึงไหนอีตาพอล ขอเนื้อๆ เลยได้หรือเปล่า’
“งานพิเศษที่ว่าคืองานอะไรคะ”
คราวนี้นาราภัทรเป็นคนเร่งให้นายจ้างได้พูดบ้างเมื่ออีกฝ่ายทำสบายใจอัดครัวพิษหลายนาทีแล้วแต่ไม่ยอมเอ่ยพูดออกมาสักที
“ใจเย็นๆ สิน้ำหนาว อย่าเพิ่งเร่ง ผมกำลังจะบอกอยู่นี่แล้ว” พอลเอ่ยปลอบก่อนจะพ่นควันสีเทาออกจากปาก
‘ไม่ให้เร่งได้ไง ถ้าฉันไม่ได้ออกจากห้องนี้ภายใน 5 นาที ฉันก็ต้องนั่งรอรถเมล์นานอีกเป็นชั่วโมง’
นาราภัทรบ่นงึมงำอยู่ในใจขณะเหลือบสายตามองเวลาบนนาฬิกาเรือนสวยที่แขวนไว้บนฝาผนัง พอลรู้เรื่องเวลาเดินรถดีถึงได้แกล้งถ่วงเวลายืดยาวเช่นนี้
“ถ้าคุณไม่บอกภายใน 1 นาที ดิฉันจะกลับบ้านแล้ว”
หญิงสาวไม่ได้เอ่ยขู่ เธอขยับเท้าหันหลังกำลังจะก้าวออกจากห้องแต่ก็ถูกตรึงไว้ด้วยเรื่องเงินที่เจ้านายจอมชีกอได้เอ่ยหลอกล่อ
“โอเคผมบอกแล้ว เพื่อนผมต้องการจ้างคุณให้ไปชงเหล้าให้ในวันเกิดเขา”
เมื่อเห็นว่าลูกจ้างสาวแสนสวยน่ากินทำท่าไม่สนใจสักเท่าไหร่พอลจึงแกล้งเอ่ยบอกจำนวนค่าจ้างดังๆ
“ไม่สนใจหรือน้ำหนาว เขาให้ค่าจ้างชั่วโมงละ 50 ดอลลาร์เชียวน่ะ”
“50 ดอลลาร์ บ้าหรือเปล่าใครจะบ้าจ้างเยอะขนาดนี้”
นาราภัทรหันขวับเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อสักเท่าไหร่ 50 ดอลลาร์ออกจะแพงเกินไปสำหรับการทำหน้าที่ชงเหล้า คงไม่มีใครโง่จ้างบาร์เทนดี้แพงขนาดนี้หรอก
“สำหรับเราอาจจะคิดว่าแพง แต่สำหรับคนรวยอย่างทอมสันนั้นเป็นเรื่องขี้ผง คุณก็พอจะรู้นี่ว่าทอมสันนั้นรวยมากแค่ไหน”
พอลหลุบสายตาดีดขี้บุหรี่กับจานรองลุ้นอยู่ในใจจนตัวโก่งให้หญิงสาวตอบรับคำ ถ้าหากน้ำหนาวตกลงใจรับทำงานนี้นอกจากเขาจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินแล้วยังได้รับส่วนแบ่งที่เป็นเนื้อสดหอมหวานด้วย
‘ไม่อยากรู้หรอกว่าทอมสันรวยมากแค่ไหน ขอแค่ให้จ่ายเงินตามที่จ้างก็พอแล้ว’
เรื่องโอ้อวดว่าร่ำรวยนักร่ำรวยหนาใครๆ ก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ เธอไม่อยากรู้หรอกว่านักท่องราตรีเหล่านี้จะมีเงินถุงเงินถังมากสักเพียงใด เธอสนใจแค่ว่าทอมสันจะยอมจ่ายค่าจ้างให้เธอตามที่พูดเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
“เพื่อนของคุณจะจัดงานเมื่อไหร่คะ”
“วันศุกร์นี้ ที่คฤหาสน์บนเนินเขา”
“ไกลแค่ไหนคะแล้วเขาจะจ้างดิฉันกี่ชั่วโมง”
ปากเอ่ยถามหัวสมองทำหน้าที่เป็นลูกคิดรางแก้วเตรียมคำนวณจำนวนตัวเลขดอลลาร์ที่ตนเองจะได้รับ
“ห่างจากตัวเมืองราวๆ แปดไมล์เห็นจะได้ แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเดินทางไปและกลับ เพราะทอมสันได้จัดรถไว้รอรับเพื่อนๆ ที่จะเดินทางไปร่วมปาร์ตี้ด้วย ส่วนเรื่องการจ้างนั่นคงจ้างจนถึงสว่าง”
“งานเริ่มกี่โมงคะ”
“ประมาณเที่ยงคืน ว่าไงสนใจมั้ย ถ้าหากคุณตกลงผมจะได้โทรบอกทอมสันเขาจะได้ไม่ต้องหาคนมาชงเหล้าแทนคุณ”
