บทที่ 2 (2)
‘อ้อ...ชื่อน้ำหนาว ชื่อน่ารักแฮะ’
เจ้าชายซารีฟร์อมยิ้มนึกชมหญิงสาวที่เริ่มชอบขึ้นมาตะหงิดๆ อยู่ในใจ ไม่แสดงตนว่าเข้าใจภาษาไทยที่หญิงงามทั้งสองเอ่ยสนทนากันอย่างแจ่มแจ้ง
“เขาชื่อเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ น้ำหนาวเรียกเจ้าชายให้ดีๆ หน่อยสิ แล้วก็เบาเสียงลงด้วยเผื่อว่าผู้ชายคนนั้นจะฟังภาษาไทยออก”
น้ำค้างเอ่ยเรียกชื่อเจ้าชายที่ตนเองรู้สึกว่ามีพระคุณเรื่องการรักษาพ่อให้ถูกต้องอย่างเต็มยศพร้อมกับตีลงไปบนต้นแขนขาวเนียนของแฝดผู้พี่และเอ็ดออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่
เจ้าชายซารีฟร์ถึงกับหูผึ่งดีดตัวนั่งตัวตรงเมื่อหญิงสาวงดงามอ่อนหวานที่ชื่อน้ำค้างได้เอ่ยชื่อเชษฐาของตนออกมา และไม่เกินนาทีเจ้าชายผู้หล่อเหลาบาดใจสาวก็มีอันต้องหน้าม้านตีหน้าตึงขำไม่ออกเมื่อถูกน้ำหนาวต่อว่าเอาแบบซึ่งๆ หน้า
“เหอะ!...ฟังไม่ออกหรอก หน้าตาออกจะอาหรับซะปานนั้นฟังภาษาไทยออกก็อัจฉริยะแล้ว”
น้ำหนาวหันไปแยกเขี้ยวเอ่ยแขวะบุรุษรูปงามที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยแต่กลับโดนแบบเต็มๆ จากนั้นก็หันกลับมาตักข้าวกินหน้าตาเฉย
“รู้ได้ไงว่าเขาเป็นอาหรับ เขาอาจจะเป็นคนยุโรปก็ได้” น้ำค้างเอ่ยวิเคราะห์เบาๆ น้ำเสียงติดจะเกรงใจบุรุษหนุ่มที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาในขณะนี้
“น้ำค้างดูสิ ปากนิด จมูกหน่อย ผิวเข้มคมขำ ท่าทางสูงชะลูดราวกับต้นตาลถ้าไม่ใช่คนอาหรับก็ไม่รู้จะให้เป็นสัญชาติไหนแล้ว”
น้ำหนาวเอ่ยวิจารณ์วิเคราะห์แบบไม่ต้องเกรงใจใครขณะที่เอ่ยต่อว่าก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลยว่าบุรุษหนุ่มรูปงามหน้าตึงแดงก่ำด้วยความโมโหระคนขบขำ
เจ้าชายซารีฟร์ถึงกับสำลัก แม่สาวน้อยแสนสวยแก่นแก้ววิจารณ์ได้แรงๆ จริง หญิงสาวพูดเสียเห็นภาพจนเขากลายเป็นตุ๊กตาเบบี้ก็ไม่ปาน
“เฮ้อ!...ช่างเถอะอย่าพูดถึงคนอื่นเลย”
น้ำค้างโบกมือปัดแล้วเอ่ยถามพี่สาวด้วยความกังวล ตอนนี้เธอกับแฝดผู้พี่ควรมุ่งความสนใจมาที่เรื่องภายในครอบครัวเสียมากกว่า
“หลังจากนี้เอาไงต่อดี น้ำค้างจะทำงานเสริฟในร้านอาหารไทยเพิ่มอีกสัก 4 ชั่วโมงจะได้มีเงินเก็บไปไถ่บ้านไถ่โรงแรมของเราคืน”
“ไหวหรือน้ำค้าง เราว่าตัวทำแค่ 3 ชั่วโมงก็พอแล้วงานเด็กเสริฟเหนื่อยจะตายไป ไหนต้องเดินเสริฟเกือบทั้งวัน พอว่างหน่อยเจ้าของร้านก็เอาเปรียบให้ตัวไปล้างจานในครัวอีก”
