บทที่ 4 (1)
The Long Night Pub…
นาราภัทรถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหน็ดเหนื่อยกับการทำหน้าที่บาร์เทนดี้ไม่ได้หยุดพักแม้นาทีเดียวนับตั้งแต่
The Long Night Pub ของดีตาพอลได้เปิดให้บริการในค่ำคืนนี้ หญิงสาวมองไปยังช่องประตูทางเข้าผับซึ่งยังคงมีลูกค้าทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ขาดสายจนภายในผับแน่นขนัดไปด้วยบรรดานักท่องราตรีทั้งหญิงทั้งชายจนแทบจะไม่มีที่ให้ยืน “วันนี้อีตาพอลแจกเหล้าฟรีหรือไงน่ะ บรรดาเสือหิวถึงได้เข้ามาในร้านมากกว่าทุกวันทั้งๆ ที่เป็นกลางสัปดาห์อยู่”
นาราภัทรหันไปบ่นเป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อนร่วมงานอีกคนที่ทำหน้าที่เป็นบาร์เทนดี้ชงเหล้าเช่นเดียวกันกับเธอ
“เห็นด้วยน่ะ ไม่รู้อีตาพอลไปโปรโมทร้านอีท่าไหนคนถึงได้แห่เข้าร้านมากมายขนาดนี้ ตั้งแต่เปิดร้านเรายังไม่ได้พักเหนื่อยเลย”
แองจิล่า บาร์เทนดี้สาวเอ่ยตอบน้ำหนาวด้วยน้ำเสียงเนือยๆ การที่มีนักท่องราตรีเข้าร้านจนแน่นขนัดเป็นการดีสำหรับคนที่เป็นเจ้าของร้าน แต่สำหรับพวกเธอแล้วต้องเหนื่อยแทบขาดใจ ไหนต้องคอยชงเหล้าบริการลูกค้าไหนต้องคอยหาวิธีหลบหลีกบรรดาเสือหิวที่เมาได้ที่แล้วก็คอยแทะโลมจับนิดแตะหน่อย ตัวเธอนั้นไม่เท่าไหร่หรอกเพราะเป็นฝรั่งผิวขาวซีดเผือดแถมกระขึ้นเต็มหน้า แต่หญิงสาวชาวไทยที่ยืนถอนหายใจเฮือกๆ นี่สิที่โดนแตะอั๋งมากที่สุด ด้วยผิวกายขาวผ่องยองใย ใบหน้างามหวานลออ ดวงตากลมโตเส้นผมยาวเงางามนุ่มสลวยทำให้นักท่องราตรีหื่นกามทั้งหลายคอยแวะเวียนมาแทะโลมเพื่อนของเธอแทบตลอดเวลา
“สงสัยอีตาพอลมีนางกวักดีแน่ๆ ลูกค้าถึงเข้าร้านมากมายขนาดนี้”
นาราภัทรบ่นงึมงำไม่หยุดปากมือบางก็คอยชงเหล้าให้บรรดาเสือหิวทั้งหลายเป็นระวิงไม่ได้หยุดพัก ไม่รู้พวกผู้ชายเหล่านี้หาเงินได้ง่ายดายกันหรืออย่างไรถึงได้ซื้อเหล้าแก้วเล็กนิดเดียวในราคา 10 ดอลลาร์ได้คนละสิบยี่สิบแก้ว
แองจิล่าขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งด้วยความสงสัยแกมงุนงงกับคำพูดของเพื่อนสาวชาวไทย เธอขยับกายเข้าใกล้เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นก่อนจะเอ่ยถาม
“น้ำหนาว นางกวักนี่หมายถึงอะไรหรือ”
“เอ่อ...ไงดีล่ะ...”