พอลเอ่ยเร่งเร้าภาวนาให้หญิงสาวน่ากินไปทั้งตัวที่เขาอยากลองลิ้มกัดกินมานานได้ตอบตกลงสักที น้ำหนาวเป็นบาร์เทนดี้คนเดียวภายในผับที่เขาไม่ยังไม่ได้ลิ้มรสเพราะหญิงสาวไม่มีท่าทีว่าจะเล่นด้วยกับเรื่องนี้ ผิดกับบาร์เทนดี้คนอื่นๆ ที่เขาได้ใช้เงินหว่านซื้อให้มาปรนเปรอบำเรอสวาทเรียบร้อยแล้ว
“ทำไม เขาต้องจ้างดิฉันด้วยคะ แองจิล่ากับคนอื่นๆ ก็มีทำไมเขาไม่จ้างพวกเธอ”
‘ก็เพราะทอมสันเบื่อรสชาติของพวกนั้นแล้วนะสิ’
พอลยิ้มตรงมุมปากในใจตอบอย่างปากเอ่ยตอบอย่าง “ทอมสันเขาชอบฝีมือการชงเหล้าของคุณ คุณผสมเหล้าได้รสชาติกลมกล่อมกว่าพวกแองจิล่าที่บางทีก็หนักมือใส่เหล้าหรือโซดามากเกินไป แขกที่มาปาร์ตี้วันเกิดก็มีแต่ระดับเศรษฐีด้วยกันทั้งนั้น ทอมสันไม่อยากขายขี้หน้าเรื่องนี้”
“ขอคิดดูก่อนได้มั้ยคะแล้วถ้าไงพรุ่งนี้ดิฉันจะให้คำตอบ”
นาราภัทรเริ่มแบ่งรับแบ่งสู้ 6 ชั่วโมงได้ 300 ดอลลาร์ถือว่ามากโขเอาการ เงินก็อยากได้แต่อีกทางหนึ่งก็เกรงว่าร่างกายตนเองจะไม่ไหวถ้าหากต้องทำงานขนาดที่เรียกว่าสว่างคาตา
“ไม่มีปัญหาเอาไปคิดดูก่อนให้คำตอบอย่างช้าคืนพรุ่งนี้น่ะ” พอลลอบยิ้มในใจรู้ว่ายังไงๆ หญิงสาวก็ต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน
“ได้ค่ะ หมดธุระแล้วใช่ไหมคะถ้างั้นดิฉันขอกลับก่อน”
ขากลับก็รวดเร็วเหมือนขามา นาราภัทรไม่ได้รอให้นายจ้างอนุญาตเอ่ยตัดบทเสร็จแล้วก็รีบเดินเกือบเป็นวิ่งออกมาจากห้องทำงานพอยกนาฬิกาบนข้อมือเล็กมามองเวลาก็แทบร้องกรีดเมื่อเห็นว่าเลยเวลาที่รถเมล์วิ่งผ่านหน้าผับไปถึง 5 นาทีแล้ว
และก็เป็นจริงดังที่คาดคิดไว้เมื่อวิ่งออกมาถึงหน้าผับนาราภัทรก็ได้เห็นแค่ไฟท้ายแดงๆ ของรถเมล์ที่วิ่งผ่านไปได้ไกลสักสิบเมตรแล้ว
“ตายแน่น้ำหนาว ได้นั่งแหง็กรอรถอีกชั่วโมงกว่ารถจะมา”
เมื่อออกมาไม่ทันรถเมล์และรู้ว่าตนเองต้องนั่งรอรถอีก 1 ชั่วโมงเต็มๆ ท่ากลางบรรยากาศอันแสนหนาวเหน็บและค่อนข้างหน้ากลัวกอปรกับท้องที่เริ่มร้องจ้อกๆ ด้วยความหิวเพราะยังไม่มีข้าวมือเย็นตกถึงท้องสักหมดก็ทำให้นาราภัทรหงุดหงิดออกอาการอารมณ์เสียฟาดงวงฟาดงาไม่เลิกหน้าอินทร์หน้าเจ้าชาย
“อีตาเจ้าชายซารีฟร์บ้า ย้ำหนักย้ำหนาให้รอหน้าผับ”
นาราภัทรหันซ้ายหันขวาด้วยความหวาดกลัวก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้รอรถในป้ายรถเมล์ หนาวก็หนาว หิวก็หิวยิ่งคิดยิ่งโมโหคนตัวใหญ่ยักษ์
“ตีสามน้ำหนาว เราจะรอหน้าผับ ห้ามหนีกลับก่อน”
หญิงสาวแกล้งเลียนแบบน้ำเสียงและท่าทางขึงขังของเจ้าชายซารีฟร์โกรธอีกฝ่ายจนอยากจะร้องไห้ออกมาโดยลืมไปว่าก่อนหน้านี้เธอเองต่างหากที่เป็นคนปฏิเสธเสียงแข็งไม่ให้เจ้าชายซารีฟร์ไปส่ง
“เชอะ! ทำเป็นสั่งเสียงเข้มออกมาช้าแค่ 5 นาทีก็ไม่เห็นใครรอเราสักคน อย่าให้เจอหน้าน่ะไม่งั้นน้ำหนาวจะ...”
