บทที่ 1 (1)
ขอบฟ้ากว้าง ฟากฟ้าสีคราม ม่านเมฆขาวสะอาดลูกแล้วลูกเล่าได้ลอยพัดผ่านลับหายไปจากช่องหน้าต่างขณะที่เจ้านกยักษ์ได้ลอยลำเหนือน่านฟ้าเมืองไทยมุ่งตรงสู่เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ถิ่นพำนักที่หญิงงามฝาแฝดสองพี่น้องได้ขอเข้าไปพำนักอาศัยเพื่อทำการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยชื่อก้องโลกซึ่งเป็นหนึ่งมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา
นาราภัทร กมลเนตร หรือน้ำหนาว แอบยกมือขึ้นกรีดหยาดน้ำตาใสออกจากดวงตาดำขลับแล้วซบแก้มแดงปลั่งกับผนังเครื่องบินเย็นเฉียบขณะมองม่านเมฆที่ลอยอยู่ด้านนอก เครื่องบินทะยานสู่ท้องฟ้าไม่ทันพ้นแผ่นดินเมืองสยามด้วยซ้ำแต่หัวใจดวงเล็กก็ร่ำร้องอยากกลับไปซบกับอ้อมกอดของแผ่นดินสยามดังเดิม
อาทิตย์ที่แล้วเธอกับน้องสาว นาราพรรณหรือน้ำค้างได้รับโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศโดยผู้ที่โทรไปหาคือป้าจัน แม่บ้านคนเก่าคนแก่ของคฤหาสน์กมลเนตร ป้าจันบอกว่าบิดาพวกเธอต้องการพูดด้วย การได้รับโทรศัพท์จากป้าจันไม่น่าตกใจเท่ากับการได้คุยกับบิดาที่กำลังนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล คุณพ่อจะเข้ารับการผ่าตัดโรคหัวใจในอีกวันสองวันและได้ร้องขอให้ลูกสาวฝาแฝดทั้งสองเดินทางกลับเมืองไทยด้วยท่านเกรงว่าการผ่าตัดอาจจะล้มเหลวแล้วทำให้ท่านไม่ได้พบหน้าลูกๆ ที่อยู่ไกลต่างแดนอีกต่อไป
เมื่อกลับมาถึงแผ่นดินถิ่นสยามบ้านเกิดเมืองนอนก็มีเรื่องให้ต้องช็อกนอกเหนือจากการเจ็บป่วยของบิดานั่นก็คือแม่ได้ทิ้งพ่อไปมีชายคนใหม่รุ่นราวคราวลูกเท่านั้นยังไม่พอยังขายสมบัติที่พ่อได้สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงทั้งชีวิตไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์หลังงามและโรงแรมระดับห้าดาวเดอะธาราแกรนด์โฮเทลเพื่อนำเงินทั้งหมดไปปรนเปรอชายชู้
“เฮ้อ! อยากรวยเหมือนพวกเศรษฐีอยากมีเงินทองกองเท่าภูเขาจะได้เอาเงินไปซื้อบ้านซื้อโรงแรมกลับคืน พี่น้ำเหนือจะได้หลุดพ้นจากการเป็นทาสเรือนเบี้ยของเจ้าชายอาหรับสักที”
น้ำหนาวบ่นพึมพำกับสายลมก้อนเมฆขาวสะอาดดุจปุยนุ่นสงสารพี่สาวผู้เสียสละจับใจที่ยอมตกเป็นของเล่นของเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ประมุขหนุ่มแห่งประเทศอัลนูรีน
