บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 (2)

“หามิได้พะยะค่ะ อันตรายนั้นมีไปทั่วทุกแห่งที่พระองค์ได้เดินทางไป พวกกระหม่อมไม่อยากละหลวมในเรื่องการทำหน้าที่คอยอารักขาพระองค์”

อาดิล ฮาดี รอซีด์ เป็นผู้เอ่ยค้านเจ้าเหนือหัวบ้าง การได้รับความไว้วางใจคัดเลือกฝึกฝนให้เป็นองครักษ์เอกคอยอารักขาเจ้าชายแห่งราชวงศ์อัลนูรีนถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดของบุรุษชาติอาหรับ และก่อนที่เขากับราชิตจะเดินทางมาที่เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์พร้อมๆ กับเจ้าชายหนุ่ม เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ประมุขแห่งประเทศอัลนูรีนได้เรียกให้พวกตนไปเข้าเฝ้าและสั่งกำชับให้คอยดูแลอนุชาของพระองค์เป็นอย่างดี

“พวกเจ้าคงถูกท่านพี่ฮารีฟร์สั่งกำชับให้คอยดูแลเราไม่ให้คลาดสายตาใช่มั้ย”

น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยถึงเชษฐานั้นเต็มไปด้วยความจงรักภักดีที่น้องคนหนึ่งจะสามารถมอบให้กับผู้เป็นเชษฐาได้ทั้งชีวิต

“พะยะค่ะ เจ้าชายฮารีฟร์ทรงให้กระหม่อมกับอาดิลเข้าเฝ้าและสั่งเน้นย้ำให้พวกกระหม่อมดูแลพระองค์เป็นอย่างดีพะยะค่ะ”

ราชิตเอ่ยตอบตามความเป็นจริง เจ้าชายฮารีฟร์ผู้ที่เป็นเชษฐาทรงเป็นห่วงอนุชาที่อาศัยอยู่ต่างบ้านต่างถิ่นมากเป็นพิเศษ

“ท่านพี่ทำราวกับว่าเราเป็นเด็กชายซารีฟร์วัย 10 ขวบยังไงยังงั้น”

เจ้าชายองค์รองแห่งแผ่นผืนทะเลทรายเอ่ยแซวเชษฐาผู้อยู่ห่างไกลคนละถิ่นแดนด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มรู้ว่าเชษฐาผู้เสียสละนั้นทรงเป็นห่วงตนมากเพียงใด

“เจ้าชายฮารีฟร์ทรงเป็นห่วงความปลอดภัยของพระองค์มาก ด้วยเกรงว่าเอ่อ...เจ้าชายชารีฟร์จะส่งมือสังหารมาลอบทำร้ายพระองค์”

อาดิลอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนักด้วยรู้ว่าคำพูดของตนนั้นได้ซึมซับเข้าไปสะกิดบาดแผลของเจ้าเหนือหัวให้เจ็บปวดกับศึกสายเลือดที่อนุชาคือเจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อนุชาต่างพระมารดาที่คอยเวลาสำหรับการช่วงชิงราชบัลลังก์อัลนูรีนกลับมาเป็นของตน

“บอกตามตรงน่ะราชิต อาดิล เราไม่อยากเชื่อว่าชารีฟร์อนุชาที่อ่อนโยนของเราจะมีจิตใจโหดเหี้ยมฆ่าได้แม้กระทั่งพี่น้องคนในชาติเดียวกัน”

ซุ่มเสียงที่เอื้อนวาจาเอ่ยบอกกับเหล่าองครักษ์เต็มไปด้วยความเสียใจผิดหวังที่อนุชาองค์เล็กไม่คิดเพียงพอ ต้องการเป็นประมุขแห่งแผ่นผืนทะเลทรายแทนเชษฐาฮารีฟร์

เจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ เป็นโอรสของท่านมานีนา ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ 2 ของเจ้าชายอะลี อัล ริฟาอีลส์ประมุของค์ก่อนของอัลนูรีนหลังจาสละราชบัลลังก์แล้วเจ้าชายอะลีได้สถาปนาให้เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ โอรสองค์โตได้ขึ้นครองราชบัลลังก์แทน ถึงแม้เจ้าชายชารีฟร์จะเป็นโอรสที่ไม่ได้เกิดจากราชินีซึ่งเป็นหญิงงามชาวสยายแต่เจ้าชายอะลีก็รักและสถาปนาโอรสองค์เล็กให้มียศฐาบรรดาศักดิ์ที่เทียบเท่ากับโอรสอีกสองพระองค์ทุกประการ เจ้าชายชารีฟร์ได้พำนักอยู่ที่พระราชวังในเมืองหลวงจนกระทั่ง 10 ขวบ ท่านมานีนาจึงได้พากับไปที่เผ่าคาลีส์ซึ่งอยู่ชายแดนประเทศอัลนูรีน หลังจากท่านมานีนาได้พาโอรสกับไปที่เผ่าแล้วทั้งเขาและท่านพี่ฮารีฟร์ก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากอนุชาองค์เล็กเลย พอมารู้ข่าวอีกทีก็ทำเอาแทบช็อกเมื่อรู้ว่าเจ้าชายชารีฟร์อนุชาองค์เล็กที่คอยเดินตามติดเชษฐาทั้งสองแจได้คิดการใหญ่คิดช่วงชิงราชบัลลังก์อัลนูรีน

องครักษ์ราชิตหันไปมองหน้าอาดิลเพื่อนรักก่อนจะรายงานเจ้าเหนือหัวตามที่ได้รับข้อมูลมาจากเหล่าองครักษ์ในอัลนูรีน การมาพำนักคอยให้การอารักขาเจ้าชายซารีฟร์ยังดินแดนที่ห่างไกลจากประเทศของตนเองหลายแสนไมล์คนละซีกโลกแต่ก็ไม่มีขาดเว้นเรื่องการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารในเหล่าองครักษ์ด้วยกัน

“แต่ก็เป็นไปแล้วมิใช่หรือพะยะค่ะ กระหม่อมรับทราบมาจากหน่วยข่าวกรองว่าเจ้าชายชารีฟร์ได้แอบตั้งกองกำลังทหารที่เข้มแข็งอยู่ที่เผ่าคาลีส์ซึ่งทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนอย่างดีเตรียมพร้อมเข้าประชิดเมืองหลวงตลอดเวลาทันทีที่ได้รับคำสั่งจากเจ้าชายชารีฟร์”

เจ้าชายซารีฟร์เผยแววเศร้าให้เห็นทั่วทั้งใบหน้าคมเข้มและนัยน์ตาคมกริบภายใต้ขนตายาวงอนใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของอนุชาชารีฟร์เขาได้รับรู้รับทราบจากอานีสต์และวาอีน์องครักษ์เอกของท่านพี่ฮารีฟร์ที่ได้แจ้งข่าวให้ทราบตลอดและเขาเองก็ได้โทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับเชษฐาแทบทุกวันเช่นเดียวกัน

“เราได้รับข่าวเรื่องนี้จากท่านพี่ฮารีฟร์แล้ว เมื่อไหร่ที่เราพร้อมท่านพี่กับเราจะเดินทางไปยังเผ่าคาลีส์ ไปพบกับชารีฟร์เพื่อเจรจายุติปัญหาการแย่งชิงการเข่นฆ่ากันเองของพี่น้องและคนในชาติเดียวกัน”

“จะดีหรือพะยะค่ะ การเดินทางไปเผ่าคาลีส์กระหม่อมคิดว่าเสี่ยงเกินไป แล้วเจ้าชายชารีฟร์จะยอมเจรจาด้วยหรือพะยะค่ะ”

อาดิลร้องถามด้วยความตกใจกับความคิดของเจ้าเหนือหัวทั้งสองทั้งของเจ้าชายฮารีฟร์ผู้เป็นประมุขแห่งอัลนูรีนและเจ้าชายซารีฟร์อนุชาองค์รอง การเดินทางไปยังถิ่นศัตรูที่โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาปราณีต่อมวลมนุษย์ด้วยกันไม่ละเว้นแม้กระทั่งสายเลือดเดียวกันก็เท่ากับว่าเป็นการเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย

“กระหม่อมเห็นด้วยกับความคิดของอาดิล เสี่ยงเกินไปที่พระองค์ทั้งสองจะเดินทางไปยังเผ่าคาลีส์”

