บทที่ 5 (2)
นาราภัทรลอบอมยิ้มดีใจกับคำตอบที่ได้รับถึงแม้จะรับรู้ความจริงที่ว่าเจ้าชายซารีฟร์คงทำเช่นนี้บ่อยๆ และเธอคงไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่เจ้าชายหนุ่มแห่งทะเลทรายได้รอรับกลับบ้านแต่กระนั้นก็ยังคงมีริ้วรอยแห่งความดีใจเผยให้เห็นทั่วดวงหน้างามหวาน
“เจ้าชายคงรอรับผู้หญิงกลับบ้านบ่อยสิคะ”
“ใครว่า...นี่เป็นการกระทำครั้งแรกของเราต่างหากและจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่จะทำเช่นนี้ทุกวัน”
เจ้าชายหนุ่มเอ่ยค้านแก้ไขความเข้าใจผิดขอหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ออกจะแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าตนเองนั้นเริ่มหวาดหวั่นไม่อยากทำสิ่งใดให้น้ำหนาวได้เข้าใจผิดและโกรธเคือง
“ที่พูดเมื่อสักครู่หมายความว่าจะมารับสาวอื่นกลับบ้านด้วยใช่หรือเปล่าคะ”
นาราภัทรเอ่ยถามเสียงราบเรียบไม่อยากตีความหมายว่าเจ้าชายซารีฟร์หมายถึงเธอแค่เพียงผู้เดียว
“เราหมายถึงเจ้าคนเดียวต่างหากล่ะ” เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยตอบเสียงอบอุ่นอ่อนโยนพร้อมกับแกล้งจิ้มนิ้วลงไปบนหน้าผากมน
“ถ้าอยากไปส่งน้ำหนาวจริง เจ้าชายรอไปส่งด้วยรถเมล์ได้หรือเปล่าคะ แต่ต้องรอนานหน่อยเพราะรถชั่วโมงนี้ออกไปแล้วดึกๆ แบบนี้ต้องรออีกชั่วโมงกว่าจะมีรถผ่านมาอีกคัน”
เจ้าชายหนุ่มผู้หล่อเหลาตามแบบฉบับบุรุษอาหรับขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งก่อนจะเอ่ยถามออกมาให้คลายอาการสงสัย
“ทำไมต้องนั่งรถเมล์ไปส่งด้วย รถของเราก็มีนี่”
“คือ...” นาราภัทรอ้ำอึ้งมองอีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนจะหลบตาก้มลงมองมือตัวเอง
เจ้าชายซารีฟร์คลี่ยิ้มอบอุ่นเมื่ออ่านความในใจได้จากดวงตาคู่สวยกลมโต น้ำหนาวคงไม่กล้าไปกับเขาทั้งๆ ที่เพิ่งพบเจอได้พูดคุยกันเป็นครั้งแรก การเดินทางด้วยรถสาธารณะที่มีผู้โดยสารร่วมทางอีกหลายคนทำให้หญิงสาวรู้สึกปลอดภัยมากกว่าการอยู่กับเขาแค่เพียงสองต่อสอง
“น้ำหนาว เงยหน้ามองเราสิ” นิ้วเรียวยาวเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นสบตากันขณะร้องขอ “เจ้าสบายใจได้ว่าเราไม่ทำร้ายเจ้าหรอก และถ้าหากเจ้าอยากกลับด้วยรถเมล์ก็ไม่มีปัญหาเดียวเราจะกลับพร้อมเจ้า”
“ขอบคุณค่ะที่เข้าใจน้ำหนาว” หญิงสาวคลี่ยิ้มบางๆ พึมพำเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา
“ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงออกมาช้า ผับเลิกตีสามไม่ใช่หรือ”
เจ้าชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาและเหล่าองครักษ์ได้ออกจากผับ 5 นาทีก่อนที่ผับจะปิดให้บริการจากนั้นได้ออกมายื่นรอหน้าผับตามที่ได้เอ่ยสั่งน้ำหนาวไว้ แต่ยืนรอเกือบ 10 นาทีก็ไม่เห็นหญิงสาวออกมาสักทีจนคิดว่าน้ำหนาวแอบหนีออกทางหลังร้านและกลับบ้านไปแล้ว