พ่อซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจมีอาการทรุดหนักเมื่อได้ทราบว่าเจ้าของบ้านคนใหม่นั่นก็คือเจ้าชายฮารีฟร์ได้มีคำสั่งให้ย้ายออกจากบ้านที่ท่านได้สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่าน พี่น้ำเหนือหรือนีราพรรณไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นจึงได้ยอมตกเป็นนางบำเรอให้กับเจ้าชายแห่งอัลนูรีนเป็นเวลา 2 เดือนเพื่อแลกกับคฤหาสน์กมลเนตรพ่อและทุกคนจะได้ไม่ต้องออกจากบ้านที่เคยอาศัยอยู่ชั่วชีวิต
นาราภัทรขยับกายอย่างอึดอัดขณะนั่งบนเก้าอี้ผู้โดยสารในชั้นที่เรียกว่าประหยัดสุดๆ สำหรับการบินกลับไปเรียนต่อให้จบปริญญาโทตามความต้องการของพี่สาว
“พี่น้ำเหนือน่ะ...พี่น้ำเหนือ ทำไมต้องบังคับน้ำหนาวให้กลับไปเรียนต่อด้วยก็ไม่รู้ น้ำหนาวอยากอยู่ทำงานช่วยพี่น้ำเหนือหาเงินมาซื้อบ้านของพวกเราคืน”
ถ้าเป็นเรื่องบ่นเรื่องตัดพ้อต่อว่าต้องยกให้กับนาราภัทรแฝดพี่ซึ่งเป็นสิ่งที่หญิงสาวถนัดนัก ริมฝีปากอิ่มเอิบสีกุหลาบยังคงบ่นพึมพำไม่เลิกและเมื่อหันมามองแฝดน้อง นาราพรรณหรือน้ำค้างที่เมาเครื่องบินอาเจียนจนหมดแรงเอนใบหน้ามาซบกับบ่าเนียนของเธอก็ต้องถอนหายใจยาวด้วยความสงสาร
“ขึ้นเครื่องบินนับครั้งไม่ถ้วนแล้วยังเมาเครื่องเหมือนเดิมเลยน่ะน้ำค้าง”
นาราภัทรต่อว่าน้องสาวเบาๆ ด้วยความเป็นห่วงมากกว่าจะรำคาญแฝดน้องแสนสวยอ่อนหวาน เธออยากปลุกน้ำค้างมาปรึกษาหารือเรื่องอนาคตต่อไปของพวกเธอยิ่งนัก แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าหวานที่ซีดเซียวไร้สีเลือดเพราะอาการเมาเครื่องก็ทำให้ต้องหักใจบ่นงึมงำครุ่นคิดอยู่แต่เพียงผู้เดียวเหมือนเดิม
นาราพรรณหรือน้ำค้างขยับกายเล็กน้อยให้อยู่ท่าสบายๆ ทำที่จะสามารถทำได้กับเก้าอี้แคบๆ ในชั้นประหยัดสำหรับสายการบินแห่งนี้ ใบหน้างามซีดเซียวจากการเมาเครื่องอาเจียนแล้วอาเจียนอีกได้เงยขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาคู่สวยกลมโตปรือมองพี่สาวฝาแฝดได้อย่างยากลำบากพร้อมกันนั้นก็ได้เอ่ยตอบคำบ่นพึมพำของพี่สาวคนสวยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง
“ก็คนมันเมาเครื่องน่ะ จะให้ขึ้นเครื่องกี่ครั้งก็ไม่หายหรอก”
“อ้าว!...นึกว่าหลับแล้ว”
นาราภัทรก้มหน้าลงเอ่ยแซวน้องสาวที่อุตส่าห์เปิดเปลือกตาเอ่ยพูดแล้วก็ซบหน้านิ่งกับบ่าเนียนของเธออีกครั้ง
น้ำค้างมองค้อนประหลับประเหลือก มือบางก็หยิบจับยาดมยาหม่องขึ้นมาสูดดมให้คลายอาการวิงเวียนลงบ้าง ก่อนจะเอ่ยต่อว่าพี่สาวไม่จริงจังนัก
“จะให้หลับลงได้อย่างไรก็น้ำหนาวเล่นถอนหายใจเฮือกๆ บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้งตั้งแต่ออกจากบ้านจนมาถึงสนามบินและเครื่องได้ออกบินแล้วก็ยังไม่หยุดบ่นสักที”