ราชิตสนับสนุนความคิดของเพื่อนรักพร้อมกันนั้นก็ได้เอ่ยคัดค้านไม่ต้องการให้เจ้าเหนือหัวไม่ว่าพระองค์ไหนได้เดินทางไปยังมาตุภูมิแห่งมัจจุราชร้าย ทหาร...ที่ถูกฝึกฝนตั้งเป็นกองกำลังเฉพาะย่อมได้รับการฝึกฝนที่เรียกว่าชำนาญเรื่องการใช้อาวุธทุกรูปแบบนอกจากนั้นยังถูกล้างสมองให้เป็นทหารที่ไร้จิตใจฆ่าผู้คนได้ราวกับผักปลาที่ไม่สามารถร้องขอชีวิตได้หรือถึงแม้จะอ้อนวอนร้องขอชีวิต ทหารหน่วยพิเศษเหล่านี้ก็ไม่สนใจ เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องทำตามหน้าที่ที่ได้ถูกฝึกถูกป้อนเข้าไปในหัวสมองคือการฆ่าเท่านั้น

เจ้าชายซารีฟร์ถอนหายใจยืดยาวรับรู้ว่าสิ่งที่เหล่าองครักษ์ต่างได้เอ่ยพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยนั้นเป็นเรื่องจริงทุกประการ

“เรากับท่านพี่รู้ดีว่าการเดินทางไปที่เผ่าคาลีส์นั้นอันตรายเพียงใด แต่ทำไงได้ ถ้าหากต้องการยุติปัญหาเรื่องการเข่นฆ่าผู้คนการทำร้ายพี่น้องกันเองเรากับท่านพี่ก็ต้องเสี่ยงเอาจะปล่อยให้ปัญหาปมนี้หมักหมมต่อไปเรื่อยๆ จนตกถึงรุ่นลูกรุ่นหลานก็คงไม่ดีแน่ ถึงตอนนั้นปัญหายิ่งจะบานปลายมากกว่าเดิม เราอยากให้ลูกหลานที่จะก่อเกิดขึ้นมาได้รักใคร่กลมเกลียวปรองดองกันช่วยกันเป็นต่างมือต่างเท้าบริหารอัลนูรีนให้เจริญรุ่งเรืองราษฎรอยู่ดีกินดีทุกครัวเรือนเหมือนดังบ้านเมืองที่เรามาพำนักอาศัยอยู่”

“กระหม่อมทั้งสองซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระองค์กับเจ้าชายฮารีฟร์ยิ่งนัก ยอมสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อปวงผองมวลชนชาวอัลนูรีน”

ราชิตเอ่ยชมเจ้าเหนือหัวอย่างซาบซึ้งรู้ดีว่าเจ้าชายฮารีฟร์และเจ้าชายซารีฟร์นั้นได้เสียสละเพื่อราษฎรมากเพียงใด ตลอดทั้งวันตลอดทั้งคืนตลอดทั้งชีวิตลมหายใจของเจ้าชายทั้งสองพระองค์มีแต่คำว่าราษฎรอัลนูรีน ทรงขบคิดพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองแทบเท่ากับเมืองที่ศิวิไลซ์แล้วแต่ถึงกระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งอารยธรรมของอัลนูรีน

“พวกเจ้าไม่ต้องคุกเข่าทำความเคารพเราน่ะ ตอนนี้เราอยู่ที่บอสตันในสถานที่ออกรโหฐานด้วย เดี๋ยวผู้คนที่เดินผ่านไปมาจะตกใจแตกตื่นเอา”

เจ้าชายซารีฟร์ร้องห้ามลั่นเมื่อทั้งราชิตและอาดิลต่างก็ทำท่าจะนั่งคุกเข่ากับพื้นเพื่อแสดงความจงรักภักดีตามขนบธรรมเนียนปฏิบัติที่เหล่าองครักษ์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพต่อเจ้าเหนือหัวที่พวกเขาสามารถสละชีพตนเองแทนได้ทุกเมื่อนั่นก็คือการเอามือแตะที่เท้าของผู้ที่เป็นเจ้าแห่งชีวิตแล้วเอามือมาแตะที่ศีรษะและหัวใจของตนเอง

ทั้งราชิตและอาดิลชะงักกริยาที่กำลังจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าพลางหันไปมองนอกร้านอาหารภายในท่าอากาศยานซึ่งคลาคล่ำด้วยผู้คนต่างชาติต่างภาษาที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมา เมื่อไม่อาจแสดงความจงรักภักดีด้วยการกระทำได้แต่องครักษ์ทั้งสองก็ได้เอื้อนเอ่ยเป็นวาจาที่กลั่นกรองจากมาก้นบึ้งของจิตวิญญาณแห่งการเป็นองครักษ์ผู้พิทักษ์

