"รักของพวกเขา" 4
กิตติยิ้มความบ้องแบ๊วของน้อง ชายหนุ่มไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย เขาโน้มหน้าลง ริมฝีปากหยักก็โฉบเฉี่ยวประกบจูบลงทัณฑ์ จูบหยอกล้อตอดเล็กตอดน้อยอยู่อย่างนั้น
“ถ้ารักเจียวก็หยุดทำแบบนี้สิคะ”
เปาวลีเปรยเสียงสั่นๆ ร่างบางอ่อนเหมือนขี้ผึ้งลนไฟ พยายามหักห้ามใจไม่ให้หลงใหลในรสสัมผัสอันแสนหวาน แต่ช่างทรมานหัวใจเหลือเกินยามชายหนุ่มสร้างขึ้น
“เจียวจ๋า...พี่อยากได้ยินเจียวบอกรักพี่บ้าง บอกรักพี่ให้ชื่นหัวใจหน่อยสิครับ”
เสียงอ้อนอ่อนหวานทุ้มนุ่มหูช่างเป็นน้ำทิพย์ชโลมหัวใจดวงน้อยให้กระชุ่มกระชวย เธออบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้งที่ได้อยู่ในวงแขนกำยำที่คอยแต่กระชับกอดแน่นที่เอวคอด
“จะ...เจียวรักพี่เกี๊ยค่ะ” ปาวลีไม่ได้บอกแค่ปาก เธอยังแสดงให้เขาเห็นด้วยว่าเธอรักชายหนุ่มมากแค่ไหน เสียงสั่นเครือเอ่ยบอกรักชิดเรียวปากหยัก เรียวปากบางอิ่มเอิบจูบเรียวปากหยัก จูบแล้วจูบอีก จูบอยู่อย่างนั้น เธออยากให้ชายหนุ่มรับรู้ว่าทุกลมหายใจและชีวิตเลือดเนื้อของเธอมันเป็นของเขา
“ระ...รักมากไหม” เสียงเข้มสั่นสะท้านถาม เขารู้สึกสยิวซ่านเมื่อแม่กระต่ายน้อยจูบสัมผัสหยอกล้อเขาแบบกล้าๆ กลัว...กิตติรีบใช้มือทั้งสองข้างโอบอุ้มพวงแก้มนวลแล้วดันให้ออกห่าง
“หัวใจของเจียวในเวลานี้มีพี่เกี๊ยคนเดียวค่ะ...เจียวมีชีวิตเดียว ขอมอบให้พี่เกี๊ยดูแล...พี่เกี๊ยอย่าทิ้งเจียวนะคะ” ทุกคำพูดของหญิงสาวกลั่นกรองออกมาจากหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักที่มั่นคง
“ยอดรักของพี่...พี่รักเจียวที่สุดของที่สุด ชีวิตของพี่ที่มีอยู่มันเป็นของเจียว...พี่จะไม่มีวันทอดทิ้งเจียวและทำให้เจียวเสียใจแน่นอน” เสียงกระซิบของเขาฟังดูหนักแน่นเหมือนหัวใจของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยรักล้นหัวใจ
“พี่เกี๊ยขา...เราเข้าบ้านกันเถอะค่ะ”
เปาวลีหันมอง รอบข้างของรถมีสายตาอยากรู้อยากเห็นหลายคู่ คนที่เดินผ่านต่างหันมองและทำท่าทางซุบซิบเหมือนพวกเขาพากันนินทาเธอ
“โอเค เข้าบ้านก็เข้าบ้าน”
กิตติรีบเปิดประตูแล้วลงจากรถ วิ่งไปฝั่งที่น้องนั่งอยู่ เขาเปิดประตูให้หญิงสาว ซึ่งภาพของหนุ่มสาวที่มีอายุห่างกันหลายปีต่างตกเป็นเป้าสายตาและขี้ปากของชาวบ้านละแวกนั้น
“แม่ขา...เจียวทำเองค่ะ...แม่นั่งพักนะคะ”
เปาวลีรีบวางกระเป๋านักเรียนไว้ข้างเก้าอี้หน้าบ้าน เธอรีบเข้าไปจับตะกร้าผ้าในมือของมารดาวางไว้ แล้วพยุงร่างของหญิงวัยห้าสิบห้าปีแต่ดูสังขารของนางช่างดูเหมือนหญิงชราอายุหกสิบเข้าไปนั่งพักในห้องรับแขก
“ยัยหนู ทำไมวันนี้กลับถึงบ้านเร็วจังล่ะ”
สุจีนั่งบนโซฟา หายใจหอบเหนื่อยเจ็บจี๊ดๆ ที่หน้าอก แต่นางก็ไม่ได้แสดงอาการปวดเจ็บให้ลูกสาวได้เห็น
“พี่เกี๊ยไปรับที่โรงเรียนค่ะ” เปาวลีขยับตัวหลีกทางให้ชายหนุ่มที่เดินตามหลังมานั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามมารดา ส่วนเธอก็ปลีกตัวออกไปเก็บผ้าที่ตากอยู่ข้างบ้าน
“สวัสดีครับน้าสุ” กิตติยกมือไหว้ว่าที่แม่ยาย
“ไหว้พระเถอะพ่อเกี๊ย ไหนว่าไปดูงานที่กรุงเทพฯ ทำไมกลับมาเร็วจังล่ะจ๊ะ” สุจีรับไหว้ว่าที่ลูกเขย
“พอดีงานที่ไปดูเสร็จเร็วกว่ากำหนดน่ะครับ”