“ไม่ให้บ่นได้ไง ก็เราเป็นห่วงพ่อกับพี่น้ำเหนือ ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่น้ำเหนือจะเป็นไงบ้าง จู่ๆ ก็ถูกอีตาเจ้าชายบ้าบังคับให้เดินทางไปประเทศอัลนูรีนที่มีแต่ทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง”
น้ำหนาวเอ่ยค้านเสียงแผ่วเบา ใบหน้างามเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเป็นกังวลเป็นห่วงพี่สาวที่เสียสละกายใจเพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้อยู่สุขสบายดังเดิม
“น้ำหนาว...ตัวก็รู้นี่ว่าเจ้าชายฮารีฟร์รักพี่น้ำเหนือและเรารู้ว่าพี่น้ำเหนือเองก็รักเจ้าชายฮารีฟร์เหมือนกันเพราะถ้าหากไม่รักไม่ชอบเราเชื่อว่าพี่น้ำเหนือคงไม่ยอมตกเป็นเอ่อ...เมียของเจ้าชายฮารีฟร์หรอก”
คราวนี้เป็นน้ำค้างที่ได้เอ่ยค้านแฝดพี่บ้าง ไม่ว่าพี่สาวคนโตต้องตกอยู่ในฐานะอะไรยังไงๆ เธอและแฝดพี่ก็ขอยกย่องพี่น้ำเหนือไว้ก่อน แต่เท่าที่เธอแอบสังเกตเจ้าชายฮารีฟร์ขณะที่อยู่เมืองไทยและอยู่ด้วยกันกับพี่น้ำเหนือเธอพอจะดูออกว่าเจ้าชายแห่งทะเลทรายผู้นี้รักพี่สาวเธอมาก
“เรารู้ว่าพี่น้ำเหนือรักเจ้าชายและอีตาเจ้าชายคนนั้นก็รักพี่น้ำเหนือเหมือนกัน แต่แหม...น้ำค้างคิดดูสิเจ้าชาย
ฮารีฟร์ไม่ยอมตกแต่งกับพี่น้ำเหนือให้ถูกต้องตามประเพณี แบบนี้ใครๆ ก็มองว่าพี่สาวของเราเป็นแค่เพียงของเล่นของเจ้าชายฮารีฟร์และไม่แน่น่ะ...ขนบธรรมเนียมประเพณีบ้านเมืองของเขาอนุญาตให้ผู้ชายมีเมียได้ถึง 4 คนถ้าหากพี่น้ำเหนือตกต้องอยู่ที่ฐานะเมียตำแหน่งที่สองที่สามจะว่าไง?...พี่น้ำเหนือไม่ช้ำใจแย่หรือ”
“แต่ที่น้ำค้างได้ยินมาผู้ชายที่จะมีเมียได้ถึง 4 คนก็ต้องสามารถเลี้ยงดูพวกเธอเหล่านั้นให้สุขสบายถ้วนหน้ากันไม่ใช่หรือน้ำหนาว” น้ำค้างเอ่ยท้วงตามความรู้ที่ตนเองพอจะทราบมาบ้าง
“น้ำค้าง...ระดับเจ้าชายฮารีฟร์ถึงจะมีเมียเป็นสิบเป็นร้อยก็มีปัญญาเลี้ยงได้”
น้ำหนาวถอนหายใจยาวพร้อมกับเอ่ยตอบแฝดน้องแสนสวยที่ทำท่าว่าจะลืมความเป็นจริงเรื่องนี้ไป ฐานะร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีติดอันดับหนึ่งในสิบอย่างเจ้าชายฮารีฟร์อย่าว่าเมียแค่ 4 คนเลยต่อให้ตั้งเป็นฮาเร็มมีเมียสักร้อยคนก็มีปัญญาเลี้ยงได้
“จริงสิ น้ำค้างลืมนึกไป เฮ้อ!...คิดแล้วกลุ้มปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาอีกรอบแล้ว เราขอนอนพักให้หายเมาเครื่องก่อนได้หรือเปล่า เอาไว้ลงจากเครื่องบินเมื่อไหร่ค่อยคุยกันอีกที ตอนนี้น้ำค้างไม่ไหวจริงๆ”