น้ำหนาวเอ่ยค้านน้องสาวด้วยรู้ว่าทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านอาหารไทยที่มีเจ้าของหน้าเลือดเอารัดเอาเปรียบลูกน้องนั้นหนักหนาสาหัสเอาการเพราะเธอเองก็เคยทำมาแล้วแต่ทนไม่ไหวจนต้องเปลี่ยนงานอื่นที่สบายและเบากว่า
“ไหวสิน้ำหนาว เราทำได้อยู่แล้ว แล้วตัวจะเอาไงจะทำงานที่ผับของไอ้พอลจอมแต๊ะอั๋งเหมือนเดิมหรือ”
“ฮื้อ!...คงทำที่นั่นเหมือนเดิม”
น้ำหนาวเอ่ยตอบแฝดน้องอย่างเหนื่อยหน่ายรู้ว่า ‘พอล’ เจ้าของผับเป็นจำพวกปากว่ามือถึงแต่เธอก็จำเป็นที่ต้องทำงานที่นั่น เพราะทั้งค่าแรงและทิปที่ได้รับในแต่ละคืนก็มากโขเอาการเหมือนกัน
“จะดีหรือน้ำหนาว อีตาพอลและก็ลูกค้านักเมาทั้งหลายมือเร็วจะตายไปโดยเฉพาะอีตาพอลตัวดี เราเห็นมันเข้าใกล้น้ำหนาวทีไรชอบทำเป็นเอื้อมมือมารับแก้วเหล้าแล้วก็แอบจับมือน้ำหนาวไปด้วย”
น้ำค้างค้านแฝดพี่ด้วยความไม่สบายใจ หญิงสาวเคยไปรอรับพี่สาวเลิกงานที่ผับและลอบสังเกตเห็นว่าพอลจอมเจ้าชู้เจ้าของผับมักจะแอบจับนิดแตะหน่อยเท่าที่พอจะทำได้
น้ำหนาวกลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอตามด้วยน้ำเปล่าอึกใหญ่กลั้วคอแล้วรวบช้อนไว้อย่างเรียบร้อยจึงได้เอ่ยตอบน้องสาวอย่างไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
“น้ำค้างอย่าห่วงเลย เราหาทางหลบเลี่ยงได้ อีกอย่างเราเป็นบาร์เทนดี้คอยชงเหล้าให้ลูกค้าต้องหลบอยู่หลังเคาร์เตอร์ตลอดเวลายังไงอีตาพอลมันก็จับได้แค่มือแหละ น้ำค้างไหวน่ะถ้าหากต้องทำงานหนักขึ้นอีกนิด”
นาราภัทรยิ้มหวานสดใสให้น้องสาวโดยไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มหวานพิมพ์ใจรอยยิ้มแรกตั้งแต่เข้ามานั่งในร้านอาหารได้ทำให้อีกหนึ่งบุรุษชาติชาวอาหรับผู้หล่อเหลาถึงกับตะลึงงันนิ่งขึงตัวชาไปชั่วขณะ
น้ำค้างยิ้มหวานให้กำลังใจพี่สาวบ้างแล้วเอ่ยตอบแฝดพี่ด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับให้ร่าเริงแจ่มใสเท่าที่จะทำได้
“เราช่วยกันทำงานน่ะน้ำหนาว เงินที่ได้ทุกบาททุกสตางค์เราก็ส่งไปให้พี่น้ำเหนือไถ่บ้านพี่น้ำเหนือจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับเจ้าชายฮารีฟร์”
ทุกประโยคสนทนาปรึกษาหารือของสองสาวแสนสวยทำให้เจ้าชายซารีฟร์สนใจยิ่งนัก และยิ่งมีเชษฐาผู้หล่อเหลาเจ้าแห่งอัลนูรีนมาเกี่ยวข้องด้วยทำให้เจ้าชายหนุ่มสนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมและเมื่ออดรนทนไม่ไหวอยากรู้ว่าเชษฐาของตนได้ซื้อบ้านของหญิงสาวทั้งสองเมื่อไหร่ หญิงสาวที่ชื่อน้ำเหนือคือใคร และเพราะเหตุใดหญิงงามชาวสยามทั้งสองต่างก็ตั้งใจทำงานหนักทั้งๆ ที่ยังเรียนอยู่ด้วยจึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเชษฐาฮารีฟร์ทันที
“สายัณห์สวัสดิ์ท่านพี่ของน้อง”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยทักทายในยามค่ำด้วยภาษาอาหรับกะเวลาคร่าวๆ ระหว่างบอสตันกับอัลนูรีนแล้วคิดว่าตอนนี้ที่บ้านเกิดเมืองนอนของตนคงอยู่ในช่วงพลบค่ำพอดี
“ว่าไงซารีฟร์น้องรัก” เจ้าชายฮารีฟร์ทักทายอนุชาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักเอ็นดู
“ท่านพี่ ก่อนอื่นกระหม่อมอยากรู้ว่าท่านพี่มีเอ่อ...คู่รักเป็นหญิงงามชาวไทยชื่อน้ำเหนือหรือเปล่าพะยะค่ะ”
ด้วยยังไม่รู้ฐานะของหญิงสาวที่ตนเชื่อมั่นว่าต้องงดงามไม่แพ้กับสองสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ห่างกันไม่กี่นิ้วสัมผัสถึงเจ้าชายซารีฟร์จึงต้องเอ่ยถึงผู้หญิงของเชษฐาในระดับกลางๆ ไม่ดูถูกและให้เกียรติมากไปกว่านี้จนกว่าจะได้รับรู้ฐานะที่แท้จริงของหญิงสาวที่ชื่อน้ำเหนือ
“อืมใช่...น้ำเหนือเป็นคนรักของพี่และถ้าหากจัดการปัญหาเผ่าคาลีส์ของชารีฟร์ได้โดยเร็วไว พี่ก็จะจัดงานอภิเษกให้น้ำเหนือเป็นราชินีแห่งอัลนูรีน”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยตอบอนุชาตามความตั้งใจของตนที่ได้คบคิดไว้ตั้งแต่แรกเห็นนีราพรรณและเมื่อเอ่ยตอบอนุชาไปแล้วเจ้าแห่งทะเลทรายก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าซารีฟร์รู้จักนีราพรรณได้อย่างไร
“ซารีฟร์รู้เรื่องของน้ำเหนือได้ไงหรือว่าเจ้าอานีสต์โทรไปบอก”
“เปล่าพะยะค่ะ อานีสต์ไม่ได้ส่งข่าว แต่กระหม่อมได้พบกับหญิงงามที่ชื่อน้ำหนาวกับน้ำค้างที่คิดว่ามีพี่สาวชื่อน้ำเหนือกำลังสนทนากันอย่างออกรสโดยมีท่านพี่ของกระหม่อมเป็นหัวข้อสนทนาหลักกระหม่อมก็เลยอยากโทรมาสอบ
ถามท่านพี่ให้แน่ใจ”
เจ้าชายซารีฟร์เบิกตากว้างแย้มยิ้มออกมาด้วยความดีใจและคาดไม่ถึงว่าท่านพี่ที่ตนแอบให้สมญานามว่าเจ้าแห่งทะเลทรายผู้ไร้รักได้พานพบกับหญิงงามที่มีจิตใจอ่อนโยนดุจดังพระมารดาและพร้อมที่จะอภิเษกกับหญิงงามชาวสยามทันทีที่เหตุการณ์ในบ้านเมืองสงบลง และตลอดเวลาที่ได้สนทนากับเชษฐาด้วยภาษาอาหรับ ดวงตาคมกริบภายใต้แว่นตาสีชาราคาแพงได้ทอดมองจับจ้องแน่นิ่งอยู่ที่ใบหน้างามลออของหญิงสาวที่ชื่อน้ำหนาว
“ซารีฟร์พบน้ำหนาวกับน้ำค้างที่ไหน”
เจ้าแห่งอัลนูรีนเอ่ยถามอนุชาด้วยความแปลกใจคาดไม่ถึงว่ากามเทพชะตาฟ้าจะเล่นงานเจ้าน้องชายตัวแสบได้รวดเร็วป่านนี้