นาราภัทรงงไปชั่วขณะลืมไปว่าแองจิล่าเพื่อนต่างชาติไม่ใช่คนไทยด้วยกันเพราะฉะนั้นถ้อยคำบางคำประโยคบางประโยคที่เธอมักหลุดพูดออกมาจะทำให้แองจิล่างุนงงและคอยสักถามให้กระจ่างแจ้งเสมอ
“คือ...นางกวักเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือในหมู่นักค้าขายเป็นอย่างมาก นางกวักเป็นสตรีไทยสมัยโบราณผมยาวประบ่า ห่มผ้าสไบเฉียง นุ่งผ้ายกดอกนั่งพับเพียบอยู่บนแท่นทอง หัตถ์ขวายกงอขึ้นในท่ากวักมือ หัตถ์ซ้ายถือถุงเงิน”
หญิงสาวอธิบายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างก็นับถือและไม่ได้อธิบายเปล่าแต่ได้ทำท่านางกวักให้เพื่อนสาวได้ดูด้วยจากนั้นก็เอ่ยบอกเล่าเรื่องราวของนางกวักต่อ
“คนที่ทำธุรกิจค้าขายส่วนมากจะเช่านางกวักมาบูชาติดหน้าร้านไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กร้านใหญ่ร่ำรวยแค่ไหนก็มักนิยมบูชานางกวักเสมอ นี่ถ้าหากแองจิล่ามีโอกาสได้เดินทางไปเมืองไทยจะเห็นว่าร้านขายข้าวราดแดง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้มโต้รุ่งหรือร้านค้าต่างๆ มักจะมีนางกวักไว้บูชาเสมอเพื่อให้ค้าขายเจริญรุ่งเรืองไม่ขาดทุนเงินทองไหลมาเทมามีลูกค้าเข้าร้านไม่ขาดสาย”
แองจิล่าพยักหน้าหงึกๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่เธอก็ชอบฟังเรื่องราวต่างๆ ในดินแดนเมืองไทยที่เพื่อนสาวได้อธิบายเล่าเรียงให้ฟังอยู่บ่อยๆ
“อืม...สงสัยอีตาพอลคงมีนางกวักดีเหมือนที่น้ำหนาวพูด ดูสิ...มีลูกค้าเข้ามาในผับอีกแล้ว สงสัยคืนนี้พวกเราไม่มีเวลาพักแน่”
แองจิล่าถอนหายใจยาวบุ้ยปากพยักพเยิดไปที่ช่องประตูผับให้เพื่อนได้ดูนักท่องราตรีที่เดินเข้ามาในผับกลุ่มใหญ่และเมื่อได้เห็นกลุ่มบุรุษหนุ่มมาดเข้มหล่อเหลาที่กำลังย่างเท้าเข้ามาภายในผับด้วยท่วงท่าทรงอำนาจน่าเกรงขามแองจิล่าก็ร้องกรีดออกมาเบาๆ ด้วยความตื่นเต้น ขยับกายเข้าไปใกล้น้ำหนาวอีกนิดแล้วสะกิดต้นแขนเนียนให้เพื่อนสาวได้ดูนักท่องเที่ยวหนุ่มหล่อเหลามาดคมเข้มพร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างปลาบปลื้มดวงตาเต้นระริกแพรวพราวที่ได้เห็นหนุ่มหล่อๆ
“น้ำหนาวดูลูกค้า 3 คนนั้นสิ โอ๊ย! แต่ละคนหล่อเหลาบาดใจฉันจริงๆ เห็นแล้วใจจะละลาย ถ้าได้เป็นบอยเฟรนด์เป็นสามีฉันจะขอนอนกอดตลอด 24 ชั่วโมง”
“เกินไปแล้วมั้งแองจิล่า ชายหนุ่มที่ไหนจะหล่อเหลาลากดินได้ขนาดนั้น”
นาราภัทรส่ายหน้าอย่างระอาตีลงไปบนต้นแขนเพื่อนสาวเบาๆ พร้อมกับเอ่ยแซวกลั้วหัวเราะเห็นแองจิล่าเป็นปลื้มชายหนุ่มแทบทุกคนที่เข้ามาในผับแห่งนี้
“3 คนนี้หล่อจริงๆ น่ะ โดยเฉพาะคนที่เดินนำหน้าสุดท่าทางจะเป็นเจ้านาย ดูหล่อเหลาคมเข้มกว่าใครเพื่อน รัศมีแผ่รอบกายดูเกรงขามบึกบึนน่าเข้าไปกระโดดกอดแล้วหอมแก้มสักฟอดใหญ่”