น้ำค้างบ่นงึมงำตัดบทการสนทนากับแฝดพี่เมื่ออาการปวดหัวเริ่มเข้ามาเล่นงานอีกระลอกใหญ่ ยาแก้เมาที่กินเข้าไปถึงสองเม็ดไม่ได้ช่วยอะไรเลย อาการเมาเครื่องยังคงเล่นงานไม่ได้หยุดหย่อน หญิงสาวหลับตานิ่งเอนหน้าซบกับบ่าเนียนของพี่สาวโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายอนุญาตยาดมยาหม่องที่ถืออยู่ในมือยังคงเอามาสูดดมให้หายวิงเวียน เธอเป็นโรคแพ้เครื่องบินอย่างหนักทันทีที่เท้าแตะพื้นเจ้านกยักษ์อาการปวดหัวเมาเครื่องก็เล่นงานโดยที่เครื่องบินไม่ทันได้ยกขอบล้อพ้นจากขอบรันเวย์ด้วยซ้ำไป
“นอนเถอะน้ำค้าง อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย เดี๋ยวอาการปวดหัวจะเล่นงานหนักกว่าเดิมอีก”
น้ำหนาวยกมือลูบแก้มซีดเซียวของน้องสาวด้วยความสงสารพลางจัดศีรษะกลมทุยให้เอนซบกับบ่าเธอด้วยท่าทางสบายๆ ดวงตาคู่สวยกลมโตลอบมองแฝดน้องเมื่อเห็นว่าหลับสนิทหายใจสม่ำเสมอจึงได้แอบบ่นพึมพำคนเดียวอีกครั้ง
“คงต้องทำงานในผับอีตาพอลเพิ่มขึ้นอีกหลายชั่วโมงจะได้มีเงินเก็บมากกว่าเดิม”
การมาศึกษาต่อที่อเมริกาใช่ว่าหญิงสาวกับน้องสาวฝาแฝดจะมาอยู่อย่างสุขสบายหรูหราเหมือนลูกคนรวยทั่วๆ ไป ถึงแม้ว่าพี่น้ำเหนือจะส่งเงินค่าเล่าเรียนค่าใช้จ่ายให้ในจำนวนที่เรียกว่ามากโข แต่เธอกับน้ำค้างก็พากันทำงานพิเศษเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของพี่สาวด้วย น้ำค้างทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านอาหารไทยที่ตั้งอยู่หัวมุมตึกใกล้ๆ กับอพาร์ทเม้นท์ที่พวกเธอพักอยู่ ส่วนตัวเธอเองก็ทำงานเป็นบาร์เทนดี้ในผับของอีตาพอลจอมแตะอั๋ง
“พี่น้ำเหนือทนหน่อยน่ะ น้ำหนาวกับน้ำค้างจะช่วยกันทำงานเก็บเงินมาซื้อบ้านซื้อทุกอย่างที่เป็นของพวกเรากลับคืนมา”
นาราภัทรพึมพำทั้งน้ำตาที่กำลังเอ่อคลอเกลือกกลิ้งรอบดวงตาคู่สวย อยากจะฝากถ้อยคำความคิดถึงไปกับสายลมที่พัดผ่านส่งไปถึงพี่สาวที่อยู่ไกลกันนับแสนไมล์คนละฟากฝั่งโลกให้ได้รับรู้ว่าน้องสาวทั้งสองนั้นรักและเป็นห่วงพี่สาวที่ต้องตกเป็นของเล่นของเจ้าชายฮารีฟร์ เจ้าชายแห่งทะเลทรายสีทองมากเพียงใด
หญิงสาวเอื้อมนิ้วเรียวยาวดุจลำเทียนแตะแผ่วเบาลงไปบนสร้อยคอทองคำขาวมีจี้เพชรน้ำงามรูปหยดน้ำพร้อมกับพึมพำออกมา
“ขอน้ำหนาวพักกายใจแค่เพียงค่ำคืนนี้เท่านั้นนะคะคุณพ่อ พี่น้ำเหนือ ทันทีที่ถึงบอสตันน้ำหนาวจะตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่อครอบครัวของเราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง”
ท่าอากาศยานนานาชาติเจเนอรัล เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ โลแกน ในเมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์...