“บอสตัน...ในร้านอาหารไทย ท่านพี่รู้หรือเปล่าว่าทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันและเพิ่งเห็นหน้ากันเป็นครั้งแรกแต่กระหม่อมถูกเจ้าหล่อนวิจารณ์เสียเละไม่เหลือชิ้นดี”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยฟ้องเชษฐาราวกับเด็กๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขบขำแกมเอ็นดูหญิงงามแก่นเซี้ยวที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาไม่ต่างจากตนเองก่อนหน้านี้ไม่กี่วินาที
เจ้าชายฮารีฟร์ลอบอมยิ้มจับกระแสในน้ำเสียงได้ว่าซารีฟร์กำลังตกหลุมรักหญิงงามชาวสยามเข้าอย่างจังและถ้าหากเดาไม่ผิดต้องเป็นหญิงสาวที่ชื่อน้ำหนาวอย่างแน่นอน
“ที่ว่าเจ้าหล่อนนี่หมายถึงใคร?...น้ำหนาวหรือน้ำค้าง”
“กระหม่อมให้ท่านพี่เดา” ทั้งๆ ที่รู้ว่าเชษฐาฮารีฟร์ต้องตอบถูกอยู่แล้วแต่เจ้าชายผู้เป็นอนุชาก็ยังเล่นลิ้นไม่เลิก
เจ้าชายฮารีฟร์หัวเราะร่วนเสียงดังด้วยความขบขำจนนีราพรรณซึ่งกำลังเช็ดคราบละอองเม็ดทรายให้ตามต้นแขนต้องหยุดชะงักเงยหน้ามองขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หญิงสาวฟังภาษาอาหรับไม่ออกแต่คาดเดาว่าเจ้าแห่งทะเลทรายคงกำลังสนทนากับอนุชาอยู่แน่นอนถึงได้มีท่าทางผ่อนคลายอารมณ์ดีเช่นนี้
“ไม่จำเป็นต้องเดาหรอก พี่รู้รสนิยมของเจ้าชายซารีฟร์ดี อย่างซารีฟร์ต้องเป็นน้ำหนาวถึงจะสมน้ำสมเนื้อกัน”
“ท่านพี่นี่รู้ใจน้องจริงๆ”
เจ้าชายซารีฟร์หัวเราะร่วนกับคำตอบของเชษฐาพร้อมกับกดวางสายโทรศัพท์เมื่อได้รับคำอวยพรแกมประชดประชันจากเชษฐาฮารีฟร์
เสียงหัวเราะที่ดังลั่นไม่เกรงใจใครได้ดึงความสนใจของฝาแฝดสองพี่น้องมาที่ตัวเจ้าชายได้แทบทันทีและเมื่อรู้ว่าหญิงสาวที่ตนต้องตาให้ความสนใจเป็นพิเศษได้จ้องมองเขม็งเจ้าชายหนุ่มนักรักก็แย้มยิ้มยียวนใส่แทบทันทีเช่นเดียวกัน
อิ่มหน่ำสำราญกับอาหารไทยจานด่วนแล้วน้ำหนาวก็ทำหน้าที่กวักมือเรียกเด็กเสริฟให้มาคิดเงิน มือบางเรียวยาวที่กำลังหยิบกระเป๋าสตางค์ใบเล็กมีอันต้องชะงักกึกขณะได้ยินเสียงหัวเราะร่วนถูกอกถูกใจของบุรุษผู้หล่อเหลาที่เธอวิจารณ์เสียยับ น้ำค้างเองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามได้จ้องมองพี่สาวฝาแฝดของเธอเขม็ง
“น้ำหนาว ผู้ชายคนนั้นเขาฟังภาษาไทยออกหรือเปล่า ทำไมเขาจ้องมองตัวเขม็งเลยแล้วยังทำท่ายิ้มใส่แปลกๆ ด้วย”
น้ำค้างสะกิดต้นแขนแฝดผู้พี่พลางก้มหน้าลงไปกระซิบถามเบาๆ ชักจะทะแม่งๆ แล้วว่าผู้ชายคนนี้จะฟังคำพูดของพวกเธอออกทุกคำทุกประโยค
น้ำหนาวควักเงินจ่ายให้เด็กเสริฟโดยที่ดวงตาคู่สวยไม่ได้ละไปจากใบหน้าคมเข้มแม้แต่วินาทีเดียว
“ชัวร์! ร้อยเปอร์เซ็นต์ฟังไม่ออกหรอก”