นาราภัทรหันไปมองที่หน้าผับก่อนจะเอ่ยตอบออกมาด้วยความโมโหตัวตนเหตุที่ทำให้เธอต้องออกมาช้าและไม่ทันรถเมล์เที่ยวนี้
“ผับเลิกตีสามน่ะถูกแล้วค่ะ แต่ที่ออกมาช้าก็เพราะถูกอีตาพอล...อ้อ...เจ้าของผับเรียกเข้าไปพบก่อน เฮ้อ...ตายยากเสียด้วยพูดถึงปุ๊บก็โผล่หน้ามาปั๊บทันที”
หญิงสาวบุ้ยปากให้เจ้าชายซารีฟร์หันไปมองทางเข้าผับซึ่งขณะนี้มีหนุ่มเจ้าสำอางกำลังเดินออกมาและทำท่าว่าจะตรงดิ่งมาหาตัวเธอเสียด้วย
“นั่นหรือคนที่ชื่อพอล”
เจ้าชายแห่งราชวงศ์อัลนูรีนเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจขณะหันไปมองตามกริยาเชิญชวนของน้ำหนาว และเมื่อได้เห็นชายหนุ่มที่เรือนร่างใหญ่โตตามแบบฉบับฝรั่งตาน้ำข้าวที่กำลังเดินตรงมาหาน้ำหนาวก็รีบขยับกายพร้อมกับดึงเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของหญิงสาวที่ต้องใจภักให้ขยับเข้าหาตนเองอีกนิดหนึ่ง และเมื่อคนที่ชื่อพอลเดินเข้ามาใกล้ในรัศมีที่สามารถสังเกตสังกาได้อย่างชัดเจนเจ้าชายหนุ่มนักรักถึงกับหน้าตึงตีหน้าบึ้งถมึงทึงใส่อีกฝ่ายด้วยอ่านความนัยจากดวงตาสีน้ำข้าวออกอย่างชัดเจนเมื่อชายหนุ่มคนนี้ได้ทอดสายตาจ้องมาน้ำหนาว
ถึงแม้เพิ่งพบเจอะเจอบุรุษชาติอาหรับได้ไม่ทันข้ามคืนแต่นาราภัทรก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นความปลอดภัยขณะที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้าชายซารีฟร์ ผิดกับการอยู่ใกล้นายจ้างอย่างพอลที่เข้าใกล้ทีไรทำให้เธอเสียวสันหลังวูบไม่รู้ว่าจะโดนอีกฝ่ายไล่ตะครุบเมื่อไหร่ หญิงสาวขยับกายเข้าหาเรือนกายอบอุ่นตามแรงดึงเบาๆ ของเจ้าชายหนุ่มก่อนจะกระซิบตอบแผ่วเบาเมื่อพอลเดินเข้ามาใกล้แล้ว
“เขานี่แหละคะ อีตาพอลจอมชีกอ”
พอลยิ้มกริ่มดวงตาเต้นระริกปิดบังแววหื่นกระหายไม่มิดขณะเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาราภัทร เขาไม่สนใจบุรุษหนุ่มชาติอาหรับ 3 คนที่ยืนอยู่ใกล้กับน้ำหนาวเพราะตอนนี้ดวงตาของเขากำลังมองและจดจำเฉพาะเรือนร่างขาวผ่องที่ได้เห็นเนื้อแท้วับๆ แวมๆ ภายใต้ชุดทำงานลายเสือ
“อ้าว...น้ำหนาว ยังไม่กลับอีกหรือ”
“กำลังจะกลับ”
นาราภัทรกระชากเสียงตอบอย่างโกรธเคืองรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นคนถ่วงเวลาทำให้เธอออกมาไม่ทันรถเมล์เที่ยว
ตีสามแล้วยังจะมาเสนอหน้าแกล้งถามอีก
“ออกมาไม่ทันรถเมล์ใช่ไหม โอ้!...ผมนี่แย่จริงๆ ชวนคุณคุยเพลินจนทำให้คุณตกรถ ถ้าไงผมขอแก้ตัวด้วยการไปส่งคุณที่บ้านดีมั้ย”
เป็นความใจดีที่มาพร้อมกับความประสงค์ร้ายที่ใครๆ ก็มองออกขนาดเด็กประถมยังรู้เลยว่าคนที่เอ่ยเสนอเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ
“ขอบคุณ ไม่ลำบากให้ไปส่งหรอกค่ะ อีกไม่นานรถเมล์ก็มาแล้วเชิญคุณกลับก่อนเถอะค่ะ”
พอลแสร้งทำหน้าเศร้าก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือก่อนจะเอ่ยตอบ
“อีกตั้งชั่วโมงเชียวน่ะกว่าจะมีรถมาอีกคัน แถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยวและอันตรายให้ผมไปส่งดีกว่า ถ้าลำบากใจนักก็ถือว่าเป็นสวัสดิการที่เจ้านายมอบให้ลูกจ้างก็ได้”
‘คงอยากได้หรอกน่ะสวัสดิการแบบนี้ ’
นาราภัทรนึกตอบในใจอย่างโมโหก็เพราะสวัสดิการที่เสนอให้กับลูกจ้างสาวเป็นประจำถึงได้ทำให้ The Long Night Pub เปลี่ยนพนักงานสาวเป็นว่าเล่น ใครก็ตามที่คิดเรียกร้องขอค่าเสียหายหรือคิดผูกมัดตัวเจ้าของผับก็จะถูกเอาเงินฟาดหัวและไล่ออกทันที
“เชิญคุณกลับไปเถอะค่ะ ดิฉันกลับเองได้”
หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงเย็นพร้อมกับขยับกายเข้าหาเรือนร่างกำยำอบอุ่นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เธอไม่รู้สึกตัวเลยว่าตลอดเวลาที่ได้เอ่ยปฏิเสธนายจ้าง มือใหญ่ร้อนผ่าวของเจ้าชายซารีฟร์ได้โอบกอดแตะสัมผัสที่เอวบางคอดกิ่วของเธออย่างหวงแหนแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“มาเถอะน้ำหนาว อย่าเล่นตัวนักเลย”
เมื่อความอดทนถึงที่สิ้นสุดเอ่ยตะล่อมหญิงสาวไม่สำเร็จพอลจึงใช่วิธีรวบรัดโดยการขยับเข้าหาแล้วเอื้อมมือไปข้างหน้าหมายจะจับต้นแขนเนียนแล้วฉุดร่างบางเข้าหาตน
เผี้ยะ!!!...
เจ้าชายซารีฟร์ปัดมือของพอลที่เอื้อมมาหมายจะจับต้นแขนของนาราภัทรออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังกลางอากาศ ใบหน้าคมเข้มถมึงทึง นัยน์ตาดำขลับคมกริบลุกวาวด้วยดวงไฟแห่งความพิโรธ
“ผู้หญิงบอกว่าไม่!...ก็คือไม่!...”
ทั้งราชิตและอาดิลต่างก็ขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัวแทนชายหนุ่มคนนี้ ถ้าหากเจ้าชายซารีฟร์ได้เอ่ยพูดด้วย
น้ำเสียงเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งขั่วโลกเหนือและหากได้จ้องมองดวงตาที่ลุกโชนด้วยดวงไฟลูกใหญ่แสดงว่าเจ้าชายกำลังโกรธถึงขีดสุด
“แกเป็นใครมายุ่งอะไรด้วย”
พอลแสดงกริยานักเลงใหญ่เดินเข้าหาคนที่ตบมือตัวเอง แต่ก้าวเข้าหาบุรุษชาติหนุ่มที่เขามั่นใจว่าเป็นชาวตะวันออกกลางได้แค่ก้าวเดียวก็ต้องถอยฉากออกห่างหลายขุมเมื่อมีบุรุษอาหรับเรือนร่างกำยำใหญ่โตกว่าตนเองหลายนิ้วถึงสองคนได้เดินเข้ามายืนขนาบข้างน้ำหนาวและบุรุษหนุ่มอาหรับผู้นี้ทัน
“น้ำหนาว คนเหล่านี้เป็นใคร” เมื่อไม่ได้คำตอบจากบุรุษหนุ่มลึกลับน่าเกรงขาม พอลจึงได้เบนหันไปถามลูกจ้างสาวแทน
นาราภัทรลอบหัวเราะขำกับท่าทางกลัวหัวหดเป็นเต่าหลบอยู่ในกระดองของอีตาพอล เป็นไงล่ะเจอคนจริงแบบนี้ทำให้ไม่กล้าฮือเลยหรือไง หญิงสาวยิ้มเยาะเย้ยก่อนจะหันไปมองบุรุษอาหรับที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ให้เจ้าชายซารีฟร์ซึ่งเธอยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มหล่อเหล่าของเจ้าชายหนุ่มแห่งอัลนูรีนก่อนจะเอ่ยตอบออกมาหน้าตาเฉย