อาการปลาบปลื้มบุรุษหนุ่มที่เดินเข้ามาในผับของแองจิล่าไม่มีทีท่าว่าจะเลิกง่ายๆ หญิงสาวเอ่ยไปหน้าแดงไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ฝันหวานอยากตกไปอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลา
“ไหน...ขอชื่นชมเป็นบุญตาหน่อยสิว่าชายหนุ่มที่แองจิล่าปลื้มนักปลื้มหนาจะหล่อเหลามากเพียงใด”
น้ำหนาวอดรนทนไม่ไหวกับอาการปลื้มของเพื่อนสาว เธออมยิ้มมองเพื่อนรักที่ยังคงทำตาหวานเยิ้มก็ส่ายหน้าอย่างขบขำ ละมือจากการชงเหล้าให้ลูกค้าครู่หนึ่งแล้วหันไปมองตามสายตาของแองจิล่า
รอยยิ้มหวานที่ยิ้มให้แองจิล่าก่อนหน้ามีอันต้องชะงักงัน มือบางที่ชงเหล้าเป็นระวิงสั่นเทาเล็กน้อย พวงแก้มเนียนร้อนผ่าวแดงปลั่งเมื่อดวงตากลมโตได้มองปะทะกับดวงตาคมกริบดำสนิทดุจราตรีกาลที่กำลังจ้องมองเขม็งไม่วางตาขณะที่บุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาทรงอำนาจได้สาวเท้าช้าๆ ตรงมาหาเธอ
“ทำไมคุ้นๆ หน้าผู้ชายคนนี้นักน่ะ”
นาราภัทรนิ่งขึงเป็นนานกว่าจะหาลิ้นตัวเองเจอและเอ่ยพึมพำตอบเพื่อนสาวได้ในที่สุดโดยที่ดวงตากลมโตคู่สวยก็ไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าคมเข้มเรือนกายกำยำของบุรุษหนุ่มที่กำลังย่างกรายเข้ามาในผับ
สาวแองจิล่าได้ยินเพื่อนชาวไทยพึมพำออกมาเบาๆ ก็ถึงกับหูผึ่งรีบเข้าไปกระซิบถามอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น
“น้ำหนาวรู้จักเขาหรือ”
นาราภัทรหันมามองหน้าเพื่อนสาวที่แสดงอาการดีใจออกนอกหน้าก่อนจะส่ายหัวเอ่ยปฏิเสธออกมา
“เอ่อ...เราไม่รู้จักหรอกแค่เพียงคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อนแต่เรานึกไม่ออกก็เท่านั้นเอง”
หญิงสาวรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาบุรุษหล่อเหลาที่กำลังเดินตรงดิ่งมาหาเธอยิ่งนัก โดยเฉพาะลูกตาดำขลับวาววับที่ทอดมองแน่นิ่งเป็นสิ่งที่สะดุดใจเธอมากเป็นพิเศษ
“น้ำหนาว ให้เราเป็นคนบริการผู้ชายคนนี้น่ะ”
แองจิล่ากระซิบบอกพร้อมกับฉีกยิ้มหวานให้บุรุษหนุ่มที่เดินแหวกฝูงชนมาเกือบถึงเคาร์เตอร์บาร์ตำแหน่งที่พวกเธอได้ทำหน้าที่เป็นบาร์เทนดี้
“อืม...ได้สิ”
นาราภัทรงึมงำตอบในลำคอแล้วขยับกายสลับตำแหน่งที่ยืนเพื่อให้แองจิล่ายืนตรงที่ของเธอเพราะบุรุษหนุ่มหล่อเข้มได้เดินตรงดิ่งไม่วอกแวกมายังตำแหน่งที่เธอยืนอยู่เท่านั้น
“ขอบใจมาก”
แองจิล่ายิ้มหวานรีบขยับเข้าไปยืนตรงตำแหน่งของเพื่อนสาวด้วยต้องการบริการชงเหล้าให้กับบุรุษหนุ่มหล่อเหลาท่าทางกระเป๋าหนักที่กำลังเดินตรงมา
