พันธะร้าย บทที่ 4 : เชื้อพระวงศ์
เขาเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดลิฟต์ค้างไว้ เพื่อรอให้ฉันเป็นฝ่ายเดินเข้าไป นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้จะออกไหนอีก แต่ตั้งใจลงมาพร้อมลิฟต์อีกครั้ง
"..." จะเล่นมุกอะไรอีกดีล่ะ ฉันไม่อยากเข้าไปในนั้นนิ
"..." เขาเองก็เงียบและมองฉันที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ
"..." ฉันได้แต่มองซ้ายมองขวา เพื่อหาตัวช่วยแต่มันไม่มีใครเลยหรือไง ไม่มีแม้แต่ผู้ร่วมชะตากรรมเลยสักคน ใครก็ได้ที่มาตอนนี้แล้วฉันจะได้ไม่ต้องอยู่ในลิฟต์กับเขาเพียงลำพัง
"ไม่เข้ามาเหรอ" เมื่อยืนรออยู่นาน จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"ไปก่อนก็ได้ค่ะ" เหตุการณ์เมื่อเช้าวนมาอีกครั้ง
"เข้ามาสิ"
"ไม่เป็นไรค่ะ เจ้าชายไปก่อนเลย"
"เข้ามาเถอะ" ฉันไม่อยากอยู่ใกล้พวกเขา พูดออกไปก็ไม่ได้ มีหวังตายทั้งตระกูลแน่ เอาไงดี
"เจ้าชายขึ้นไปก่อนเลย" ครั้งนี้ฉันพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา มือเล็กกำหูกระเป๋าไว้แน่น รีบขึ้นไปสักทีฉันหิวข้าว!
"เข้า มา" น้ำเสียงเริ่มบ่งบอกถึงความหงุดหงิด ครั้งนี้เขาเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
"..." น่ารำคาญจัง หลบหลีกมาได้ตลอดแล้ววันนี้เป็นอะไรเจอสองรอบแล้วด้วย
"เร็ว" เขาเอ่ยปากเร่งเมื่อเห็นว่าฉันยังยืนนิ่ง แค่ชั้นหกสิบ แป๊บเดียวไม่ถึงห้านาที ฉันรู้ดีว่าลิฟต์ที่นี่ไวแค่ไหน เข้าก็ได้! เออ ยอมแพ้หิวมากด้วย ไม่ไหวแล้ว
ตึก ตึก ตึก!
ร่างบางเดินเข้าไปหยุดยืนในลิฟต์ด้วยสีหน้าบึ้งตึง นิ้วเรียวจิ้มกดไปที่ชั้นหมายเลข 60 ก่อนจะกดปิดประตูลิฟต์ ก่อนจะเดินหลบไปยืนอยู่ตรงมุมอีกฝั่งพร้อมเล่นโทรศัพท์มือถือค่าเวลา เขาแอบเหลือบมองไปยังหญิงสาวที่สนใจแต่โทรศัพท์ในมือ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้สนใจเขา นิ้วเรียวก็เอื้อมไปกดย้ำอีกครั้งที่เลข 60 ตอนนี้ลิฟต์กำลังดิ่งขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของที่นี่
คนตัวสูงมองไปยังเลขชั้นที่เลื่อนขึ้นไปด้วยความเร็ว ที่เขากลับลงมาอีกครั้งเพราะอยากเช็กให้มั่นใจ เพราะเธอน่ะพยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอพวกเรามาตลอด ทั้งที่ตัวเองก็มีหน้าที่สำคัญต้องสืบต่อแท้ ๆ แล้วสิ่งที่เขาคิดเอาไว้ก็คือเรื่องจริง ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเราแทบจะไม่ค่อยได้พบเจอกันสักเท่าไหร่ เพราะเธอจะออกไปตอนเที่ยงและกลับมาในตอนดึกแบบนี้เสมอ แต่เขาก็แค่อยากรู้ให้แน่ใจก็แค่นั้น
ติ้ง!
เสียงสัญญาณบอกว่าถึงที่หมายพร้อมกับประตูลิฟต์ที่เปิดออก ร่างบางละสายตาจากโทรศัพท์ในมือและก้าวเท้าเดินออกจากลิฟต์ทันที โดยที่ไม่คิดจะหันไปกล่าวลาผู้ที่อยู่ด้วยอีกคน
"เดี๋ยวนะ!"
ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าออกพ้นประตู สายตาก็สะดุดกับภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งต่างหันมามองฉันอย่างพร้อมเพรียง และรูปแบบการตกแต่งโทนสีดำหรูหราตรงหน้า มันไม่ใช่ห้องฉันนิ!
ปึก! เพราะความรีบร้อน ฉันกลับหันหลังเพื่อที่จะเข้าไปมองเลขชั้นในลิฟต์ ก็ปะทะเข้ากับอกกว้างของคนที่เดินตามมา
"เจ็บ!" ฉันกุมจมูกตัวเองไว้ด้วยความเจ็บปวดและเงยหน้ามองผู้ชายตรงหน้า
"เธอมาทำอะไรที่ห้องฉันเหรอ" เขาถามกลับด้วยสีหน้างุนงง ฉันก็งง! ก็กดเลือกชั้นห้องตัวเองแล้วนะ
"เอ่อ คือ" ยังไงเนี่ยเคท! ฉันลืมกดเหรอฉันไม่ใช่คนขี้ลืมนะ จำได้ว่ากดแล้วด้วย แต่ทำไมขึ้นมาถึงนี่ได้ล่ะ
"พี่เคทนิ พี่เคท!" เสียงหวานตะโกนเรียกชื่อฉันจากด้านหลัง หญิงสาวในวัยยี่สิบปี วิ่งตรงเข้ามาทางฉัน เธอคือเจ้าหญิงลำดับที่สิบ
"วานิสอย่าวิ่ง" เสียงเข้มเอ่ยดุเด็กสาวทำให้เธอหยุดชะงักอยู่กับที่ทันที
"ดุจังเลยพี่เอเดน" เธอหันไปโวยวายพี่ชายของตัวเอง เขาเจ้าชายลำดับที่ห้า ฉันยืนมองทั้งคู่โต้เถียงกัน ท่ามกลางสายตาของคนอื่น ๆ
'กฎข้อที่ 7 ของราชวงศ์ พระนามจริงจะถูกปิดเป็นความลับ เมื่อใดก็ตามที่มีผู้ล่วงรู้ เขาหรือเธอผู้นั้นจะต้องตกเป็นคนของพระองค์โดยไม่มีทางปฏิเสธได้'
แล้วชื่อที่พวกเขากำลังเรียกกันอย่างไม่เกรงใจฉัน ก็คือ พระนามแฝง ฉันรู้การละเล่นของพวกเขาดี เหล่าราชวงศ์มักปั่นหัวผู้คนที่อยากเข้ามาพัวพันด้วยการบอกชื่อปลอมอยู่เสมอ เพราะชื่อจริงของพวกเขา มีไว้เพื่อมอบให้แก่ เขาหรือเธอผู้เป็นที่รักเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะมันคือ กฎซ้อนกฎอีกที ฉันท่องกฎของพวกเขามาทั้งชีวิตแล้ว ทุกอย่างมักมีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้กฎเหล่านั้นทุกข้อ
ฉันเบี่ยงตัวหลบและถอยหลังกลับเข้าไปในลิฟต์อย่างช้า ๆ ต้องใช้จังหวะนี้แหละที่จะหนีพวกเขาได้ แต่ไม่สามารถหลบความสนใจของผู้ชายที่อยู่ด้านหลังไปได้
"เธอยังไม่ตอบเลยนะว่าขึ้นมาห้องฉันทำไม" คำถามของเขาทำให้ทุกคนต่างหันมาสนใจอีกครั้ง
"ขอโทษด้วยค่ะ คงลืมกดเลือกชั้น" ฉันกล่าวขอโทษออกไปและก้มหัวเพื่อเป็นการขอโทษเขาอีกที
"อย่าดุพี่เคทเลยนะ" เจ้าหญิงวานิสพยายามช่วยพูดอีกแรง แต่สิ่งที่ฉันอยากให้เกิดขึ้นคือ ทุกคนอย่าสนใจฉันเลยได้โปรด
"พี่ไม่ได้ดุ พี่ก็แค่ถาม"
"ขอโทษเจ้าชายอีกครั้งค่ะ ขอตัวนะคะ" พูดจบก็รีบเดินเข้าไปใจลิฟต์ทันที แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ยอมให้ฉันได้จากไปง่าย ๆ
"พี่เคท เราแทบจะไม่ได้เจอกันเลยนะคะ มาปาร์ตี้กับเราไหม" คืนปาร์ตี้ลับของพวกเขาเหรอเนี่ย
"พอดีพี่ไม่ค่อยสบายเอาไว้ครั้งหน้านะคะเจ้าหญิง" เธอยิ้มกว้างด้วยความน่าเอ็นดูและพยักหน้าอย่างเข้าใจง่าย
ส่วนเขาเจ้าชายลำดับที่สอง เดินพ้นประตูลิฟต์ออกไป ฉันก็รีบกดปิดลิฟต์และลงไปยังห้องตัวเองทันที ก่อนประตูจะปิดสนิทลง สายตาของคนอื่นที่ยืนอยู่ต่างหันกลับมามองที่ฉัน ยกเว้นซะแต่คนที่ขึ้นลิฟต์มาพร้อมกันเขายังคงยืนหันหลังให้
ติ้ง! ประตูลิฟต์ปิดสนิทลงและเลขชั้นเลื่อนลงจากชั้นที่หนึ่งร้อยถอยหลังสู่ชั้นที่หกสิบ
อะไรกัน...สายตาของพวกเหล่าเชื้อพระวงศ์น่ะ ยิ่งโตพวกเขาก็ยิ่งไม่น่าเข้าใกล้ ฉันต้องสืบตำแหน่งปู่และดูแลพวกเขางั้นเหรอ บ้าน่า...ใครจะเอาตัวเองไปวุ่นวายกับพวกคนอันตรายแบบนั้นกัน
ติ้ง!