“พวกเขาเป็นองครักษ์ของดิฉันเอง”
พอลถึงกับหน้าถอดสีคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะดูท่าทางแต่ละคนโดยเฉพาะคนที่ตัวใหญ่แผ่อำนาจรัศมีรอบกายดูจะหวงแหนน้ำหนาวมากกว่าใครเพื่อน
เจ้าชายซารีฟร์กัดฟันกรอดทั้งโมโหทั้งขำน้ำหนาวที่บังอาจลดตำแหน่งตนเองจากเจ้าชายองค์รองแห่งราชวงศ์อัลนูรีนมาเป็นองครักษ์หนุ่มแทน
ส่วนราชิตกับอาดิลถึงกับสำลักกลั้นเสียงหัวเราะไว้แทบไม่ทันตอนที่ได้ยินหญิงงามแก่นแก้วตั้งใจเอ่ยแกล้ง
เจ้าเหนือหัวของพวกตน สำหรับพวกเขานั้นเต็มใจและก็พร้อมเสมอที่จะถวายการอารักขาให้กับหญิงงามที่กำลังกอบกุมเป็นเจ้าหัวใจของเจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์
“ว่าไงคะพอล ถ้าหากจะไปส่งดิฉันคงต้องได้รับการอนุญาตจากเหล่าองครักษ์เหล่านี้ก่อน แต่ดิฉันคิดว่าคงไม่จำเป็น มีองครักษ์ถึง 3 คนก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
นาราภัทรเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะแกล้งเอ่ยขู่เสียงขึงขัง ขอยืมตัวองครักษ์ที่น่าเกรงกลัวทั้งสองนายรวมทั้งตัวเจ้าชายหนุ่มแห่งทะเลทรายผู้องอาจมาเป็นโล่กำบังขู่ให้พอลหวาดกลัวหัวหดสักวันเถอะ เผื่อว่าวันต่อไปเธอจะไม่ถูกนายจ้างจอมชีกอเข้ามายุ่งก่อกวนเวลาเธอทำงาน
“แน่ใจหรือน้ำหนาว ผมไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ว่าพวกนี้เป็นองครักษ์ของคุณ”
ทั้งๆ ที่กลัวจนฉี่แทบราดแต่พอลก็ยังไม่ค่อยเชื่ออยู่ดีว่าบุรุษอาหรับเหล่านี้จะเป็นองครักษ์เป็นบอร์ดี้การ์ดเหมือนที่หญิงสาวแอบอ้าง ยังคงคิดไปในอีกแง่หนึ่งว่าบุรุษเหล่านี้อาจจะเป็นผู้ชายในสังกัดของเธอ ในอเมริกาโลกเสรีแบบนี้เขาเคยพบเพศสตรีที่ฟรีเซ็กส์มานักต่อนักแล้ว
“หยุดคิดในทางที่ชั่วๆ แล้วก็กลับไปได้แล้ว ถ้าหากแกยังคงยืนอยู่ต่ออีกแค่นาทีเดียว แกก็จะได้รู้ว่าบุรุษทั้งสามคนนี้เป็นองครักษ์ของน้ำหนาวจริงหรือเปล่า”
ด้วยอ่านสายตาและความคิดชั่วๆ ของอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าชายซารีฟร์จึงเอ่ยขู่เสียงเย็นยะเยือกลอดไรฟันและไม่ต้องให้หันไปมองก็รู้ว่าทั้งราชิตและอาดิลเองได้ถลึงตาใส่แหวกเสื้อนอกออกให้เห็นมัจจุราชดำเมื่อที่ต่างก็เก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดต้องซอกรักแร้
ไม่ต้องรอให้ถูกขู่เป็นครั้งที่สอง พอลวิ่งหนีอย่างทุลักทุเลไม่คิดชีวิตเมื่อได้ยินเสียงเย็นยะเยือกกอปรกับปืนสี่กระบอกที่เผยให้เห็นจากซอกรักแร้ขององครักษ์ทั้งสอง
“สมน้ำหน้า! ต่อไปหวังว่านายคงไม่มายุ่งกับฉันอีกน่ะอีตาพอลจอมแตะอั๋ง”