“กระหม่อมดีใจที่ได้เกิดมาเป็นธุลีเม็ดทรายในแผ่นผืนอัลนูรีน ภาคภูมิใจที่ได้รับเกียรติอันสูงสุดให้คอยอารักขาเจ้าชายแห่งราชวงศ์อัลนูรีน กระหม่อมยอมสละชีวิตของกระหม่อมเพื่อพระองค์”

ราชิต รุสดี อัฟซา องครักษ์เอกได้เอ่ยออกมาจากใจจริงพร้อมกับโค้งคำนับให้แก่เจ้าชายซารีฟร์เจ้าเหนือหัวที่ตนเองได้มีโอกาสคอยรับใช้อารักขามาแต่เยาว์วัย

“กระหม่อมก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับราชิต ชีวิตที่ไร้ค่าของเด็กขี้ขโมยคนหนึ่งดูมีคุณค่าขึ้นมาเมื่อได้รับการชุบเลี้ยงจากประมุขแห่งอัลนูรีน กระหม่อมขอสละชีวิตจิตวิญญาณของกระหม่อมไว้แทบเท้าของราชวงค์อัลนูรีนทุกพระองค์เช่นเดียวกันพะยะค่ะ”

อาดิล ฮาดี รอซีด์ โค้งคำนับเอ่ยคำสัตย์สาบานด้วยน้ำเสียงติดสั่นเทาเล็กน้อยขณะที่เอ่ยถึงชีวิตที่ไร้คุณค่าในยามเยาว์วัยถูกผู้ให้กำเนิดนำไปทิ้งโดยไม่เหลียวแล และเมื่อปากหิวท้องร้องเพราะไร้อาหารตกถึงท้องถึงสองวันเต็มๆ เด็กน้อยตัวสกปรกเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนขาดรุ่งริ่งจึงจำเป็นต้องขโมยเพื่อความอยู่รอด เจ้าชายอะลี อัล ริฟาอีลส์ ได้ออกเยี่ยมราษฎรในตลาดค้าขายอูฐโดยมีโอรสทั้งสามตามเสด็จไปด้วย ถุงเงินที่เจ้าชายน้อยองค์รองได้ถือเพื่อจับจ่ายซื้อสิ่งของตาม

แต่ใจนึกเป็นที่ล่อตาล่อใจเด็กน้อยอาดิลขี้ขโมยยิ่งนักและเมื่อเจ้าชายน้อยเผลอ ขี้ขโมยมือสมัครเล่นก็วิ่งเข้าไปกระชากถุงเงินจากเจ้าชายทันที แต่เด็กน้อยอาดิลก็วิ่งหนีไม่ทันถึงสองก้าวก็ถูกองครักษ์เรือนกายกำยำล่ำสันรวบตัวไว้เสียก่อนและโทษฐานที่ได้รับสำหรับการเป็นขี้ขโมยซึ่งอาจหาญขโมยสิ่งของๆ เจ้าชายผู้สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์คือการถูกโบยสิบครั้ง เด็กน้อยอาดิลหวาดกลัวตัวสั่นงันงกร้องขอชีวิตอย่าว่าแต่ถูกโบยสิบครั้งเลย แค่ครั้งเดียวเด็กน้อยที่ผอมกะหร่องก็ไม่มีทางทนพิษแห่งความเจ็บปวดได้

และผู้ที่ให้อภัยสำหรับการกระทำของเด็กน้อยอาดิลคือเจ้าชายอะลีและเจ้าชายน้อยทั้งสามพระองค์โดยเฉพาะเจ้าชายซารีฟร์ได้ขอคำมั่นจากเด็กน้อยอาดิลถ้าหากเลิกนิสัยขี้ขโมยและนับต่อแต่นี้ถ้าหากสัญญาว่าจะเป็นคนดีไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด เจ้าชายซารีฟร์จะพากลับพระราชวังด้วย ซึ่งถ้าหากไม่ได้เจ้าแห่งแผ่นผืนทะเลทรายทุกพระองค์ให้การชุบเลี้ยงก็คงไม่มีองครักษ์อาดิล ฮาดี รอซีด์ มาจนถึงทุกวันนี้

เจ้าชายซารีฟร์ยิ้มบางๆ ตรงมุมปากกับคำสัตย์สาบานขององครักษ์เอกทั้งสองนาย “ขอบใจพวกเจ้ามากที่จงรักภัดดีต่อเราและราชวงศ์อัลนูรีนเสมอมา”

การสนทนาของเจ้าชายหนุ่มองค์รองแห่งท้องทะเลทรายสีทองและเหล่าองครักษ์ได้ถูกขัดจังหวะเมื่อเด็กเสริฟได้ทยอยนำอาหารมาเสริฟให้อย่างนอบโน้ม