แต่แล้วทั้งแองจิล่าและนาราภัทรก็ออกอาการแปลกใจไปตามๆ กัน เมื่อจู่ๆ บุรุษหนุ่มนัยน์ตาคมกริบได้เปลี่ยนทิศทางเป้าหมายเดินตรงมาที่นาราภัทรเหมือนเดิม
แองจิล่านั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างแสนเสียดายที่ไม่ได้บริการหนุ่มหล่อที่ตนเองถูกอกถูกใจตั้งแต่แรกเห็น ส่วนนาราภัทรก็ออกอาการงุนงงที่บุรุษหนุ่มผู้นี้ได้จำเพาะเจาะจงเดินตรงมาหาแต่เพียงผู้เดียว
จุดมุ่งหมายของการมาที่ The Long Night Pub คือน้ำหนาว หญิงงามที่เจ้าชายองค์รองแห่งทะเลทรายได้หมายปองเพียงเท่านั้นและเมื่อหญิงสาวขยับกายสลับตำแหน่งที่ยืนกับเพื่อนอีกคน เจ้าชายหนุ่มก็เบนทิศทางมุ่งตรงไปหาน้ำหนาวเหมือนดังเดิม
เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ แทบลืมหายใจเมื่อเดินเข้ามาใกล้ในระยะกระชั้นชิดแล้วได้เห็นชุดที่น้ำหนาวสวมใส่อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเขาต้องตะลึงงันชะงักอยู่ตรงช่องธรณีประตูเมื่อกวาดสายตาเข้ามาภายในผับแล้วได้เห็นน้ำหนาวยืนชงเหล้าให้บรรดานักท่องราตรีด้วยชุดที่ค่อนข้างล่อแหลมและเมื่อได้เห็นหญิงสาวสะบัดมือออกเมื่อถูกผู้ชายคนหนึ่งแตะอั๋งเข้าทำให้เขาโมโหเดือดด้วยความหวงแหนจนต้องรีบสาวเท้ายาวๆ ตรงมาหาหญิงสาว ไอ้หนุ่มหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องหญิงงามจอมแก่นแก้วของเจ้าชายซารีฟร์
เมื่อได้หยุดยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่ยังคงความงดงามประทับตราตรึงใจและได้เห็นผิวกายขาวผ่องเนียนลออตรงช่วงเอวคอดกิ่วและตรงลำคอระหงไล่เรื่อยต่ำลงมาจนเกือบเห็นปทุมคู่งามที่เปิดเปลือยให้บรรดาเสือหิวได้แทะโลมทำให้เจ้าชายซารีฟร์ร่ำๆ จะหันไปสั่งราชิตกับอาดิลให้หาเสื้อผ้าที่มิดชิดกว่านี้ให้น้ำหนาวใส่ เขาไม่ต้องการให้ใครได้เห็นสิ่งสวยงามหวานลออที่กำลังจะตกมาเป็นของเขาในอีกไม่ช้านาน และเพราะมั่นใจว่าหญิงงามชาวสยามผู้นี้ได้เกิดมาเพื่อบุรุษชาติอาหรับเช่นตนเองทำให้เจ้าชายซารีฟร์กล้าพูดได้เต็มปากว่าน้ำหนาวเป็นผู้หญิงของเขาแต่เพียงผู้เดียว
นาราภัทรรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อเจอสายตาคมกริบของบุรุษหนุ่มหล่อเหลาแผ่รัศมีความเป็นผู้ทรงอำนาจรอบกายได้จ้องเอาโดยไม่พูดจา ทำไมรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคมกริบดำขลับคู่นี้ยิ่งนักราวกับเพิ่งเคยเจอกันมาเมื่อไม่กี่วันมาก่อน
“เอ่อ...รับอะไรดีคะ”
ในที่สุดนาราภัทรก็เป็นผู้เอ่ยถามทำลายความเงียบและดึงความสนใจของบุรุษหนุ่มที่ดูเหมือนเป็นชาวอาหรับให้หันมาสนใจเครื่องดื่มแทนที่จะเป็นใบหน้าหวานๆ ของเธอ
