พันธะร้าย บทที่ 2 : ดีไซเนอร์
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!
เสียงนาฬิกาปลุกแบบเคลื่อนที่วิ่งวนไปรอบห้อง เพื่อบ่งบอกเวลาสมควรตื่นในเช้าอันสดใสของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยังคงพยายามฝืนนอนต่อ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!
"โว๊ย!"
เธอดีดตัวลุกจากที่นอนแล้วยีหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!
นาฬิกาปลุกเคลื่อนที่ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างหนักแน่น เสียงร้องดังลั่นไปทั่วห้อง เพราะมันยังคงวิ่งวนอยู่รอบเตียงของเธอ
"หนวกหู!" เธอง้างหมอนในมือขึ้นเหนือหัว และปาใส่นาฬิกาที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้ข้างเตียง
ติ๊ด ติ๊ด!
ตุบ!
ทุกอย่างในห้องเข้าสู่ความสงบ นาฬิกาปลุกนอนแน่นิ่งไม่ขยับ ผมหยักศกฟูยิ่งกว่าเดิมเพราะเธอยีมันด้วยความหงุดหงิด
"ฉันตั้งปลุกตอนเที่ยงไม่ใช่เหรอ ทำไมแกปลุกแต่เช้าเลย"
เสียงเล็กพึมพำพร้อมกับนอนคว่ำหน้าราบไปกับเตียง มือเล็กเอื้อมไปหยิบนาฬิกาปลุกของตัวเองขึ้นมาพลิกมองเวลา
' 12.30 น. '
"อ่าว เที่ยงแล้วเหรอ" ความรู้สึกของเธอตอนนี้เหมือนพึ่งได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมงเองด้วยซ้ำ
"ฉันขอโทษที่รุนแรงกับแกนะเจ้าลิง" เธอจูบลงบนนาฬิกาปลุกรูปลิงในมือ แล้วโยนไปข้างหลังจนมันกลิ้งกระเด็นตกลงไปข้างเตียงตามเดิม
ร่างบางในชุดนอนกระโปรงตัวบาง หย่อนเท้าลงแตะบนพื้น หญิงสาวผู้มีใบหน้าน่ารักราวกับตุ๊กตา ดวงตากลมโต ริมฝีปากบางหยักได้รูปสีสด ผมสีน้ำตาลหยักศก ทำให้เธอเหมือนตุ๊กตาของผู้ที่ได้พบเห็นอยู่เสมอ
"สวัสดีจ้ะสาว ๆ" เธอทักทายเมดส่วนตัวสองคนที่กำลังจัดเตรียมอาหารอยู่
"สวัสดีค่ะคุณเคท" พวกเธอกล่าวทักทายพร้อมกันและหันไปจัดการสิ่งที่ต้องทำตรงหน้าต่อ
เธอเดินผ่านพวกเธอทุกคนตรงไปยังห้องอาบน้ำ เพื่อจัดการกับร่างกายของตัวเองหลังจากตื่นนอน สายตาจ้องมองไปยังวิวด้านนอกของที่พัก
"ขอให้เป็นเช้าที่ดีของฉันเหมือนในทุก ๆ วัน" เธออวยพรให้กับตัวเองในทุกวันที่ตื่นนอน
ดีไซเนอร์สาวเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องประดับชื่อดังของอิตาลี สิ่งที่เธอต้องการให้สื่อรับรู้มีเพียงแค่เท่านั้น แต่ความลับที่ไม่ต้องการให้ทุกคนรับรู้และยังพยายามปิดบังเรื่อยมา คือ
หลานสาวเพียงของเดียวของเลขาธิการประจำราชวงศ์ ตระกูลเคลาดิโอ ผู้มีหน้าที่ที่ถูกสืบทอดและต้องดูแลตลอดไป คือตำแหน่งที่คุณปู่ของเธอกำลังดำรงอยู่ในตอนนี้และคนต่อไปก็คือเธอ การต้องเข้าไปดูแลบรรดาเชื้อพระวงศ์และกลุ่มคนระดับพวกเขามันเกินสิ่งที่เธอจะทำได้ เพราะเธอต้องการอยู่ให้ห่างจากพวกเขามากที่สุด
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
"คุณเคทต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกไหมคะ" เมดสาวถามผู้เป็นเจ้านายและส่งยิ้มให้
"ไม่ค่ะ ขอบคุณนะ" ฉันส่งยิ้มให้เธอ แล้วยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม สายตาจ้องมองโทรศัพท์มือถือที่เลื่อนเช็กข่าวตามกิจวัตรประจำวัน
ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง!