ราชิตกับอาดิลรอจนกระทั่งเด็กเสริฟเดินออกไปแล้วจึงทำหน้าที่เป็นผู้ชิมอาหารทุกจานก่อนที่เจ้าชายซารีฟร์จะได้ลงมือรับประทาน

ถึงแม้จะมาพำนักอาศัยอยู่ในบ้านเมืองที่ศิวิไลซ์ล้ำด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่รอบด้านรอบกายแต่การลอบสังหารที่น่ากลัวและอันตรายมากกว่าอาวุธปืนนั่นก็คือยาพิษไร้รสไร้กลิ่นที่ออกฤทธิ์รุนแรงฆ่าผู้ดื่มกินได้ในพริบตาเดียว เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นองครักษ์ต้องรอบคอบทุกครั้งก่อนที่จะให้เจ้าชายซารีฟร์ได้รับประทานอาหารที่ประดิษฐ์ประดอยด้วยฝีมือของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ฝีมือของพวกตนจึงจำเป็นต้องมีการพิสูจน์ให้ทราบว่าอาหารทุกจานเครื่องดื่มทุกแก้วปลอดภัยสำหรับเจ้าเหนือหัว

น้ำพริกปลาทูกับผักสดอีกถาดใหญ่เป็นอาหารที่เจ้าชายองค์รองแห่งราชวงศ์อัลนูรีนโปรดปรานมากเป็นพิเศษและรีบลงมือรับประทานทันทีที่ผ่านการตรวจสอบจากเหล่าองครักษ์แล้ว

“เมื่อ 2-3 วันก่อน เราได้คุยกับท่านพี่ฮารีฟร์ ท่านพี่บอกว่าได้เข้าไปเทคโอเวอร์กิจการโรงแรมในเมืองไทย พวกเจ้าพอจะรู้หรือเปล่าว่าชื่อโรงแรมอะไร”

เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยถามองครักษ์ไม่จำเพราะเจาะจงว่าเป็นใครขณะที่เริ่มลงมือรับประทานอาหารโปรดไปด้วย หัวสมองอันชาญฉลาดพยายามครุ่นคิดชื่อโรงแรมที่ท่านพี่ฮารีฟร์ได้เอ่ยบอกไว้ก่อนหน้านี้แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกสักที

“เดอะธาราแกรนด์โฮเทลพะยะค่ะ”

ราชิตวางมือจากการรับประทานข้าวผัดแล้วเอ่ยตอบเจ้าชายหนุ่มแทนเพื่อนรักที่ยังมีข้าวอยู่เต็มปาก

“อืม...ชื่อเพราะดี แต่แปลกน่ะ ทำไมท่านพี่ถึงได้คิดเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการโรงแรมทั้งๆ ที่งานราชงานธุรกิจที่มีอยู่ก็ล้นมือจนทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว”

“คงมีแรงดึงดูดบางประการมั้งพะยะค่ะเลยทำให้เจ้าชายฮารีฟร์ได้เดินทางไปเมืองไทย” อาดิลมีโอกาสได้เอ่ยตอบบ้างหลังจากที่กลืนข้าวผัดคำโตลงคอแล้ว

คำวิเคราะห์คาดเดาขององครักษ์ทำให้เจ้าชายซารีฟร์ขมวดคิ้วเข้มหนาดกดำเข้าหากันให้ยุ่งก่อนจะเอ่ยพึมพำ

ออกมาด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ

“อยากรู้จริงๆ ว่าอะไรคือแรงดึงดูดที่ทำให้ท่านพี่ได้เดินทางไปเมืองไทย แผ่นดินเกิดของท่านแม่”

เมื่อใดที่เจ้าชายหนุ่มแห่งราชวงศ์อัลนูรีนผู้หล่อเหลาซึ่งได้รับขนานนามจากเชษฐาว่าคาสโนว่าแห่งอัลนูรีนได้รับ

คำตอบ ก็จะรู้ซึ้งว่า ณ ดินแดนแผ่นดินทองที่ได้ชื่อว่าสยามนั้นมีสิ่งดึงดูดตราตรึงให้คาสโนว่าหนุ่มเช่นตัวเขาได้มีอันต้องยกเลิกการเดินทางไปแผ่นดินเกิดเพื่อตามหาหัวใจของตนเอง ณ ดินแดนแห่งนี้...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel