พันธะร้าย บทที่ 3 : ที่พึ่งสุดท้าย
"น่าเกลียด"
ร่างสูงยกขานั่งไขว่ห้าง เอนตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้ จ้องมองไปยังชุดที่สวมใส่อยู่บนหุ่นลองชุด ทุกคนในห้องต่างก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองตัวสั่นเพราะความกลัว
"สะ สีนี้ตรงตามที่พระองค์เลือกเลยนะครับ" ชายผู้เป็นเจ้าของห้องเสื้อพูดด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ ชายตรงหน้าปาดสายตามองไปที่เขา
"ไม่ได้บอกว่าสีน่าเกลียด บอกเรื่องการออกแบบและตัดเย็บต่างหาก"
"..." ทั้งห้องเข้าสู่ความเงียบ ไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว
"ออกไปได้แล้ว เอาผ้าขี้ริ้วบนหุ่นนั้นออกไปด้วย"
"คะ ครับ ครับ!" เจ้าของห้องเสื้อและคนของเขาต่างรีบเก็บของทุกอย่างออกจากห้องไปด้วยเวลาที่รวดเร็ว
"อีกแล้วเหรอ" เสียงของหญิงสาววัยกลางคนที่คุ้นเคยดังมาจากทางประตู
"..." เขาหันไปมองผู้หญิงที่เดินเข้ามา ด้านหลังของเธอเป็นเลขาธิการประจำราชวงศ์เดินตามหลังเข้ามาอีกคน
"แบรนด์นี้คือแบรนด์ที่ดีที่สุดติดอันดับโลกแล้วนะเจ้าชาย"
"จริง ๆ ผมใส่อะไรก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแบรนด์ติดอันดับโลกอะไรทั้งนั้น"
"ขนาดแบรนด์เหล่านั้นยังโดนไล่ แล้วถ้าห้องเสื้อธรรมดาจะรับมือเจ้าชายได้เหรอ" เธอพูดอย่างรู้ทัน ก็ลูกชายผู้เอาแต่ใจของเธอน่ะเดาอารมณ์ยากสุด ๆ
"งั้นก็แล้วแต่แม่เลยครับ" เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ผู้เป็นแม่จ้องมองลูกชายของตัวเองและก็อดส่ายหัวไม่ได้ ดื้อได้พ่อจริง ๆ เลยลูกคนนี้
"แล้วนี่จะไปไหน"
"กลับที่พักครับ" ผู้เป็นแม่จ้องมองลูกชายของเธออย่างจับผิด นี่พึ่งจะเย็นคนอย่างเขาน่ะเหรอจะกลับที่พักเลย
"เจ้าชาย" ร่างสูงที่กำลังเดินไปทางประตูหันกลับมาอีกครั้งตามเสียงเรียก
"ครับ"
"จะไปไหน" เธอถามย้ำอีกครั้งในขณะที่ลูกชายตัวดีเอาแต่ส่งยิ้มมาให้
"แม่คิดว่ายังไงล่ะ" เมื่อได้ยินคำตอบของเขา เธอก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
กฎที่ทุกคนทำตามอย่างเคร่งครัด มันใช้ไม่ได้กับเขา แต่อย่างน้อยเขาก็ทำในที่ลับตาคนมาตลอด กฎจึงเป็นแค่กระดาษใบเดียวเท่านั้น หญิงสาวผู้เป็นแม่และมีตำแหน่งเป็นควีน จ้องมองแผ่นหลังกว้างของลูกชายคนเล็กจนเขาเดินลับสายตาไป
"ท่านเลขา" เธอหันไปหาผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
"ครับ ท่านมาเรีย"
"ก็เห็นแล้วนะว่าห้องเสื้อที่เราเรียกใช้ในประเทศนี้หมดแล้ว"
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ ทุกคนต่างต้องมีการดูแลเรื่องเสื้อผ้าเพื่อให้เป็นภาพลักษณ์ที่ดีแก่ราชวงศ์ และทุกคนมีห้องเสื้อดูแลส่วนตัวโดยเฉพาะ แต่ลูกชายของเธอไม่มีที่ไหนถูกใจเขาสักที่
แม้ว่าเขาจะมีองค์ประกอบทุกส่วนในร่างกายที่ดูดีมากเพียงใด แต่เรื่องเสื้อผ้าก็ยังสำคัญ การดูแลที่รวมไปถึงเครื่องแบบประจำตัว เครื่องแบบตามวาระโอกาสต่าง ๆ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ จึงเป็นเรื่องวุ่นวายในตอนนี้ที่หาคนมาดูแลไม่ได้
"ยังไม่หมดครับ แต่เหลือแบรนด์สุดท้ายแล้ว"
"ที่ไหนอีกล่ะคะ นี่เราก็เรียกมาจนครบก็ไม่มีที่ไหนถูกใจสักที่" เธอได้แต่ถอนหายใจออกมา เพราะหมดหนทางที่จะจัดการกับลูกชายตัวดี
"แบรนด์เวนิสต้าครับ"
"...!"