นาราภัทรหัวเราะคิกคักเอ่ยตามหลังขณะที่มองตามเจ้านายจอมชีกอที่วิ่งห่างจุกตูดกลับไปที่รถอย่างรวดเร็ว
“น้ำหนาว!...หยุดหัวเราะได้แล้ว”
เจ้าชายซารีฟร์แกล้งตีหน้าบึ้งขึงตาใส่คนที่หัวเราะขำไม่เลิก จริงๆ แล้วเขาเองก็อยากหัวเราะออกมาดังๆ เช่นเดียวกันตั้งแต่เติบโตเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงามคมเข้มหล่อเหลามีผู้หญิงคอยเคียงข้างกายไม่ได้ขาดสายยังไม่เคยมีใครบังอาจลดตำแหน่งของเจ้าชายแห่งอัลนูรีนให้เป็นแค่เพียงองครักษ์คอยอารักขาความปลอดภัยแม้แต่คนเดียว
“เจ้าบังอาจมากที่จู่ๆ ก็ลดตำแหน่งของเราโดยพลการ” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยขู่เสียงเข้มอยากรู้เหมือนกันว่าน้ำหนาวจะทำหน้าอย่างไร
แต่คนอย่างนาราภัทรมีหรือจะกลัวและยอมให้ขู่ได้ง่ายๆ หญิงสาวจ้องตอบเขม็งเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีก่อนจะเอ่ยท้าเหยงๆ
“แล้วไงคะ คนที่บังอาจเช่นนี้สมควรได้รับการลงโทษโดยการตัดศีรษะหรือว่าโบยให้หลาบจำ”
“วิธีเหล่านั้นโหดเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเจ้าและเราเองก็ไม่นิยมชมชอบเช่นเดียวกัน วิธีนี้สิดีที่สุดได้รับความสุนทรีทั้งสองฝ่ายและเราชื่นชอบเป็นพิเศษ”
นาราภัทรมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่รู้ว่าเจ้าชายซารีฟร์เอ่ยจบประโยคตอนไหนและไม่รู้ด้วยว่าริมฝีปากร้อนผะผ่าวได้ก้มลงมากดประทับจุมพิตเร่าร้อนดูดดื่มตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งที่เธอรับรู้ได้ในขณะนี้คือความหวานซาบซ่านรัญจวนใจที่แล่นตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนทำให้ไร้เรี่ยวแรงพยุงกายจำเป็นต้องอาศัยเรือนร่างกำยำล่ำสันเป็นที่พักพิงมิให้ตนเองล้มลงไปกองกับพื้น
เจ้าชายซารีฟร์คลี่ยิ้มทั้งๆ ที่ริมฝีปากร้อนผ่าวยังคงกดประทับจุมพิตดูดดื่ม ชิวหานุ่มกระหวัดตักตวงความหอมหวานจากเรียวปากอิมเอิ่มสีกุหลาบ ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลานัยน์ตาคมกริบเผยความพึงพอใจประทับใจอย่างยิ่งยวดเมื่อรับรู้ได้ว่าดอกไม้งามแห่งสยามยังไม่เคยมีภุมรินใดได้แวะเวียนเข้ามาลองดูดชิมความหวานและยิ่งดีใจมากหลายสิบเท่าเมื่อรู้ว่าตนเองเป็นภุมรินตัวแรกและตัวเดียวที่มีสิทธิ์ได้ดื่มด่ำกับความหอมหวานรัญจวนใจจากดอกไม้ที่งดงามดอกนี้
‘อืม...รสจุมพิตที่ก่อเกิดจากความรักใคร่สิเสน่หาให้รสชาติที่หวานล้ำชื่นฉ่ำกายใจยิ่งนัก’
เจ้าชายนักรักคาสโนว่าแห่งทะเลทรายสีทองเอ่ยพึมพำด้วยความถูกอกถูกใจและยิ่งรับรู้ได้ถึงเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นกลมกลึงที่เอนมาพิงกายตนไว้จนปทุมอวบอิ่มบดเบียดกับอกกว้างยิ่งทำให้ถูกใจจนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
“น้ำหนาว...”
