ตอนที่ 3 ยกน้ำชา
ตอนที่ 3 ยกน้ำชา
เมื่อฟางเจียวเหมยผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว เดินออกมาจากห้อง ซึ่งประดับประดาด้วยผ้าสีแดง นางมองบรรดาผ้าสีแดงเหล่านั้น ในใจมีแต่ก้อนแห่งความขมขื่น ความเสียอกเสียใจ กำลังเอ่อล้นอยู่ลำคอของหญิงสาว
ทว่า...แม่ทัพหลี่เดินออกมาจากห้องเช่นเดียวกัน จังหวะนั้น เขาเหลือบไปเห็นภรรยาของตน แต่ก็หาได้สนใจไม่ กลับเดินไปยังห้องของผู้เป็นมารดา
เสี่ยวเถาไม่รู้จักสรรหาคำพูดอันใดดี ที่เห็นว่าแม่ทัพหลี่ไร้ใจเยี่ยงนี้ ไม่มาทักทายสักคำสองคำก็ยังดี ยังตีสีหน้าเรียบเฉย เดินตัวปลิวไปโดยมิสนใจว่าคุณหนูของนางจะรู้สึกอย่างไร
ส่วนฟางเจียวเหมยระบายยิ้มเล็กน้อย แต่ก็กลายเป็นรอยยิ้มที่ซ่อนความขมขื่นเจ็บปวดเอาไว้ ภายใต้ดวงตากลมโตดูสดใส แต่กลับหม่นหมองเศร้าสร้อยเข้าให้โดยมิได้ตั้งใจ
กระนั้นจึงกระซิบข้างใบหูของเสี่ยวเถาให้ไปยกน้ำชามาให้นาง วันนี้เป็นวันแรกจักต้องคารวะแม่สามีอย่างเป็นทางการ สาวใช้รู้ความจึงตื่นแต่เช้าตระเตรียมน้ำชาให้กับนายสาว
ซึ่งเป็นสูตรพิเศษของตระกูลจ้าวฝั่งมารดาของนาง มารดาของฟางเจียวเหมยมีฐานะสูงส่ง และชาติกำเนิดของฟางเจียวเหมยนั้นยังเป็นปริศนา มิมีผู้ใดเคยพานพบฮูหยินเอกของเถ้าแก่ฟางสักครา
และยังมิทราบอีกว่า ฟางเจียวเหมยมีพี่ชาย แต่พี่ชายของนางไม่เคยพำนักอาศัยอยู่ในจวนตระกูลฟาง ชายผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของหญิงสาวมีนามว่า ฟางจิ้นฝาน หรือ...จ้าวอิงหยวน
แม่ทัพหลี่เดินเข้ามาก่อนหน้าภรรยา ที่เขามิได้เปิดผ้าคลุมหน้า และมิเคยพานพบนางมาก่อน ชายหนุ่มนั่งลงบนพื้น อยู่ในท่าคารวะน้ำชาเช้าแรกของการแต่งงาน กับสตรีที่เขามิได้รักใคร่
เมื่อฟางเจียวเหมยเดินเข้ามา นางก็เข้าใจเป็นอย่างดี นั่งลงเคียงข้างของผู้เป็นสามี จากนั้นแม่นมหูรับน้ำชาจากเสี่ยวเถา แล้วยื่นมอบให้แก่ฮูหยินน้อย “ท่านแม่ ข้ามาคารวะน้ำชาเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงอ่อนหวาน จึงทำให้ชายหนุ่มได้พิศมองมายังใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้จุดด่างดำ ผิวพรรณผุดผาดนัก ดวงตากลมโต สะสวยเหลือเกิน ชายหนุ่มตกตะลึงให้กับความงดงามของหญิงสาว ซึ่งเมื่อคืนเขาเลือกที่จะเพิกเฉยกับนางเอง
“งามใช่หรือไม่ อาฮั่ว เจ้าทำดีกับนางหน่อยไม่ได้หรือ นางน่ารักขนาดนี้ เจ้าจะใจดำได้ลงคอหรือไรกัน” หญิงชรากล่าวตำหนิทางอ้อม ก็เพราะทราบเรื่องเมื่อคืนแล้ว นางก็หาได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด คิดว่ารุ่งเช้าค่อยจัดการเจ้าลูกชายตัวดีเสียหน่อย
ทว่าเมื่อครู่นี้ นางก็ลอบสังเกตอาหารของลูกชาย เห็นตกตะลึงให้ความงดงามเพริศแพร้ว ในไม่ช้านี้หญิงชราอาจได้รับข่าวดีเป็นแน่
ส่วนแม่ทัพหลี่ปรับสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม งามก็งามอยู่ แต่สตรีนางนี้ดูแล้วเจ้าเล่ห์ไม่เบา ชายหนุ่มจึงส่งเสียงทุ้มขึ้นมา “หาได้งามอย่างที่ท่านแม่กล่าวไม่ ลูกขอตัว”
ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดนัก ไม่อาจนั่งอยู่เคียงสตรีนางนี้ได้นาน เกรงว่ามารดาจะกล่าวโทษเสียยกใหญ่ เมื่อครู่ก็เปรยมาทางอ้อมล้อม เขาไม่อยากหูชา จึงเลือกที่จะลุกหนี
ทว่า...ฟางเจียวเหมยก็ลุกตามชายหนุ่มออกมา เพราะแม่สามีโบกมือให้นางตามเขา หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้น เพื่อรั้งชายหนุ่มให้พูดคุย “ท่านพี่เจ้า ท่านชอบทานอันใด ข้าจะได้เตรียมให้ท่าน”
“ไม่ต้องลำบากเจ้าเอาใจข้า อยู่แต่ในที่ของเจ้าก็พอ ข้าไม่ชอบความวุ่นวาย” ชายหนุ่มมิได้รักษาน้ำใจสาวงาม เลือกที่จะตอบโต้อย่างใจคิดมิสนใจว่านางจะรู้สึกอย่างไร
ฟางเจียวเหมยได้ยินเช่นนั้นพลันสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด ดวงตากลมโตคู่งามหม่นแสงลงมากะทันหัน ส่วนสาวใช้แอบค่อนขอดหลี่ฮั่วอยู่ในใจ หากเป็นไปได้เสี่ยวเถาอยากส่งจดหมายมอบให้กับจวิ้นหวางเสียเหลือเกิน ว่ายามนี้จวิ้นจู่มีชะตากรรมเช่นไร
“คุณหนูเจ้าคะ” เสี่ยวเถาคันปากยุบยิบ อยากจะบอกเหลือเกินว่า คุณหนูของนางมีฐานะอันใดกันแน่ เหตุใดแม่ทัพหลี่จึงหยามศักดิ์กันถึงเพียงนี้
“ท่านพี่ ข้าจะรอท่านนะเจ้าคะ” หญิงสาวไม่คิดตัดพ้อต่อว่า แม้จะแอบเศร้าใจบ้างกับถ้อยคำที่เขากล่าว อาจเพราะนางกับเขามิได้ทำความรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน เขาจึงกลายเป็นเย็นชาไร้ไมตรี อีกทั้งหลี่ฮั่วคงจดจำไม่ได้กระมัง ว่าครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตดรุณีน้อยเอาไว้ บุญคุณครั้งนั้น ฟางเจียวเหมยจดจำจนขึ้นใจ จึงหลงรักเขาตั้งแต่ยามนั้นจวบจนปัจจุบันนี้
“ไม่ต้องรอ ข้ามีงานต้องสะสาง” ชายหนุ่มยังคงยืนหันหลังตอบกลับสาวงาม เมื่อกล่าวจบเขาก็รีบก้าวเท้าเดินออกไปทันที โดยไม่สนใจไยดีว่านางจะกล้ำกลืนฝืนทนหรือไม่ หลี่ฮั่วรู้เพียงว่า เขาถูกตาแก่ฟางเซี่ยเหวินวางแผนร้าย ทำให้เขาจำใจต้องแต่งงานกับฟางเจียวเหมยด้วยความคับแค้นใจ