บุรุษชาติชาวอาหรับผู้หล่อเหลาคมเข้มทำให้สาวๆ ลุ่มหลงหัวใจละลายมานักต่อนักแล้วได้ก้าวเดินยาวๆ เข้ามาในร้านอาหารไทยร้านเดียวภายในท่าอากาศยาน มือใหญ่สีแทนยกขึ้นเพื่อดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือเรือนแพง เรือนเดียวในโลกที่เชษฐาฮารีฟร์ได้สั่งทำเป็นพิเศษและได้มอบให้กับอนุชาที่รักทั้งสอง
เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ เจ้าชายองค์รองแห่งราชวงศ์อัลนูรีนได้พาเรือนกายกำยำลำสั่นหล่อเข้มเดินเข้ามาในร้านอาหารพร้อมด้วยองครักษ์ประจำกายอีกสองนาย
“วันนี้รับอะไรดีคะเจ้าชาย”
เจ้าของร้านอาหารไทยรูปร่างอ้วนท้วนที่ค่อนข้างสมบูรณ์ไปนิดรีบกุลีกุจอมาให้การต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ที่ได้แวะเวียนมาชิมอาหารไทยเลิศรส
“น้ำพริกปลาทูเน้นผักสด ต้มย้ำกุ้ง ไข่เจียวกุ้งสับแล้วก็ข้าวสวยร้อนๆ มาสักโถ”
เจ้าชายซารีฟร์สั่งรายการอาหารอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องอาศัยเมนูอาหารที่จัดพิมพ์ยาวเหยียดนับสิบๆ หน้า รายการอาหารที่สั่งล้วนเป็นเมนูโปรดที่ตัวเขามักอ้อนให้ท่านแม่ทำให้ทานเสมอสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
อาหารไทยเป็นอาหารเลิศรสไม่ว่าชนชาติไหนได้ลิ้มลองแล้วก็มีอันต้องติดใจในรสชาติที่จัดจ้านเผ็ดร้อนทุกรายไป และถึงแม้จะเป็นเจ้าชายแห่งประเทศอัลนูรีนประเทศในดินแดนตะวันออกที่มีละอองเม็ดทะเลทรายเกินครึ่งของประเทศ แต่เจ้าชายซารีฟร์ผู้ที่มีเลือดไทยครึ่งตัวก็นิยมชมชอบอาหารไทยมากเป็นพิเศษแทบจะมากกว่าอาหารพื้นเมืองอาหารหลักในประเทศอัลนูรีนด้วยซ้ำไป
“ราชิต อาดิล พวกเจ้าพากันนั่งลงแล้วก็สั่งอาหารทานได้แล้ว”
เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยสั่ง ราชิต รุสดี อัฟซาและอาดิล ฮาดี รอซีด์ สององครักษ์ผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีที่ได้เดินทางมาคอยอารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าชายหนุ่มแห่งราชวงศ์อัลนูรีนนับตั้งแต่ได้เดินทางมาพำนักศึกษาอยู่ที่อเมริกา
“พวกกระหม่อมยังไม่หิว พระองค์ทานองค์เดียวเถอะพะยะค่ะ”
ราชิต รุสดี อัฟซา องครักษ์เอกหล่อเข้มเป็นผู้เอ่ยตอบแทนเพื่อนรักที่ยืนนิ่งหันหน้าไปทางประตูร้านอาหารเพื่อคอยระแวดระวังภัยให้กับเจ้าเหนือหัวของพวกตน
“นั่งลง!...แล้วพากันสั่งอาหารมาทานเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าจะบอกว่าไม่หิวได้ไงตั้งแต่เช้าพวกเจ้าทานกาแฟแค่คนละแก้วไม่ใช่หรือ”