น้ำหนาวเอ่ยตอบน้องสาวด้วยความมั่นใจสุดๆ โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าชายซารีฟร์กลั้นหัวเราะจนปวดกรามหน้าแดงก่ำไปทั้งแถบ
“แล้วทำไมเขาใส่แว่นดำดูน่ากลัวจังเลย”
น้ำค้างยังคงกระซิบถามพี่สาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาๆ แล้วจู่ๆ ก็ทะลึ่งพรวดนั่งตัวตรงสีหน้าตื่นตระหนกตกใจเอ่ยพูดออกมาดังๆ ด้วยความลืมตัว
“หรือว่าเขาจะเป็นพวกมาเฟียที่ชอบจับผู้หญิงไปขายตามซ่อง”
น้ำหนาวส่ายหน้าด้วยความอ่อนอกอ่อนใจกับความคิดแผลงๆ ของคนที่เป็นน้องพร้อมกันนั้นก็ตีลงไปที่ต้นแขนขาวเนียนไม่แพ้กันแล้วเอ็ดออกมาเบาๆ กับความคิดเหลวไหล
“บ้าน่า...น้ำค้างคิดมากไปได้”
‘อืม...ใช้ได้ นอกจากสวยสง่าน่ารักแล้วยังมองโลกในแง่ดีด้วย’
เจ้าชายซารีฟร์ยิ้มกริ่มพยักหน้าหงึกๆ เอ่ยชมหญิงสาวที่เริ่มต้องใจรักอยู่ในใจแต่แล้วก็แทบหงายหลังพลัดตกจากเก้าอี้เมื่อได้ยินประโยคถัดมาของหญิงงาม
“ผู้ชายคนนั้นอาจจะตาบอดถึงได้ใส่แว่นดำเสียมืดมิดแบบนี้หรือถ้าหากไม่บอด...น้ำหนาวจะเอานิ้วจิ้มให้บอดไปเลยโทษฐานที่มองคนสวยอย่างเสียมารยาท”
‘เออหน๋อ...ไปกินรังแตนมาจากไหนใครกวนอารมณ์ให้หญิงงามท่าทางแก่นแก้วโกรธเคืองได้มากถึงเพียงนี้ถึงได้ฟาดงวงฟาดงาไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าเจ้าชาย’
เจ้าชายองค์รองแห่งอัลนูรีนงึมงำอยู่ในใจ ชักจะหลงใหลในตัวหญิงสาวผู้นี้ขึ้นทุกขณะจิต ถ้าหากท่านพี่ฮารีฟร์รักใคร่ในตัวพี่สาวของพวกเธอและเตรียมอภิเษกเลื่อนยศให้เป็นราชินีก็แสดงว่าหญิงงามชาวสยามที่ชื่อน้ำเหนือต้องเป็นคนดีอย่างแน่นอนและเขาเชื่อว่าพี่น้องกันก็คงมีนิสัยไม่แตกต่างกันสักเท่าไรกอปรกับสายตาอันเฉียบแหลมของนักรักผู้ช่ำชองที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าน้ำหนาวเป็นสาวบริสุทธิ์เป็นหนังสือที่น่าหยิบจับขึ้นมาอ่านที่สุด
น้ำหนาวต่อว่าบุรุษชายชาติอาหรับเสียงไม่ค่อยจะเบาสักเท่าไหร่และเมื่อเด็กเสริฟนำเงินทอนมาให้ก็เอ่ยขอกระดาษกับปากกาจากนั้นก็เขียนอะไรขยุกขยิกลงไปในกระดาษแผ่นเล็กขนาดฝ่ามือเห็นจะได้
“เขียนอะไรน่ะน้ำหนาว”
นาราพรรณแฝดน้องชะโงกหน้าไปอ่านข้อความบนกระดาษที่พี่สาวฝาแฝดกำลังตั้งอกตั้งใจตวัดปลายปากกาลงไปอย่างรวดเร็ว
“เราจะเขียนจดหมายรักไปให้อีตาบ้าคนนั้นหน่อย”
น้ำหนาวเอ่ยตอบเสียงดังโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายซารีฟร์ที่ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาดเป็นระเบียบขณะที่ได้ยินคำว่า ‘จดหมายรัก’
“เขียนว่าไงขอน้ำค้างอ่านหน่อยสิ”