เจ้าชายหนุ่มผละริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดายก่อนจะกระซิบเรียกเสียงทุ้มนุ่มนวลข้างๆ ใบหูเล็กให้หญิงสาวได้รู้สึกตัว
หัวสมองที่ลอยหมุนคว้างตกอยู่ในภวังค์วังวนแห่งความรัญจวนใจอันเกิดจากฝีปากของเจ้าชายซารีฟร์ได้ค่อยๆ จางหายไปเมื่อเจ้าตัวได้ซึมซับน้ำเสียงที่กระซิบเรียกกอปรกับมือใหญ่ร้อนผ่าวที่ได้ไล้แผ่วเบาตรงพวงแก้มและเรียวปากที่บวมเจ่อขึ้นเล็กน้อยจากรสจุมพิตเร่าร้อน นาราภัทรผงะถอยหลังก้าวหนึ่งดวงตากลมโตจ้องมองคนที่บังอาจจูบเธอด้วยดวงตาเขียวปัดโกรธเคือง หยาดน้ำตาอุ่นใสเกลือกกลิ้งรอบดวงตาคู่สวยก่อนเจ้าตัวจะกะพริบให้เลือนหายไปในราตรีกาล
“คนฉวยโอกาส…เผี้ยะ!!!...”
นาราภัทรตวัดมือตบลงไปบนใบหน้าคมเข้มสุดแรงเกิดและไม่ได้รอดูผลงานของตนเอง เมื่อรถเมล์ได้วิ่งเข้ามาจอดที่ป้ายหญิงสาวรีบวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เจ้าชายซารีฟร์จะรั้งไว้ได้ทัน
“น้ำหนาว”
เจ้าชายหนุ่มนักรักตะโกนเรียกตามหญิงสาวแต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะรถเมล์ได้เคลื่อนที่ออกจากป้ายไปอย่างรวดเร็วไม่ผิดขามา เจ้าชายซารีฟร์ยกมือขึ้นลูบแก้มของตนเองที่ร้อนผ่าวและมีรอยฝ่ามือเล็กๆ ขึ้นแดงเถือกทั้งห้านิ้ว
“ไม่ต้องรายงานท่านพี่ให้ทราบเรื่องนี้เลยน่ะ”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยกำชับเสียงห้วนๆ ใส่เหล่าองครักษ์ทั้งสองที่พากันลอบหัวเราะด้วยความขบขำ เขาถลึงตาใส่
ราชิตกับอาดิลอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าดุ่มๆ กลับไปที่รถซึ่งจอดสงบนิ่งอยู่หน้าผับ
องครักษ์ทั้งสองมองหน้ากันแล้วปล่อยเสียงหัวเราะก๊ากออกมาอย่างอดกลั้นไม่อยู่ นับถือดอกไม้งามแห่งสยามจริงๆ ที่กล้าตบหน้าคาสโนว่าแห่งอัลนูรีนดังฉาด!
องครักษ์ราชิตหยุดหัวเราะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ มองตามเจ้าเหนือหัวด้วยดวงตาเต้นระริกเพราะความขบขำก่อนจะเอ่ยพูดกับอาดิลเพื่อนรัก
“มีเรื่องใดบ้างละที่จะปิดเจ้าชายฮารีฟร์ เจ้าแห่งทะเลทรายผู้ยิ่งใหญ่ได้ ยิ่งเรื่องที่อนุชาของพระองค์ถูกหญิงงามตบหน้าเป็นครั้งแรกเพราะไปจูบสาวเจ้าเข้ายิ่งสมควรรายงานให้เจ้าชายฮารีฟร์ทรงทราบเป็นการด่วน!”