บทที่ 2 (1)
นาราภัทรกับนาราพรรณ ฝาแฝดแสนสวยทั้งสองต่างก็พากันลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่จนตัวเอียงออกจากผู้โดยสารขาเข้าภายในท่าอากาศยานนานาชาติเจเนอรัล เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ โลแกน
น้ำหนาวลากกระเป๋าเดินทางตรงดิ่งไปยังประตูทางออกเพื่อเรียกรถแท็กซี่แต่ก็ถูกมือนุ่มนิ่มของแฝดน้องฉุดดึงไว้เสียก่อน
“น้ำค้างหิวข้าว ไปกินก่อนได้มั้ย เดี๋ยวกลับไปอพาร์ทเม้นท์แล้วไม่มีอะไรกินอีก น้ำค้างเบื่อกินบะหมี่แล้ว”
ด้วยก่อนหน้านี้เมาเครื่องอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง พอเท้าแตะพื้นดิน ท้องก็ประท้วงเรียกร้องหาอาหารทันทีและไม่รอช้าไม่รอคำตอบจากแฝดพี่นาราพรรณได้ฉุดรั้งพี่สาวไว้พร้อมกับดึงแขนให้เดินกลับเข้ามาภายในท่าอากาศยานเหมือนเดิม
“ไปกินข้าวก่อนก็ได้ พี่เองก็เบื่อกินบะหมี่เหมือนกัน”
นาราภัทรเห็นด้วยกับข้อเสนอของแฝดน้อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารที่จำเป็นต้องมีติดอพาร์ทเม้นท์คราวใดที่เหน็ดเหนื่อยจากการเล่าเรียนและการทำงานจนไม่มีแรงทำกับข้าว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหล่านี้ก็สามารถช่วยชีวิตเธอกับน้องสาวไว้ได้ หญิงสาวยอมเดินตามแรงฉุดดึงของแฝดน้องแสนสวยเข้าไปในร้านอาหารไทยเล็กๆ หนึ่งเดียวที่ยังสามารถยืนหยัดเปิดร้านได้ภายในบริเวณท่าอากาศยานที่มีค่าเช่าแพงหูฉี่ยิ่งกว่าทองคำเสียอีก
น้ำหนาวเป็นคนแรกที่ทิ้งตัวลงนั่งแหมะบนเก้าอี้อย่างหมดแรงตามด้วยน้ำค้างที่มีอากัปกิริยาเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างจากพี่สาวที่ต้องพากันนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดเป็นเวลานานนับสิบชั่วโมง
“กะเพราะไก่ไข่ดาวกับน้ำเปล่า”
น้ำหนาวสั่งเมนูอาหารที่ใครๆ ก็เรียกว่าเมนูสิ้นคิดแบบว่านั่งร้านอาหารตามสั่งที่ไหนไม่ว่าในเมืองไทยหรือต่างแดนก็มีอันต้องสั่งเมนูนี้เป็นเมนูแรก
“น้ำค้างเอาอะไร” หญิงสาวหันมาถามน้องสาวที่กำลังหยิบเมนูมาเปิดดูรายการอาหารไทยยาวเหยียดเกือบสิบหน้า
“ข้าวผัดกุ้งแล้วกัน หิวจนคิดไม่ออกแล้ว” น้ำค้างเอ่ยบอกเด็กเสริฟและพี่สาวไปในตัวแล้ววางเมนูอาหารไว้ที่เดิมโดยที่ยังไม่ได้เปิดดูสักหน้า
“เหมือนกันหิวจนแทบจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว”
น้ำหนาวบ่นงึมงำเสียงไม่ค่อยจะเบาสักเท่าไหร่ตามประสาคนที่โผงผางชอบพูดอะไรแบบตรงไปตรงมาและเมื่อสิ้นคำพูดของเธอก็มีเสียงไอโครกๆ ราวกับสำลักของบุรุษหนุ่มหล่อเหลาบาดใจสาวๆ ที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปเข้ามากระทบประสาทหู หญิงสาวหันขวับตามเสียงกระแอมไอแล้วขึงตาจ้องมองหนุ่มหล่อด้วยสายตาขัดเคืองไม่รู้หรอกว่าบุรุษมาดเข้มสำลักอะไรแต่ก็ขอมองขู่ไว้ก่อนแล้วกัน
เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ถึงกับสำลักกาแฟที่ดื่มอยู่ไอโครกๆ กับคำสบถของหญิงแสนสวยซึ่งนั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ และหันใบหน้างดงามหวานอมเปรี้ยวมาทางเขาพอดี หญิงสาวชาวสยามทั้งสองดูสะดุดตาตั้งแต่แรกเดินเข้ามาในร้านอาหารโดยเฉพาะหญิงสาวท่าทางแก่นแก้วที่สั่งกะเพราะไก่ไข่ดาวและกำลังขึงตามองขู่เขาอยู่ในขณะนี้
ฝาแฝดสองพี่น้องรอไม่ถึง 20 นาที เมนูเด็ดที่ทั้งสองได้สั่งก็ถูกยกมาเสริฟตรงหน้า น้ำหนาวเลื่อนจานข้าวสวยร้อนๆ โปะด้วยกะเพราไก่และไข่ดาวควันลอยโขมงมาใกล้ๆ ตัวที่สุดจากนั้นตักเข้าปากเคียวตุ้ยๆ ด้วยความเอร็ดอร่อยและเมื่ออาหารเข้าปากเริ่มมีเรี่ยวแรงอาการบ่นแบบหมีกินผึ้งก็ไม่มีใครเกินนาราภัทร
“เหนื่อยที่สุดในชีวิตเลย นี่ถ้าแม่ไม่ขายบ้านกับโรงแรมให้อีตาเจ้าชายหน้าเลือดคนนั้นพวกเราก็ไม่ต้องนั่งเครื่องบินชั้นประหยัด พี่ปวดหลังขัดยอกไปหมด เหนื่อยชะมัดเลย เป็นเพราะอีตาเจ้าชายนั้นแท้ๆ เลย”
นาราภัทรบ่นงึมงำยืดยาวทั้งๆ ที่กะเพราไก่ยังคาอยู่เต็มปาก คิดๆ แล้วก็เจ็บใจและยังเสียใจไม่หายที่แม่ทำกับพวกเธอได้ลงคอ เรื่องที่เธอกับน้องต้องเดินทางกลับมาเรียนด้วยสายการบินที่เรียกว่าประหยัดสุดๆ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ แต่การที่พี่สาวคนโตต้องตกเป็นเบี้ยล่างของคนอื่นนี่สิที่ทำให้เธอคับแค้นขัดเคืองใจไม่หาย
นาราพรรณหันซ้ายแลขวามองดูว่ามีลูกค้ารายอื่นอยู่ภายในร้านหรือเปล่า อย่างน้อยก็โล่งใจได้ว่ามีแค่โต๊ะของเธอกับชายหนุ่มบุรุษต่างชาติเพียง 2 โต๊ะเท่านั้น หญิงสาวยิ้นเจื่อนๆ ให้ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างลุแก่โทษจากนั้นก็หันมาเอ็ดพี่สาวที่ไม่รู้จักโต
“น้ำหนาว เบาๆ หน่อยสิ เกรงใจผู้ชายโต๊ะนั้นหน่อย”
“เกรงใจทำไม ก็มันจริงนี่พี่เจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้แล้วต้องปล่อยเลยตามเลยแบบนี้ พี่น้ำเหนือก็ต้องไปอยู่กับอีตาเจ้าชายบ้านั้นถึงดินแดนทะเลทราย”