เจ้าชายซารีฟร์คลี่ยิ้มพราย ดวงตาคมเต้นระริกมันระยิบจากนั้นก็ยื่นธนบัตรใบละ 10 ดอลลาร์ออกมาวางบนเคาร์เตอร์ 2 ใบก่อนจะเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลแต่แฝงไว้ซึ่งอำนาจเพื่อเป็นการหยั่งเชิงหญิงสาวแสนสวยแก่นแก้วที่ยืนอยู่หลังเคาร์เตอร์
“เตกีลาแก้วพร้อมกับเบอร์โทร”
นาราภัทรหน้าตึงตีหน้าบึ้งทันทีกับคำสั่งที่เอ่ยออกมาเป็นภาษาอังกฤษ แต่เพียงครู่เดียวหญิงสาวก็ฉีกยิ้มหวานกรีดนิ้วเรียวยาวไปดึงธนบัตรมาจากมือหนาแล้วแกล้งเอ่ยตอบเสียงหวานหยดย้อยเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน
“10 ดอลลาร์สำหรับเตกีลาและขออีก 10 ดอลลาร์สำหรับเบอร์โทร”
ใช่ว่าจะไม่เคยรับมือกับบรรดานักท่องราตรีหัวงูทั้งหลายเสียเมื่อไหร่ การทำงานในผับเช่นนี้ทำให้นาราภัทรพบเจอลูกค้ามาแล้วทุกประเภทและก็สามารถรับมือไว้ได้หมดเช่นเดียวกัน
เจ้าชายซารีฟร์กระตุกยิ้มตรงมุมปากออกจะผิดหวังอยู่เล็กน้อยเมื่อคิดว่าหญิงสาวคงแจกเบอร์โทรให้กับนักท่องราตรีคนอื่นๆ เช่นเดียวกับตนเอง แต่กระนั้นในความเสียใจก็ยังคงแฝงไปด้วยความดีใจเช่นเดียวกันที่อีกไม่กี่นาทีก็ได้เบอร์โทรของน้ำหนาวมาไว้ครอบครองเอาไว้ติดต่อสื่อสารในยามคำนึงหวลหา
“20 ดอลลาร์สำหรับเบอร์โทรออกจะแพงไปนิดน่ะ”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยแซวกลั้วหัวเราะ ใบหน้าคมเข้มระบายไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมกริบเต้นแพรวพราวขณะหยิบธนบัตรอีก 10 ดอลลาร์ออกมาแล้วยื่นให้กับน้ำหนาวที่ยังกรีดนิ้วมารับไปเหมือนเดิม
“ก็ไม่ได้บังคับนี่คะ ตัวเลขมันเยอะราคาค่างวดก็ต้องแพงตามไปด้วย”
นาราภัทรสวนกลับทันควันก่อนจะคลี่ยิ้มหวานรับธนบัตรอีก 10 ดอลลาร์มาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงจากนั้นหันหลังไปหยิบกระดาษแผ่นเล็กกับปากกาแล้วตวัดเขียนเบอร์โทรให้บุรุษหนุ่มหล่อเหลาจอมยียวนกวนโทสะ
‘อยากได้เบอร์โทรนักใช่ไหม เดี๋ยวน้ำหนาวจัดให้ เห็นแล้วอย่าร้องโวยวายก็แล้วกัน’
หญิงสาวงึมงำขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียวขณะหันหลังเขียนเบอร์โทรให้อีกฝ่าย
“ได้แล้วค่ะ เตกีลาและเบอร์โทร”
หญิงสาวยื่นแก้วเหล้าใบเล็กที่บรรจุเตกีลาลงไปครึ่งแก้วให้กับบุรุษหนุ่มส่วนกระดาษแผ่นเล็กเธอยื่นให้ทีหลังโดยคว่ำด้านที่มีเบอร์โทรลงกับเคาร์เตอร์บาร์ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นก่อนจะยกขึ้นมาดู
เจ้าชายซารีฟร์ไม่ได้สนใจเตกีลาที่ถูกยื่นมาตรงหน้าแต่สิ่งที่ตนเองเฝ้ารอคอยคือเบอร์โทรศัพท์ของหญิงงามที่ต้องใจภักเสียมากกว่า และเมื่อได้เห็นเบอร์โทรที่บรรจงเขียนอย่างสวยงามก็มีอันต้องหัวเราะร่วนออกมาด้วยความขบขำ
“911...”