เสียงข้อความดังเข้ามาไม่หยุด ฉันเปิดข้อความที่ส่งเข้ามาก็พบว่าเป็นข้อความจากกลุ่มเพื่อน
เฮเลน : เฮ้! ยัยเคทคืนชีพแล้ว
คิม : ว้าว คุณดีไซเนอร์คนสวย หายไปไหนมาทั้งคืนคะนึกว่าตาย
คารีน่า : อย่าว่าเพื่อนสิ ยังไม่ตายใช่ไหม
ฉันจ้องมองข้อความตรงหน้าและพยายามคิดว่า พวกนี้เป็นห่วงฉันแหละ อย่าคิดมากมีแต่คำดี ๆ ทั้งนั้น
เคท : คนสวยรายงานตัวค่ะ คุยอะไรขอสรุปโดยย่อ
เฮเลน : เปล่า แค่คิดว่าแกหายไปไหน หลังจากกลับจากเดทกับหมอนั่นแล้วก็หายไปเลย
เดทที่เฮเลนพูดถึงคือ เดทระหว่างฉันกับนักร้องชื่อดังที่กำลังกลายเป็นข่าวสนใจในหน้าสื่ออยู่ตอนนี้ ฉันพิมพ์ข้อความตอบกลับพวกเธอและอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
คิม : คุณปู่ยังไม่เลิกกลัวหลานสาวคนสวยจะไม่ได้แต่งงานงั้นเหรอ
เฮเลน : ก็เคทเป็นหลานเพียงคนเดียวนิ ตระกูลก็ต้องการสืบทอด
คารีน่า : แล้วเคททิ้งหมอนั่นไปแล้วเหรอ
เคท : ใช่ เดทกับฉันก็แค่ทานข้าวน่ะ พวกนั้นจะหวังอะไรลม ๆ แร้ง ๆ
พวกเราคุยกันถึงประเด็นของฉันซะเป็นหลัก ภาพลักษณ์ของฉันคือ สาวสวยน่ารัก ที่ดูอ่อนต่อโลกตามหารักแท้ บ้างก็สาวมั่นที่ถูกผู้ชายทิ้งหลังจากจบเดท หรืออะไรก็ตามที่สื่ออยากเขียน
แต่ความจริง ทุกอย่างที่ทำฉันตั้งใจให้ถูกมองว่าแบบนั้น การเดทที่เริ่มขึ้นในเวลาอันรวดเร็วและจบลงในเวลาอันรวดเร็วเช่นเดียวกัน ฉันทำทุกอย่างเพื่อหลบหลีกการถูกจับหมั้นของคุณปู่ การถูกคลุมถุงชนยังมีอยู่ในสังคมสมัยนี้ ฉันพยายามหลีกหนีทุกวิถีทาง อะไรที่คิดออกและทำได้ก็ทำ
เพราะความรักหรือความผูกพันฉันไม่ต้องการและกลัวมันมากที่สุด วันหนึ่งเราเคยชินความรู้สึกเหล่านั้น แล้วถ้ามันหายไปฉันก็คือคนที่ทรมานมากที่สุด เหมือนกับพ่อและแม่ของฉัน เมื่อพวกเขาจากไปคนทรมานและถูกทิ้งไว้ก็คือฉัน พวกเราคุยกันผ่านข้อความแช็ตจนเวลาล่วงเลยมาเป็นชั่วโมง จนฉันต้องบอกลาพวกเธอ เพราะจะต้องไปดูชอปแบรนด์ของตัวเอง
"เย็นนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ" ฉันกำลังยืนเลือกรองเท้า ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของเมดสาว
"ฉันอยากทานอาหารญี่ปุ่นน่ะ แต่น่าจะกลับมาช้าหน่อยทุกคนไม่ต้องรอนะ เตรียมเสร็จแล้วก็ไปพักได้เลย"
"พวกเราจะเตรียมไว้ให้คุณเคทนะคะ" แล้วพวกเธอก็เดินออกจากห้องไป ฉันหยิบรองเท้าคู่สวยออกมาสวมใส่และเดินออกจากห้องพักของตัวเองทันที
