บทที่ 4 (2)
เจ้าชายซารีฟร์อ่านเบอร์โทรที่เขียนไว้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วเข้มหนาเป็นคำถาม ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีรอยยิ้มแตะแต้มไปทั่วด้วยความถูกใจ
นาราภัทรยิ้มแป้นพยักหน้าหงึกๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเอ่ยตอบแบบกวนๆ
“ค่ะ 911 โทรได้ตลอด 24 ชั่วโมงไม่เว้นวันหยุดราชการหรือวันหยุดนัดขัตฤกษ์”
คราวนี้เจ้าชายองค์รองแห่งราชวงศ์อัลนูรีนหัวเราะก๊ากด้วยความขบขำดังกว่ารอบแรกหลายเท่าจนแองจิล่าลูกค้าคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ รวมทั้งเหล่าองครักษ์ได้หันมามองด้วยความสงสัย
“อืม...ไม่มีปัญหา ให้โทรไป 911 แล้วติดต่อเจ้าได้ในแผนกไหน ข่าวกรอง สืบสวน หรือว่า ‘หน่วยสวาท’”
นาราภัทรถึงกับหน้าตึงร้อนผ่าวแดงก่ำไปหมดรู้ว่าบุรุษต่างชาติหล่อเหลาคนนี้ตั้งใจเน้นคำตรงคำว่า ‘สวาท’ เป็นพิเศษราวกับจงใจให้นึกถึงเรื่องอื่นมากกว่าจะเป็นหน่วยพิเศษของสหรัฐอเมริกา
“ว่าไง ให้เราติดต่อเจ้าได้ในแผนกไหน”
เจ้าชายซารีฟร์ถามย้ำพร้อมด้วยรอยยิ้มขบขำเมื่อเห็นหญิงงามจอมแก่นแก้วนิ่งเงียบไม่ตอบสักทีรู้สึกชอบใจยิ่งนักที่เห็นพวงแก้มเนียนแดงปลั่งขึ้นมาทันตาเห็นตอนที่เขาได้จงใจเอ่ยเน้นตรงคำว่า ‘สวาท’
นารภัทรหันมาแยกเขี้ยวตีหน้าบึ้งขึงตาใส่บุรุษหล่อเหลาที่ยังคองจ้องมองยิ้มยียวนรอคำตอบและเมื่อรู้ว่าไม่มีทางเลี่ยงได้หญิงสาวจึงกัดฟันกรอดกระชากเสียงตอบห้วนๆ แบบมะนาวไม่มีน้ำ
“แผนกอาชญากรรม”
เจ้าชายซารีฟร์หัวเราะร่วนขบขำไม่หาย เออหน่อ...สงสัยกินรังแตนมาอีกแล้วแน่ๆ น้ำหนาวถึงได้เล่นงานตอกกลับไม่มีลดราวาศอก
“ถ้ามีเจ้าหน้าที่สวยๆ เหมือนเจ้าอยู่ในแผนกอาชญากรรมต่อต้องให้โทรหาตลอด 24 ชั่วโมงเราก็ไม่เกี่ยง พร้อมเต็มใจอย่างยิ่ง”
“สงสัยเป็นพวกโรคจิตชอบโทรป่วนเมือง”
นาราภัทรตอกกลับซึ่งๆ หน้าไม่เกรงอกเกรงใจบุรุษหนุ่มละลายใจบรรดาสาวๆ ผู้นี้จะยิ่งใหญ่เป็นใครมาจากไหน
ราชิตกับอาดิลถึงกับพากันสำลักหัวเราะเมื่ออิสตรีชาวไทยแสนงดงามกล้าตอกหน้าต่อว่าเจ้าชายซารีฟร์ผู้ที่ได้ชื่อว่าคาสโนว่าแห่งทะเลทรายโดยไม่คิดเกรงกลัว ตั้งแต่รับใช้เจ้าชายหนุ่มพวกเขาได้เห็นหญิงสาวมากหน้าหลายตาทั้งบรรดาไฮโซดารานางแบบที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเจ้าชายนักรัก ทุกคนล้วนแต่เอาอกเอาใจเพื่อให้ได้เงินทองสิ่งตอบแทนจำนวนมหาศาลจากการคอยอยู่ปรนนิบัติเจ้าชายซารีฟร์ ทุกคนล้วนแต่พูดจาฉอเลาะอ่อนหวานไม่เคยมีใครสักคนที่ตอกกลับเจ้าชายซารีฟร์จนหน้าหงายเหมือนอิสตรีแสนงามผู้นี้มาก่อน