น้ำค้างร้องขอด้วยความอยากรู้พอพี่สาวชูประโยคเด็ดให้อ่านก็ต้องทำหน้าเจื่อนๆ หัวเราะไม่ออก รีบลุกขึ้นยืนคว้ากระเป๋าเดินทางเตรียมพร้อมสำหรับการโกยแนบออกจากห้องอาหาร หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าชายหนุ่มคนนั้นจะอ่านภาษาไทยออกหรือเปล่า แต่ยังไงๆ เธอก็เตรียมตัวเผ่นไว้ก่อนแล้วกัน
น้ำหนาวคลี่ยิ้มหวานฉ่ำไม่ตอบแต่กรีดนิ้วจับมุมกระดาษทั้งสองข้างชูให้น้องสาวได้อ่านจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนคว้ากระเป๋าเดินทางไว้ในมือแล้วก้าวฉับๆ ไปหาบุรุษรูปงามนัยน์ตาคม
เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ รีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นการให้เกียรติหญิงแสนงามที่เดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าตน ในใจนึกทะนงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่น้ำหนาวได้หลงเสน่ห์อันหล่อเหลาบาดใจจนกระทั่งได้เขียนจดหมายรักเอามาให้ด้วยตัวเอง
นาราภัทรยิ้มหวานฉ่ำหยดย้อย ดวงตากลมโตเต้นระริกแพรวพราวจากนั้นก็ถอนสายบัวให้เจ้าชายหนุ่มอย่างสวยงามกึ่งล้อเลียน ถอนสายบัวเรียบร้อยแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเอื้อมไปจับมือหนาร้อนผ่าวอีกฝ่ายแล้วยัดจดหมายรักลงบนฝ่ามือของบุรุษรูปงามติดกระแทกกระทั้นเล็กน้อย
“good bye”
หญิงสาวฉีกยิ้มหวานกล่าวลาเสียงนุ่มจากนั้นก็รีบก้าวฉับๆ ออกจากห้องอาหารโดยไม่ลืมฉุดน้องสาวให้เดินตามออกมาด้วย
เจ้าชายซารีฟร์มัวแต่ตกตะลึงกับรอยยิ้มหวานพิมพ์ใจมารู้สึกตัวอีกทีหญิงสาวทั้งสองก็เดินออกไปจากร้านและลับหายไปกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ภายในท่าอากาศยาน เรือนร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันทรุดตัวลงนั่งเหมือนเดิมพลางพลิกกระดาษแผ่นเล็กที่เข้าใจว่าเป็นจดหมายรักจริงๆ ออกมาอ่านสาสน์ที่น้ำหนาวฝากไว้ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเจ้าชายซารีฟร์ก็ได้ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นห้องอาหารจนเจ้าของร้าน เด็กเสริฟรวมทั้งองครักษ์อีก 2 นายที่รออยู่นอกร้านต้องรีบวิ่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าชายหนุ่มผู้หล่อเหลาเสน่ห์บาดใจสาวก้มลงอ่านข้อความอีกครั้งจากนั้นก็พับเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทอย่างทะนุถนอม
‘คนไร้มารยาท’
นั่นคือประโยครักที่น้ำหนาวได้ตวัดจรดปลายปากกาเป็นจดหมายรักให้กับเจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อีกหนึ่งบุรุษผู้หล่อเหลาชายชาติอาหรับ...