“จะอะไรน้ำหนาว จะตบสั่งสอนหรือว่าจะกดจุมพิตเร่าร้อนลงโทษให้เราหลาบจำที่บังอาจไม่รอเจ้า”
นาราภัทรสะดุ้งเฮือกกระโดดโหยงลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงห้าวทุ้มที่เอ่ยตอบกลั้วหัวเราะพร้อมกับใบหน้าคมเข้ม ริมฝีปากร้อนผ่าวที่ยื่นเข้ามาใกล้พวงแก้มจนเธอรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นหอมสะอาดที่เป่ารินรดพวงแก้มแดงปลั่งของเธอ
“โผล่มาตอนไหนนี่ ไม่ให้ซุ่มให้เสียงเล่นเอาตกใจแทบช็อก”
นาราภัทรตวาดแว้ดด้วยความตกใจกึ่งโมโหเมื่อเห็นใบหน้าหล่อๆ ของเจ้าชายหนุ่มซึ่งกำลังจ้องมองด้วยแววตาแพรวพราวมันระยับ ริมฝีปากสีสดก็ยิ้มกริ่มราวกับขบขำเธอนักหนา
“มาตั้งนานแล้วแหละ ก็เจ้าไม่สนใจเราเองนี่มัวแต่บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้งอยู่นั่นแหละ”
เจ้าชายซารีฟร์เฉลยพร้อมกับเอื้อมมือไปจับต้นแขนเนียนขาวผ่องไว้ไม่ให้หญิงงามจอมแก่นแก้วแถมขี้บ่นอีกต่างหากได้หลบหนีรัศมีที่ตนเองจะได้สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ชื่นใจจากกายสาว
“มาตั้งนานแล้ว ถ้างั้น...” หญิงสาวทวนคำหน้าแดงปลั่ง โอ๊ย! อยากจะบ้าตายเขาต้องได้ยินเสียงที่เธอด่าออกไปก่อนหน้านี้แน่นอน
“อืม...เราได้ยินเจ้าบ่นทุกคำนั่นแหละ”
เจ้าชายนักรักแห่งอัลนูรีนเอ่ยตอบกลั้วหัวเราะออกแรงดึงเล็กน้อยให้เรือนกายอรชรหอมกรุ่นขยับเข้ามาใกล้กับเรือนกายของตน
“แล้วทำไมไม่ออกมาเร็วกว่านี้ปล่อยให้เราแอบด่าคนเดียวอยู่ได้” นาราภัทรตวาดแว้ดมองค้อนตาเขียวปัดไม่ได้นึกกลัวว่าเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่จะโกรธตนเอง
เจ้าชายซารีฟร์เห็นกริยาของหญิงสาวแล้วก็หัวเราะร่วนด้วยความถูกอกถูกใจก่อนจะเอ่ยตอบออกมาให้นาราภัทรจนมุม
“เราถือสุภาษิตไทยตามที่ท่านแม่บอกเราน่ะ ท่านแม่บอกว่าผู้หญิงด่าแปลว่ารัก ถ้าผู้หญิงค้อนขวับแปลว่ากำลังให้ท่า”
นาราภัทรร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้าและลำคอพวงแก้มเนียนค่อยๆ มีสีเลือดแดงซับไปทั่วด้วยความขัดเขินและการแก้ความเขินอายก็มีวิธีเดียวคือการเบี่ยงประเด็นชวนเจ้าชายหนุ่มเอ่ยพูดเรื่องที่ไกลจากตัวเธอ
“เจ้าชายมีแม่เป็นคนไทยใช่ไหมคะ”
“ใช่ เรากับท่านพี่ฮารีฟร์มีท่านแม่เป็นคนเดียวกันส่วนชารีฟร์เป็นอนุชาคนละแม่ เอาไว้คุยเรื่องครอบครัวของเราที่รถดีกว่าไหม ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วกลับบ้านกันเถอะเดี๋ยวเราจะไปส่ง”
นาราภัทรหันไปมองบุรุษหนุ่มอาหรับอีกสองคนที่ยังคงยืนนิ่งรออยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่เธอกับเจ้าชายซารีฟร์นั่งอยู่สักเท่าไหร่ ถ้าหากเอาไม่ผิดบุรุษหนุ่มสองคนนี้คงเป็นองครักษ์ประจำกายที่คอยให้การอารักขาเจ้าชายซารีฟร์ผู้หล่อเหลาคมเข้ม
“ทำไมเจ้าชายกับองครักษ์ถึงไม่กลับสักที”
“ก็บอกแล้วไงว่าเรารอกลับพร้อมเจ้า”