เจ้าชายซารีฟร์หันไปขึงตาใส่องครักษ์ทั้งสองเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความขบขำเล็ดลอดมาเข้ามากระทบประสาทหู เมื่อหันไปขู่เหล่าองครักษ์ให้หยุดหัวเราะแล้วก็ได้เอ่ยสนทนากับน้ำหนาวต่อ
“ใครว่าเราเป็นโรคจิต เราไม่ชอบโทรหาใครพร่ำเพรื่อหรอกน่ะ จะจำเพาะเจาะจงแค่หญิงสาวที่เราหมายปองเพียงเท่านั้น”
ความเป็นคนใจร้อนมักทำการใดให้ทันตามความต้องการของตนเองเสมอเจ้าชายซารีฟร์จึงได้รุกฆาตโดยไม่รั้งรอกอปรกับอยากลองใจหญิงงามที่ต้องตาต้องใจเหมือนกันว่าจะง่ายได้มากเพียงใดถ้าหากรู้ว่าเขาคือใคร
นาราภัทรทำทองไม่รู้ร้อนทำหูทวนลมไม่ได้ยินไม่รับรู้ว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ต้องการสิ่งใด แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย ดวงตากลมโตที่สงบนิ่งนั้นหญิงสาวได้หวาดหวั่นใจเต้นสั่นสะท้านกับดวงตาคมกริบที่ทอดมองแน่นิ่งไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของเธอแม้แต่วินาทีเดียว
‘โอเคอยากได้เบอร์โทรเดี๋ยวจัดให้อีกรอบ’
หญิงสาวงึมงำอยู่ในใจก่อนจะหันไปสะกิดเพื่อนสาวที่ยืนคำตาหวานจ้องมองบุรุษหล่อเหลาไม่วางตา
“แองจิล่า สุภาพบุรุษท่านนี้ต้องการเบอร์โทรแองจิล่าน่ะ”
ขณะเอ่ยบอกเพื่อนสาว นาราภัทรก็คลี่ยิ้มพรายยักคิ้วใส่บุรุษหนุ่มอย่างยียวนไม่สนใจอาการฮึ่มๆ ของอีกฝ่ายที่ถลึงตาใส่ราวกับโมโหนักหนา
“อยากได้เบอร์โทรของแองจิล่าหรือคะ ไม่มีปัญหาแองจิล่าเต็มใจให้เสมอค่ะ”
แองจิล่ากระวีกระวาดรีบเขียนเบอร์โทรพร้อมกับที่อยู่ให้บุรุษหนุ่มคมเข้มเสร็จสรรพโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายร้องขอให้เสียเวลา
“ได้แล้วค่ะเบอร์โทรพร้อมกับที่อยู่ของแองจิล่า โทรได้ตลอดเวลาเลยนะคะแองจิล่าจะเปิดเครื่องรอ”
เจ้าชายซารีฟร์กลอกตาขึ้นอย่างเซ็งๆ รับกระดาษแผ่นเล็กที่หญิงชาวอเมริกันยื่นมาให้อย่างเสียไม่ได้ก่อนจะยื่นต่อให้เหล่าองครักษ์ที่พากันยืนอมยิ้มขบขำอยู่ไม่ห่าง
เจ้าชายนักรักชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้างามที่เชิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเอาการจนจมูกโด่งงามสัมผัสแผ่วเบากับพวงแก้มแดงปลั่งพร้อมกันนั้นก็แอบสูดกลิ่นหอมละมุนละไมจรุงใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเอ่ยย้ำคำเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ
“เราไม่ต้องการเบอร์โทรผู้หญิงคนนี้ แต่เราต้องการเบอร์โทรของเจ้า...น้ำหนาว”
“อยากได้ก็หาเอาเองสิ”
นาราภัทรเอ่ยตอบเป็นภาษาไทยอย่างลืมตัวไม่ทันคิดว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้เอ่ยวาจากับเธอเป็นภาษาไทยและเรียก