ประตูลิฟต์ปิดเลื่อนประกบกันจนสนิท สายตาของทุกคนตรงหน้าก็เปลี่ยนเป้าหมายมาทางผู้ชายที่ยืนอยู่
"ที่บอกว่าลืมของนี่คือ..." หนึ่งในกลุ่มพี่น้องพูดขึ้นทำให้ทุกคนต่างทำสีหน้าจับผิด
"นี่ไง" เขาชูโทรศัพท์ในมือขึ้น เพราะโกหกพวกเขาว่าลงไปเอาโทรศัพท์ในรถมา
"..." แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
"พี่ฮาเซลลงไปรับพี่เคทเหรอ"
น้องเล็กสุดที่อยู่ตรงนี้ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะความตรงไปตรงมาและคิดอะไรก็พูดทำให้ทุกคนต่างอยากจะขอบคุณเธอที่เป็นฝ่ายถามแทนในครั้งนี้
"ก็บอกว่าลืมโทรศัพท์" เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและเดินไปทางประตูเข้าห้องตัวเอง
"น่าสงสัย" น้องสาวต่างมารดาของเขายังไม่เลิกคาดคั้น
"ไม่ต้องมาหาเรื่องสงสัย แล้วทำไมเรียกชื่อจริงกันต่อหน้าคนอื่นแบบนั้น" ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายคาดคั้นพวกเขาซะเอง เอเดนและวานิสต่างหลบสายตามองไปทางอื่น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
"ไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย พี่เคทก็เป็นเพื่อนกับพี่ฮาเซลมาตั้งแต่เด็ก ก็เหมือนกับเป็นพี่สาวพวกเราด้วย"
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ตั้งแต่เด็กจนโตเธอก็ไม่เคยปริปากเรียกชื่อพวกเราสักคน ไม่ว่าจะชื่อจริงหรือชื่อแฝง เคทระวังตัวเองไม่ให้ถูกพันธะของกฎผูกมัดเธอ แม้ว่าเขาจะเคยลองแล้วก็ตาม
"ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นเพื่อนแล้ว" ด้วยสาเหตุบางอย่าง ทำให้เธอแยกตัวออกไปตั้งแต่สูญเสียพ่อแม่ แล้วหลังจากนั้นเคทก็ทำตัวแปลกแยกไปทันที
จากเมื่อก่อนในวัยเด็กพวกเราคือเพื่อนเล่นที่เจอกันทุกวัน แล้วอยู่ ๆ การสูญเสียก็ทำให้เธอเปลี่ยนไป กลายเป็นคนเก็บตัวและพยายามหลบหน้าพวกเรามาโดยตลอด
"แต่เคทก็ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ" เขามองไปยังน้องชายต่างมารดาของตัวเอง
"เจเรมี่สนใจผู้หญิงแล้วเหรอ" คำถามของเขาทำให้ทุกคนหันไปมองที่คนถูกถามอย่างพร้อมเพรียง
"ก็ไม่เคยเกี่ยงนะ ถ้าน่ารักแบบเคทก็โอเค" ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้หญิง แต่การเอ่ยปากชอบและสายตาที่มองมา กำลังบอกว่าเขาสนใจจริง ๆ
"แต่พี่เคทมีแฟนแล้วนะ พี่เคทเดทบ่อย" วานิสพูดขึ้น
"เดทหลอก ๆ" เอเดนพูดขึ้น
"เดทหนีการดูตัว" เจเรมี่ก็พูดอย่างรู้ทัน
"อ่อนต่อโลกอย่างเคทเนี่ยนะมีแฟน" และเขาพูดจบก็เดินผ่านทุกคนเข้าห้องไปทันที ทุกสายตาของบรรดาพี่น้องร่วมราชวงศ์ต่างมองเขาเป็นตาเดียว
"พี่ฮาเซลจะกลับมาสนิทกับพี่เคทอีกไหมนะ" วานิสหันไปถามพี่ ๆ ของเธอ ทุกต่างยิ้มให้กับเจ้าหญิงตัวน้อย ก่อนที่จะพูดขึ้นพร้อมกัน
"ไม่มีทาง!!"
พวกเขารู้ว่าพี่ของตัวเองเป็นยังไง รอยยิ้มอบอุ่น ใจดี สุภาพก็แค่เปลือกนอก ส่วนเคท เธอดูนิ่มนวลและอ่อนหวาน เคารพและกลัวพวกเขา แต่นั่นก็แค่เปลือกนอกเช่นกัน