เจ้าชายซารีฟร์สั่งเสียงเข้ม ดวงตาคมกริบจ้องมององครักษ์ทั้งสองเขม็งส่งสายตาบังคับให้ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะอาหารอีกตัวที่อยู่ติดๆ กัน
“พะยะค่ะ ทานกาแฟไปคนละแก้ว”
องครักษ์ราชิตอ้อมแอ้มตอบรู้สึกซาบซึ้งใจที่เจ้าเหนือหัวใส่ใจเรื่องการกินอยู่ของพวกตนและราษฎรปวงผองชาวอัลนูรีนเสมอมา เจ้าชายซารีฟร์ไม่เคยถือพระองค์ไม่ว่าเจ้าชายจะทานอาหารเลิศรสที่โรงแรมหรูมากเพียงใด เหล่าองครักษ์ที่คอยติดตามอารักขาราวกับเงาติดตามตัวก็ได้ทานอาหารที่ไม่ต่างจากผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัว
ราชิตและอาดิลต่างก็รีบทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วรับเมนูจากเจ้าของร้านมาเปิดดูรายการอาหารก่อนจะพากันสั่งอาหารประเภทจานเดียวคนละจาน
“ข้าวผัดปูจานหนึ่ง” ราชิตสั่งอาหารจานด่วนซึ่งอาดิลเพื่อนรักก็รีบเอ่ยบอกเด็กเสริฟทันทีเหมือนกัน
“เราเอาด้วยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำหลายอย่าง”
ภยันตรายที่มีอยู่รอบด้านการถูกลอบสังหารถูกปลงพระชนม์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า องครักษ์ที่คอยทำหน้าที่อารักขาจึงจำเป็นต้องตื่นตัวคอยระวังภัยให้กับเจ้าแห่งชีวิตตลอดเวลา
เจ้าชายซารีฟร์ได้ยินเมนูอาหารที่เหล่าองครักษ์ได้สั่งเด็กเสริฟก็ส่ายหน้าช้าๆ อย่างอ่อนใจ รู้ว่าองครักษ์ที่ภักดีทั้งสองต้องการทานอาหารให้เสร็จเร็วไวเพื่อกลับไปทำหน้าที่อารักขาตนเหมือนดังเดิม
“เดี๋ยว!” เจ้าชายองค์รองแห่งทะเลทรายได้เรียกเด็กเสริฟไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินไปส่งรายการอาหารให้กับพ่อครัว
“เพิ่มซุปถ้วยใหญ่มาอีกถ้วย ผัดผักรวมแล้วก็เอาไข่เจียวร้อนๆ มาด้วย” เจ้าชายซารีฟร์รอจนเด็กเสริฟเดินพ้นไปแล้วจึงได้หันมาต่อว่าองครักษ์ไม่จริงจังนัก
“กินข้าวแค่คนละจานจะอิ่มได้อย่างไร พวกเจ้าตัวออกจะใหญ่โตต้องการพลังงานมาก ทีหลังให้สั่งอาหารมากินให้อิ่ม”
“กระหม่อมกับอาดิล ไม่อยากใช้เวลาในการทานข้าวมากเกินไปพะยะค่ะ” ราชิตตอบตามความเป็นจริงที่ตนเองและอาดิลเพื่อนรักต่างก็คิดเช่นนี้เสมอ
“เฮ้อ!...ราชิต อาดิล พวกเจ้าไม่ต้องระวังภัยให้เรามากถึงเพียงนี้ก็ได้ ที่นี่บอสตันน่ะ ไม่มีใครบ้าถ่อสังขารมาฆ่าเราถึงที่นี่หรอก”
ด้วยรู้ความหมายที่องครักษ์เอกทั้งสองได้เอ่ยออกมาอย่างแจ่มแจ้ง เจ้าชายซารีฟร์จึงได้คัดค้านความคิดความอ่านของอีกฝ่ายเสียงแข็ง