ชื่อเล่นของเธออย่างชัดเจนสนิทสนมและเมื่อน้ำคำวาจาของบุรุษหนุ่มคมเข้มค่อยๆ ซึมซับเข้าทั่วกาย หญิงสาวก็เบิกตาโตอ้าปากค้างละล่ำละลักเอ่ยถามเหมือนคนละเมอ
“เมื่อสักครู่...คุณเรียกดิฉันว่าอะไรนะคะ”
“น้ำหนาว...”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยตอบเสียงนุ่มด้วยภาษาไทยชัดคำ ใบหน้าหล่อเหลาระบายไปด้วยรอยยิ้มแห่งความขบขำระคนถูกใจเมื่อเห็นหญิงสาวอ้าปากหวอด้วยความคาดไม่ถึง
“คะ...คุณพูดภาษาไทยได้”
“อืม...ใช่เราพูดได้แถมยังอ่านออกเขียนได้ดีไม่แพ้เจ้าของภาษา”
เจ้าชายนักรักแห่งทะเลทรายเอ่ยตอบยิ้มๆ ดวงตาเต้นระริกมันระยับ เห็นเรียวปากอิ่มเอิบสีหุกลาบอ้าปากกว้างจนเห็นลิ้นสีชมพูนุ่มทำให้อยากกดจุมพิตเข้าไปดูดชิมความหอมหวานจากเรียวปากของหญิงสาวยิ่งนัก น้ำหนาวช่างกระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อนของเขาได้ดียิ่ง แค่คิดว่าได้ชิมรสชาติหวานฉ่ำจากเรียวปากผิวกายเนียนลออที่โผล่พ้นขอบเสื้อลายเสือแบบสปอร์ตก็ทำเอาอารมณ์ความต้องการของเขากระเจิงแล่นพล่านทั่วทุกรูขุมขน
นาราภัทรจ้องมองบุรุษหล่อเข้มที่นั่งยิ้มทำตาพราวใส่ด้วยความไม่เชื่อสักเท่าไหร่ว่าคนที่มีนัยน์ตาคมกริบดำขลับคิ้วดำดกหนาจมูกโด่งได้รูปสวยโครงหน้าหล่อเหลาคมเข้มออกไปทางชาวตะวันออกกลางหรืออาหรับจะสามารถพูดอ่านเขียนภาษาไทยได้และที่ทำให้เธอแปลกใจหลายเท่าคือเขารู้จักชื่อเล่นของเธอได้อย่างไร
“ถึงกับอึ้งเลยหรือน้ำหนาว”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยแซวยิ้มๆ ยังไม่อยากแนะนำตัวเองจนกว่าหญิงสาวใคร่อยากรู้และเอ่ยถามออกมา
“คะ...คุณ...รู้จักชื่อดิฉันได้ไง แล้วคุณเป็นใคร”
นาราภัทรเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกักขยับกายถอยห่างจากเคาร์เตอร์เตรียมจะเผ่นหนีด้วยความหวาดกลัว ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดแต่หญิงสาวก็ยังคงอยากวิ่งหนีไปให้พ้นสายตาคมกริบที่จ้องมองเขม็งราวกับราชสีห์เตรียมขบเนื้อกระต่ายน้อย
“จำผู้ชายที่เจ้าวิจารณ์ว่าปากนิด จมูกหน่อย ผิวเข้มคมขำ ท่าทางสูงชะลูดราวกับต้นตาลถ้าไม่ใช่คนอาหรับก็ไม่รู้จะให้เป็นสัญชาติไหนไม่ได้แล้วหรือ”
เจ้าชายซารีฟร์แย้มยิ้มพรายเอ่ยทวนคำวิจารณ์แรงๆ ที่หญิงสาวเอ่ยวิจารณ์ตนก่อนหน้านี้ไม่กี่วันในร้านอาหารไทยภายในท่าอากาศยานอีกครั้งให้น้ำหนาวค่อยๆ ซึมซับคำพูดของตนเข้าไปในกายใจ
“คุณ...คุณ...คือผู้ชายที่อยู่ในร้านอาหารไทย”
“อืม...ใช่...เราคือผู้ชายคนที่เจ้าวิจารณ์เสียเละ เราคือเจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อนุชาของเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ประมุขแห่งประเทศอัลนูรีน”
“ฮ้า!!!!...”
นาราภัทรตาเหลือกร้องอุทานเสียงหลงตกใจหน้าซีดเผือดมือสั่นจนเผลอปล่อยขวดเหล้าในมือตกกระทบพื้น ดีที่พื้นใต้เท้าปูด้วยพรมเนื้อหนาชั้นดี ไม่งั้นมีหวังโดนหักค่าแรงหลายสิบเหรียญเพื่อเอามาจ่ายค่าเหล้าขวดนี้เป็นแน่
“คุณเป็นอนุชาของเจ้าชายฮารีฟร์งั้นหรือ”
ทั้งๆ ที่เจ้าชายหนุ่มได้เอ่ยแนะนำตัวเองไปหยกๆ ไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ แต่นาราภัทรก็ยังคงถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้หูฝาดไป
“เราเป็นเจ้าชายองค์รองแห่งราชวงศ์อัลนูรีน มีเชษฐาคือเจ้าชายฮารีฟร์และมีอนุชาองค์เล็กคือเจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์”
เจ้าชายซารีฟร์คลี่ยิ้มพรายถือโอกาสแนะนำสำมะโนครัวของตนเองเสียเสร็จสรรพ เห็นใบหน้างามแก่นแก้วถอดสีเผือดไร้สีเลือดแล้วทำให้รู้สึกสงสารหญิงเจ้าอยู่ไม่น้อยและรู้เท่าทันความคิดของน้ำหนาวที่คิดว่าตนเองมาที่นี่เพื่อต้องการมาลงโทษเธอที่บังอาจติฉินนินทาเจ้าชายผู้สูงศักดิ์
‘ซวยแล้วเรา จุดไต้ตำตอเสียแล้วงานนี้ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่’
นาราภัทรนึกเอ่ยเจริญพรตัวเองกับน้องสาวอยู่ในใจ เจ้าชายซารีฟร์คนนี้คงมาเล่นงานทำโทษเธอกับน้องสาวที่บังอาจไปวิจารณ์ต่อว่าเขาเสียเละ แต่คนที่จะถูกเล่นงานมากที่สุดคงไม่พ้นตัวเธอแน่ก็วันนั้นเล่นคันปากต่อว่าทั้งเชษฐาทั้งอนุชาโดยไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม
“เอ่อ...แล้วคุณ...เจ้าชายมาที่นี่ทำไม หรือว่าจะมาลงโทษคนที่บังอาจไปแตะต้องราชวงศ์ชั้นสูงแห่งอัลนูรีน”
พอตั้งสติได้นาราภัทรก็เชิดหน้าขึ้นเอ่ยประชดเสียงแข็ง เรื่องอะไรจะแสดงออกให้รู้ว่ากลัว ต่อให้กลัวเจ้าชายผู้นี้มากแค่ไหนก็ไม่แสดงออกให้เห็นหรอกเดี๋ยวจะได้ใจตอกกลับเธอคืน
เจ้าชายซารีฟร์กลอกตาขึ้นบนกลั้นหัวเราะจนปวดกรามกับท่าทีของหญิงสาวที่ตนเองต้องใจภัก ดูเอาเถอะ...กลัวจะแย่อยู่แล้วแต่เจ้าตัวยังคงดื้อรั้นเชิดหน้าใส่เอ่ยประชดประชันแขวะกัดเขาเหมือนเดิมไม่มีผิด
“เลิกงานตอนไหน”
แทนที่จะตอบคำถามของหญิงสาวแต่เจ้าชายนักรักแห่งทะเลทรายกลับเอ่ยถามไปเรื่องอื่นทำเอานาราภัทรมึนงงตามอารมณ์อีกฝ่ายแทบไม่ทัน
“วันนี้เลิกงานตีสาม” นาราภัทรกระชากเสียงตอบออกจะงงๆ เหมือนกันว่าเจ้าชายซารีฟร์รูปหล่อจะอยากรู้ไปทำไมกัน
“เลิกงานแล้วรออยู่หน้าผับ จะส่งกลับบ้านเอง”
นี่แหละ! บุรุษชาติอาหรับแห่งราชวงศ์อัลนูรีนของแท้แน่นอนที่ถนัดสั่งหญิงอื่นจนเคยชิน แต่ใช่ว่าอิสตรีสาวชาวไทยจะยอมอ่อนข้อโอนอ่อนให้กับความร่ำรวยความหล่อเหลาง่ายๆ ดังที่เจ้าชายซารีฟร์นึกคิด
“ไม่ต้องไปส่ง โตแล้วกลับบ้านเองได้”
นาราภัทรตอกกลับโดยไม่สนใจว่าเจ้าชายหนุ่มจะโกรธเคืองสักเพียงใด ก็เธอไม่ใช่ราษฎรปวงผองชาวอัลนูรีนนี่ที่ต้องลนลานทำตามคำสั่งของเจ้าชายซารีฟร์
เจ้าชายซารีฟร์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ น้ำหนาวเป็นหญิงสาวคนแรกและคนเดียวในโลกที่กล้าปฏิเสธสิ่งที่เจ้าชายนักรักแห่งทะเลทรายได้หยิบยื่นให้ ถ้าเป็นหญิงอื่นป่านนี้คงกระโดดตัวลอยวิ่งแจ้นเข้าไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ภายในรถหรู และเพราะน้ำหนาวเป็นหญิงเดียวที่ทำให้เขามีใจรักภักดีได้ตั้งแต่แรกเห็นจึงทำให้เขาอดทนกับหญิงสาวได้มากที่สุดและต้องการพบเจอะเจอได้เห็นใบหน้างามแก่นแก้วจนต้องตามหญิงสาวมาถึงที่ทำงาน
“ตีสามน่ะ น้ำหนาว เราจะรอเจ้าอยู่หน้าผับ”
เจ้าชายซารีฟร์ย้ำคำสั่งอีกครั้งโดยไม่สนใจอาการขัดเคืองกระทืบเท้าของคนถูกบังคับเหมือนกัน
“ฮึ!...เอาแต่ใจ หมดธุระหรือยัง ถอยออกจากเคาร์เตอร์ได้แล้วตัวใหญ่ยักษ์นั่งบังแบบนี้ลูกค้าคนอื่นก็เข้ามาซื้อเหล้าไม่ได้”
นาราภัทรขึงตาใส่มองเจ้าชายซารีฟร์ด้วยดวงตาเขียวปัดขณะเอ่ยปากไล่เจ้าชายหนุ่ม รู้ว่าอีกฝ่ายโกรธน่าดูแต่ก็ไม่ใส่ใจเอ่ยขอโทษ
องครักษ์ราชิตกับอาดิลถึงกับสำลักพากันกลั้นหัวเราะจนปวดกรามหน้าแดงก่ำไหล่สะท้านเมื่อได้ยินประโยคถ้อยคำที่อีกหนึ่งหญิงงามชาวสยามได้เอ่ยปากไล่เจ้าเหนือหัวของพวกตน เจ้าชายนักรักแห่งอัลนูรีนก็ใช่ย่อยเสียที่ไหนเรื่องออกคำสั่งคนใต้อาณัติต้องยกให้กับเจ้าชายซารีฟร์ แต่เหนือเจ้าชายซารีฟร์ก็ยังคงมีคุณน้ำหนาวที่พวกตนขอชูฮกว่าแน่มากๆ และก็ขอยกย่องให้เป็นเจ้าเหนือหัวของพวกตนอีกคน