“คุณหนู กลับเข้าห้องกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไปดูในครัวยกสำรับมาให้นะเจ้าคะ” เสี่ยวเถารีบบอกกล่าว เมื่อคืนนายสาวก็ไม่ได้รับอาหาร เช้ามาก็วุ่นวายรีบมายกน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่าอีกแต่เช้าตรู่ หากปล่อยให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้เกรงว่าคุณหนูอาจปวดท้องเอาได้ประเดี๋ยวเจ็บป่วยขึ้นมาคงไม่ดีนัก
พลันแม่นมหูเดินออกมาเพื่อแจ้งว่า สำรับมื้อเช้านั้น ให้ฮูหยินน้อยมารับอาหารกับฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนนายท่านผู้เฒ่าติดงานราชการมาเกือบสิบวันแล้ว กระทั่งงานสมรสของบุตรชาย ยังเจียดเวลามาได้แค่ไม่ถึงสองชั่วยาม ก็ต้องเร่งเดินทางกลับไปทันที
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณแม่นมหูมากเจ้าค่ะ” หญิงสาวระบายยิ้มอย่างอ่อนหวาน นางมองแม่นมหู หญิงชรามองกลับมาที่นางด้วยสายซึ่งมีแต่ความอบอุ่น
“จะต้องขอบคุณอันใดกันเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่ารักและเอ็นดูฮูหยินน้อย บ่าวเฒ่าผู้นี้ก็พร้อมจะดูแลรับใช้เป็นอย่างดีเจ้าค่ะ ว่าแต่ฮูหยินน้อยชอบทานอันใดเจ้าค่ะ บ่าวจะสั่งแม่ครัวทำให้เป็นพิเศษ” คาดไม่ถึงว่าฮูหยินน้อยจะน่ารักถึงเพียงนี้ ไม่วางท่าเอาเสียเลย กลับดูนุ่มนวลและอ่อนโยนยิ่งนัก
“ข้ารับอาหารได้ทุกอย่างเจ้าค่ะ” สาวงามตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวาน ส่วนเสี่ยวเถายังคงมองแผ่นหลังที่ลาลับของแม่ทัพหลี่นั่น ภายในอกนั้นราวกับมีเพลิงโทสะขนาดย่อมอยู่มันกำลังเดือดปุด ๆ ขึ้น แทบอดกลั้นอดทนไม่ไหวอยากระบายต่อว่าต่อขานเสียเหลือเกิน
อีกทั้งอยากจะสั่งสอนแม่ทัพหลี่ให้เข็ดหลาบ แต่นางก็ไร้วรยุทธ์จะทำเช่นไร หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ยามอยู่ที่แคว้นจ้าวร่ำเรียนวรยุทธ์ให้มากหน่อยก็คงดี จะได้ปกป้องดูแลจวิ้นจู่ ไม่ให้มีผู้ใดมารังแกได้
เหมือนกับในยามนี้ที่จวิ้นจู่ผู้แสนดี ถูกแม่ทัพหลี่หยามศักดิ์ศรีเข้าให้ถึงเพียงนี้ ราวกับว่าฟางเจียวเหมยสังเกตเห็นอาการทางแววตาของสาวใช้ นางรีบกระซิบเบา ๆ ว่า “ใจเย็น ๆ หน่อยเถิด แม่ทัพหลี่มิได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิด”
เสี่ยวเถาแอบเหน็บแนบขึ้นในใจว่า...ไม่เลวร้าย ได้อย่างไรกันก็สายตาเย็นชานั่น มองมายังจวิ้นจู่ช่างเยียบเย็นเสียเหลือเกิน เสี่ยวเถายังรู้สึกขนลุกซู่
แต่ทำไมกันจวิ้นจู่ของนาง จึงดวงตามืดบอดหลงรักปักใจท่านแม่ทัพถึงเพียงนี้ เสี่ยวเถาจะทำอย่างไร ปกป้องคุณหนูอย่างไรดี สวรรค์...ช่วยดลบันดาลให้จวิ้นจู่จ้าวเจียวเหมยมีความสุขสมหวังในรักด้วยเถิด