"สิ่งสุดท้ายที่เราเตรียมไว้ใช้ในเวลาแบบนี้แหละครับ"
"เธอจะยอมเหรอคะ" เธอหันกลับมามองที่เลขาธิการทันที แบรนด์นี้ ผู้เป็นเจ้าของก็คือหลานสาวของเขา ผู้สืบทอดหนึ่งเดียวของตำแหน่งเลขาธิการคนต่อไป
"ยอมครับ เธอต้องยอมแน่" เขามั่นใจกับข้อเสนอที่กำลังจะยื่นออกไปให้เธอ หลานของเขา เขาย่อมรู้จักเธอดีที่สุด
"ฝากด้วยแล้วกันนะคะ ที่พึ่งสุดท้ายแล้ว"
"ครับท่านมาเรีย"
"ส่วนเรื่องข้อจำกัด เคทน่ะไม่ใช่สามัญชนธรรมดาเรื่องของกฎฉันว่าไม่น่าจะมีปัญหานะคะ" ถ้าหากได้เธอมาจริง ๆ ก็น่าจะหมดห่วงเรื่องการปฏิบัติตัว เพราะเธออยู่กับพวกเรามาตั้งแต่เกิดแล้ว
"ครับ ผมจะแจ้งเรื่องนี้กับเธอเอง"
"ฝากด้วยนะคะ"
เธอยิ้มอย่างมีความหวัง ในที่สุดก็จะหาห้องเสื้อมาดูแลเจ้าชายได้สักที และฐานะก็ไม่ถือว่าต่างกันมาก การปฏิบัติและความเคยชิน พวกเขาน่าจะเคยเจอกันบ้างแล้ว ก็พักอยู่ที่เดียวกันนิ
ณ คอนโดส่วนตัวของเชื้อพระวงศ์
รถสปอร์ตคันหรูสีดำวิ่งผ่านรั้วสูงเข้ามายังด้านในได้อย่างง่ายดาย บริเวณรอบที่พักมีคนดูแลอยู่ตามจุดต่าง ๆ มากมาย ฉันขับขึ้นจอดยังชั้นจอดรถ ทั้งชั้นอยู่ในความเงียบสงบ รถยนต์ถูกจอดเข้าช่องอย่างเรียบร้อย ก่อนลงรถก็ไม่ลืมที่จะตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนลงรถ
ปึง!
ติ้ด!
ประตูรถถูกปิดลง ฉันกำลังจะเดินไปยังลิฟต์ก็ต้องหยุดชะงัก หันมองไปตามเสียงของเครื่องยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็ว ขาเรียวก้าวถอยหลังหลบทันที เมื่อเห็นว่ารถที่วิ่งมาไม่มีท่าทีชะลอความเร็วลงเลย สัญญาลักษณ์และป้ายทะเบียน แค่มองก็รู้ว่าใคร ตอนเช้าก็เจอ ดึกขนาดนี้ยังเจออีก พวกราชวงศ์คือสิ่งมีชีวิตที่เกะกะลูกตาฉันจัง
บรื้น!!
รถยนต์คันหรูวิ่งผ่านหน้าไป สายตาของฉันมองตรงไปยังลิฟต์เบื้องหน้า ต้องรีบเข้าไปในนั้นให้ไวที่สุด ก่อนที่เขาจะมา
ตึก ตึก ตึก!
ขาเรียวบนรองเท้าส้นสูงก้าวเดินไปอย่างคล่องแคล่ว นิ้วเรียวกดลูกศรชี้ขึ้นของลิฟต์ด้วยความใจร้อน
"เร็วสิ เร็ว เร็วกว่านี้..." ทำไมวันนี้มันช้าขนาดนี้ ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเลย
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากที่ไกล ลานจอดรถทั้งชั้นมีแค่เขาและฉันเท่านั้น
ติ้ด ติ้ด!
ฉันกดปุ่มลิฟต์รัว ๆ ทั้งที่รู้ว่าต่อให้กดยังไงมันก็มาด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่อยู่ ๆ สายตาเหลือบมองไปยังภาพสะท้อนด้านหลังจากประตูลิฟต์สีดำ
ร่างสูงกำลังเดินตรงมาทางนี้ นี่ฉันต้องขึ้นลิฟต์ไปกับเขาเหรอ ไม่นะ ฉันไม่อยากอยู่ใกล้พวกเขา ในขณะที่เขากำลังเดินใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแนบหูและหมุนตัวกลับหลังเดินสวนเขาไปทันที ปากก็พูดคนเดียว สายตามองตรงไปยังด้านหน้าทำทีเดินไปที่รถ
"เดี๋ยวไปดูที่รถให้นะ" คุยคนเดียวด้วยความจริงจัง
ฉันต้องทำอะไรขนาดนี้เลยเหรอในแต่ละวัน ปกติกลับมาดึกขนาดนี้ไม่เคยเจอใคร แล้วอีกอย่างเจอใครไม่เจอต้องมาเจอเขาอีก
ตึก ตึก ตึก
ฉันชะลอฝีเท้าตัวเองลงและหยุดยืนหน้ารถ พร้อมกับทำทีเป็นยืนคุยโทรศัพท์ แต่จริง ๆ รอเวลาให้เขาขึ้นไปก่อนเท่านั้นเอง
ร่างบางหยุดยืนรอสักพักและค่อย ๆ หันไปแอบมองด้านหลังของตัวเอง ตรงหน้าลิฟต์ไม่มีใครอยู่ แสดงว่าขึ้นไปแล้วสินะ ทางสะดวกแล้ว เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจต้องการก็วิ่งกลับไปที่ลิฟต์ด้วยอาการดี๊ด๊าสุดขีด นิ้วเรียวจิ้มกดไปที่ปุ้มลูกศรชี้ขึ้น ยืนรอไม่นานนักลิฟต์ที่เฝ้ารอก็ลงมาถึง
ประตูถูกเปิดออกช้า ๆ ขาเรียวกำลังก้าวเดินก็ต้องหยุดชะงักลง ดวงตากลมเบิกโตจ้องมองบุคคลที่อยู่หลังประตู ร่างสูงยืนพิงกดโทรศัพท์ในมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างช้า ๆ เราทั้งคู่สบตากัน ไม่ได้หวานซึ้งโรแมนติก แต่ฉันที่ยืนแข็งทื่อไม่กล้าขยับ เขามองด้วยสายตาเรียบเฉย ไร้ความรู้สึก
"ไง" เสียงเข้มเอ่ยทักทาย ในขณะที่ฉันยังยืนนิ่ง เขา...ทำไมลงมาอีกเนี่ย! ลงมาทำไมอีก!