เจ้าชายซารีฟร์หน้าตึงเล็กน้อยที่ถูกน้ำหนาวเอ่ยปากไล่ตรงๆ แถมยังได้ยินเสียงหัวเราะขบขำของเหล่าองครักษ์ตัวแสบที่ทำท่าจะกบฏแปรพักตร์เป็นอยู่ฝ่ายของน้ำหนาวเล็ดลอดมาให้ได้ยินได้โมโหอีกครา
“เดี๋ยวก่อนเจ้าจะไปไหน” เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยเรียกเมื่อเห็นนาราภัทรทำท่าจะผละออกไปจากบริเวณเคาร์เตอร์
“จะไปห้องน้ำ”
นาราภัทรเอ่ยตอบเน้นคำกำลังหันหลังกลับจะเดินออกจากเคาร์เตอร์บาร์แต่ถูกมือใหญ่ร้อนผะผ่าวฉุดดึงไว้ก่อน หญิงสาวรู้สึกร้อนวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเมื่อถูกมือหนากอบกุมไว้แน่นเท่านั้นไม่พอนิ้วโป้งใหญ่ยังคอยกดคลึงทั่วบริเวณหลังข้อมือที่เจ้าตัวได้กอบกุมไว้
“เรารู้ว่าเจ้าตั้งใจจะหนีเรามากกว่าจะไปห้องน้ำ แต่ก็ไม่เป็นไรเราเว้นวรรคให้เจ้าทำใจสักสองสามนาที แต่ก่อนเจ้าจะหลบหนี เราอยากให้เจ้าอ่าน ‘จดหมายรัก’ ที่เจ้าได้เขียนให้เราและเราก็ได้เขียนตอบเจ้าแล้วเช่นเดียวกัน”
เอ่ยบอกเสร็จแล้วเจ้าชายซารีฟร์ก็หยิบจดหมายรักออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้ววางลงไปอย่างแผ่วเบาบนฝ่ามือนิ่มที่ตนเองได้บังคับให้หงายรอรับจดหมายและก่อนจะผละออกเจ้าชายซารีฟร์ก็ได้ย้ำคำสั่งอีกครั้ง
“ตีสามน้ำหนาว เราจะรอหน้าผับ ห้ามหนีกลับก่อน”
เจ้าชายหนุ่มผู้หล่อเหลาแห่งแผ่นผืนทะเลทรายได้เดินจากไปนานหลายนาทีแล้วแต่นาราภัทรยังคงยืนงงรับรู้กระแสไออุ่นทั้งถ้อยคำและรอยสัมผัสที่ยังคงแล่นพล่านทั่วกายใจพอรู้สึกก็รีบหยิบกระดาษแผ่นเล็กที่เธอจำได้ดีว่าตนเองเป็นคนเขียนและเอาไปให้กับเจ้าชายซารีฟร์ซึ่งด้านหน้าเป็นลายมือของเธอและแน่นอนด้านหลังกระดาษที่ถูกบรรจงเขียนด้วยภาษาไทยอย่างสวยงามจะเป็นลายมือใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์
หญิงสาวคลี่จดหมายรักที่ว่าขึ้นมาแล้วพึมพำอ่านข้อความที่ตนเองได้เขียนให้เจ้าชายซารีฟร์และเจ้าชายซารีฟร์ก็ได้เขียนตอบดังที่บอกไว้ก่อนหน้านี้
“คนไร้มารยาท”
“ต้องการคนสอนมารยาท...เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์”