เพนท์เฮ้าส์หรูและมาตรการดูแลที่เข้มงวดสุด ๆ การ์ดและคนดูแลนับร้อยคอยตรวจตราและดูแลอย่างรัดกุม เพราะที่นี่ไม่ได้มีไว้ให้สามัญชนอาศัยอยู่ สถานที่พักผ่อนส่วนตัวที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อเชื้อพระวงศ์และบุคคลสำคัญของประเทศ การอยู่ในแต่ละลำดับชั้นถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจนตามฐานะ ฉันที่เข้ามาอยู่ในนามหลานของเลขาธิการและผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูล ซึ่งที่นี่มีทั้งหมดร้อยชั้น ถือว่าสูงสุดติดอันดับโลกเลยก็ว่าได้ ชั้นบนสุดเป็นของเจ้าชายลำดับที่สอง เพราะลำดับที่หนึ่ง อยู่ในพระราชวังส่วนพระองค์ ที่นี่จึงเป็นเขาที่อยู่ชั้นสูงสุด ในหนึ่งชั้นจะทำเป็นหนึ่งห้องพัก สำหรับหนึ่งคน สิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อมและผู้ดูแลส่วนตัว จะถูกจัดให้ตามความต้องการของแต่ละคน
ฉันที่เป็นหลานของคุณปู่ถูกจัดให้อยู่ในชั้นที่หกสิบ ก็ถือว่าวิวกำลังสวย ถึงจะพยายามขอร้องออกไปอยู่เองเพียงลำพังก็ถูกคัดค้านจากคุณปู่มาตลอด จนตอนนี้ก็จำใจอยู่เพื่อให้ท่านสบายใจไปก่อน ร่างบางยืนรอลิฟต์ที่กำลังลงมารับจากชั้นบนไม่นานนัก ประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออก ขาเรียวกำลังจะก้าวเดินเข้าไปก็หยุดชะงักลงทันที เพราะบุคคลที่อยู่ภายในลิฟต์ เขาเงยหน้าจากโทรศัพท์และจ้องมองมาทางฉัน จากใบหน้าเรียบเฉย ที่ค่อย ๆ เผยรอยยิ้มบนใบหน้าและกดให้ประตูลิฟต์ค้างเอาไว้
"เชิญเจ้าชายไปก่อนเลยค่ะ"
"เข้ามาสิ"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
"..." เขาเงียบและมองฉันที่ยืนนิ่งไม่ขยับ
"เชิญเจ้าชายไปก่อนเลยค่ะ" ใครจะอยากเข้าไปใกล้พวกเขากัน ฉันคนหนึ่งละที่พยายามอยู่ให้ห่างมากที่สุด
"..." เขาปล่อยมือจากปุ่มลิฟต์ สายตาจ้องมองที่ยังฉันที่ยังคงยืนนิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ หุบลง พร้อมกับประตูลิฟต์ที่เลื่อนปิดประกบกันจนปิดสนิท
"สงสัยจะไม่ใช่วันที่ดีแล้ว เจอแต่เช้า"
เจ้าชายลำดับที่สอง ผู้ที่อยู่เหนือเชื้อพระวงศ์ทุกคน ถึงภายนอกจะมีรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น แต่ฉันรู้ว่ารอยยิ้มนั่นมันของปลอม การอยู่ให้ห่างจากพวกเขาคือสิ่งที่ฉันทำมาตลอด แม้ว่าจะอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่เคยเข้าไปตีสนิทหรือวุ่นวายให้พวกเขาต้องรำคาญ
"ฟู่~" เสียงพ่นลมหายใจออกจากริมฝีปากบาง สังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย ความรู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ดีของฉันสิ ฉันยืนรอสักพักลิฟต์ก็ขึ้นมารับ ขาเรียวก้าวเท้าเดินเข้าไปยังลิฟต์แก้ว ฉากหลังเป็นวิวของเมืองนี้ที่สวยซะจนฉันไม่เคยเบื่อเลยที่ต้องเห็นมันในทุก ๆ วัน