กิตติตอบสุจีแต่สายตาของเขากลับเหลือบมองแม่กระต่ายน้อยที่นั่งพับผ้าของลูกค้าอยู่อีกมุม
“แล้วนั่นถุงอะไรล่ะ ทำไมดูเยอะแยะจัง” สุจีมองถุงหลายใบที่กิตติวางไว้บนโต๊ะรับแขก
“ของฝากจากกรุงเทพฯ ครับ”
สุจียิ้มแล้วหันไปบอกลูกสาวที่นั่งพับผ้าอยู่
“ยัยหนู ไปเอาของว่างกับน้ำเย็นมาให้พี่เขาสิลูก” ก่อนหันมาพูดคุยกับกิตติอีกครั้ง “ทำไมจะต้องสิ้นเปลืองเงินทองซื้อมาให้น้าเยอะแยะแบบนี้ด้วยล่ะพ่อเกี๊ย” นางบ่น แต่เสียงนุ่มอย่างเอ็นดูว่าที่ลูกเขย
“ไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรหรอกครับ มีแต่ของใช้ ของบำรุงร่างกายทั้งนั้นครับ”
“งั้นก็ขอบใจนะพ่อ”
มารดาหญิงสาวระบายยิ้มไม่คลาย ตลอดเวลาที่ผ่านมา กิตติเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย นางเห็นความรักมากมายในแววตาชายหนุ่มที่มีให้แก่บุตรสาว จึงไม่ขัดขวางหากเขาจะคบหาดูใจกับเปาวลี แม้ว่าทั้งคู่จะอายุห่างกันหลายปีก็ตาม
เสียงก๊องแก๊งๆ ดังออกมาจากในครัวทำให้กิตติหันไปมองแล้วเอ่ยขออนุญาตกับสุจี “ผมไปช่วยเจียวนะครับ น้าสุ”
“จ้ะ ไปเถอะพ่อ” สุจีอนุญาตอย่างเข้าใจความรู้สึกของหนุ่มสาว
กิตติรีบลุกขึ้นเข้าไปช่วยเปาวลีในห้องครัวทันที เมื่อเข้ามาก็เห็นหญิงสาวกำลังยกถาดอาหาร เตรียมไปขึ้นโต๊ะจึงขันอาสา
“มา...พี่ช่วย”
“ขอบคุณค่ะ” เปาวลียิ้มแล้วปล่อยถาดในมือให้ชายหนุ่ม แล้วเธอก็เดินตามหลังเขาเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างโต๊ะรับแขก
“นี่ถ้าคุณบุษอยู่คงช่วยกันกินช่วยกันใช้ได้บ้าง” การทำตัวไม่รุ่มร่ามเสมอต้นเสมอปลายของชายหนุ่มที่ดูจะรักและทะนุถนอมเปาวลีปานดังดวงใจนั้น ทำให้สุจีที่นั่งมองแอบยิ้มอย่างมีความสุข
“คุณยายไปไหนเหรอครับ” กิตติที่นั่งฝั่งตรงข้ามสุจี เขามองผ่านหัวไหล่ของว่าที่แม่ยายมองบ้านไม้หลังใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“คุณบุษไปทำบุญที่วัด มาบอกน้าว่าจะจำศีลที่วัดสักสี่ห้าวันจ้ะ”
สุจียิ้มพิมพ์ใจเมื่อนึกถึงหญิงชราวัยแปดสิบผู้มีจิตใจดี โอบอ้อมอารีแด่ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า
คุณบุษบามักจะถือตะกร้าหมากและปิ่นโตข้าวนั่งรถตุ๊กๆ ไปวัดทำบุญ ซึ่งเป็นภาพคุ้นเคยเห็นเป็นประจำสำหรับสุจี ตลอดหลายสิบปีที่นางอุ้มท้องอ่อนๆ มาเช่าบ้านอยู่ที่นี่ สุจีก็เห็นหญิงชราอาศัยอยู่บ้านหลังนั้นตามลำพัง จะมีเป็นบางปีที่ลูกสาวคนเดียวของนางกลับจากต่างประเทศมาเยี่ยมเยียน ซึ่งลูกสาวของคุณบุษบาก็คือมารดาของกิตตินั่นเอง
“แล้วคุณยายได้ฝากกุญแจบ้านไว้ไหมครับ”
กิตติมองเปาวลีที่ชูขวดน้ำหวานเฮลส์บลูบอยให้เขาเลือก ชายหนุ่มพยักหน้าบอกน้องว่าเขาต้องการน้ำแดงไม่ใช่น้ำเขียว
“อย่าบอกนะ พ่อเกี๊ยไม่มีกุญแจเข้าบ้าน” สุจีมองหน้าว่าที่ลูกเขย
“ครับ” กิตติยิ้มแห้งๆ แล้วส่ายหน้ารับไปมา
“คุณบุษก็ไม่ได้ฝากกุญแจไว้ที่น้าด้วยสิ แล้วนี่พ่อเกี๊ยจะเข้าบ้านยังไงล่ะทีนี้”
สุจีครุ่นคิด จะให้ชายหนุ่มนอนพักอาศัยที่นี่ก็กลัวลูกสาวตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน แค่เปาวลีหมั้นกับกิตติ ลูกสาวของนางก็ถูกชาวบ้านพากันเมาท์สารพัดว่าอยากจับคนรวย แต่งกันแล้วไปกันไม่รอด เดี๋ยวลูกสาวของนางก็ถูกทิ้ง ซึ่งบางครั้งคำพูดของชาวบ้านก็ทำให้สุจีคิดและวิตกกังวลอยู่ไม่น้อย
