บทที่ 5/1 ว่าที่เลขาคนใหม่
บทที่ 5/1 ว่าที่เลขาคนใหม่
ที่บริษัท
ร่างสูงก้าวขายาวเข้ามาบริษัทเช้ากว่าทุก ๆ วัน โดยมีแทนไทย ลูกน้องคนสนิทตามประกบมาติด ๆ ขณะที่กำลังจะเดินผ่านเข้าห้องทำงานของตัวเองไปนั้น สายตาก็พลันไปเห็นเจ้าหน้าที่ 2-3 คน กำลังจัดเตรียมโต๊ะทำงาน โดยมีคุณช่อทิพย์ เลขาส่วนตัวของพ่อ (ซึ่งช่วงหลังมานี้ รับผิดชอบเป็นเลขาคนกลาง คอยประสานงานช่วยเหลือทั้งภากรและภาคิน ผู้ซึ่งไม่มีเลขาส่วนตัว)
“กำลังทำอะไรกันอยู่ครับ” ภากรชะงักฝีเท้า หันมาถามอย่างจับผิดแต่น้ำเสียงอ่อนโยน
“ช่อ..กำลังให้คนช่วยจัดโต๊ะทำงานให้คุณนาตาลี ว่าที่เลขาคนใหม่ของคุณภาคอยู่ค่ะ” ช่อทิพย์รีบอธิบายให้นายน้อยของเธอรับทราบทันที
“อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นหุ้นส่วนบริษัท การให้ลูกสาวของเขามานั่งหน้าห้องตรงทางผ่านที่มีคนเดินผ่านไปมาแบบนี้ ผมว่ามันคงไม่เหมาะนักนะครับ” ภากรเอ่ยเสียงเรียบ
“งั้นเดี๋ยวช่อ..ให้คนไปเตรียมห้องอื่นให้เธอดีกว่า แต่ว่า..อาจจะต้องกั้นห้องใหม่ค่ะ เพราะเลขาควรอยู่ใกล้ห้องคุณภาค ช่อจะให้ช่างเข้ามาจัดการวันนี้เลยค่ะ”
“กั้นห้องใหม่งั้นเหรอครับ…มันจะไม่ดูตลกไปหน่อยเหรอครับ ถ้าต้องมีอะไรงอกโผล่มาแถวนี้” ภากรพูดพลางชี้นิ้วไปทางห้องทำงานของเขา
“…..เอ่อ”
“อีกอย่างก็แค่เด็กฝึกงาน ฝึกเสร็จเดี๋ยวเขาก็ไปแล้ว จะทำอะไรให้เปลืองงบทำไม ช่วงนี้บริษัทเราต้องรัดเข็มขัด ในเมื่อต้องมาเป็นเลขาผม ก็ให้ไปนั่งข้างในกับผมนั่นแหละ” พูดจบภากรก็โน้มศีรษะเล็กน้อยให้คนอาวุโสกว่า และเตรียมตัวผละไปทันที แต่แล้วก็มีเสียงเพื่อนรักเรียกดักไว้
“ว้าว ดีจริง ๆ ที่แกจะมีเลขาแล้ว ฉันจะได้มีเวลาว่างไปอู้ทำอย่างอื่นบ้าง หึหึ ที่จริงแล้วท่านรองประธานควรมีห้องทำงานที่เป็นส่วนตัวนะครับ ไหน ๆ คุณนาตาลีต้องมาช่วยงานท่านและช่วยงานกระผม ให้เธอมานั่งในห้องกระผมก็ได้นะครับ เหมือนคราวน้องดาสมัยที่เป็นเด็กฝึกงาน ฮ่า ๆ ๆ ” กฤตเอ่ยล้อเลียนเพื่อนรัก เขารู้ดีว่าชายหนุ่มรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่
“………เด็กนั่นไม่ได้มาเป็นเลขาแก แต่มาเป็นเลขาฉัน แต่ก็ดีถ้าแกจะเอาไปใช้งาน ฉันจะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้าหล่อนให้เสียอารมณ์”
“หึ หึ รับประกันได้ครับ ท่านจะทำงานราบรื่นได้อย่างสบายใจ ฝ่ายนั้นแจ้งมาแล้ว นาตาลีขอลางาน 1 อาทิตย์ได้ข่าวว่าป่วยไข้ขึ้น”
“……วันแรกก็ลาป่วยซะแล้ว คบเด็กสร้างบ้านมีแต่เรื่องจริง ๆ คุณช่อเตรียมเรียกผู้บริหารเข้าประชุมด้วยครับ ผมขอเริ่มเร็วกว่ากำหนด 30 นาที”
ภากรมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด กับเรื่องที่จะเข้าประชุมวันนี้ เมื่อเขารู้มาว่า ทศพล กว้านซื้อหุ้นของบริษัทจากผู้ถือหุ้นรายย่อย จนจำนวนหุ้นในมือของทศพลแทบจะใกล้เคียงกับหุ้นของพ่อและของเขากับภาคินรวมกัน….
ห้องประชุม
ทุกคนพร้อมเพรียงกันในห้องประชุมในเวลาต่อมาโดยไร้เงาของทศพล วันนี้ภากรเป็นคนทำหน้าที่นำการประชุมแทนพาสกรเนื่องจากปัญหาสุขภาพ
“วันนี้ต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ผมต้องเรียกประชุมทุกคนอีกครั้ง ผมเพิ่งรับรายงานมาว่าบางคนในที่นี้ได้ขายหุ้นให้คุณ ทศพล ซึ่งนั่นแปลว่าลำดับผู้ถือหุ้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ผมคงไม่ถามว่าเพราะอะไร…”
“ถ้าแบบนี้ คุณทศพล ก็สามารถขึ้นมาบริหารในตำแหน่งของคุณภาคได้แล้วสิครับ” ผู้บริหารท่านนึงเอ่ยขึ้น จนทำให้เสียงอื้ออึงดังขึ้นอีกครั้ง
“อำนาจการตัดสินใจในส่วนตรงนั้นยังเป็นคุณพ่อเป็นคนตัดสินตามความเหมาะสม ท่านยังเป็นผู้ที่มีหุ้นในมือสูงสุด” เขาพยามสุภาพอย่างที่สุด
“แต่ถ้าคุณทศพล สามารถรวบรวมหุ้นได้มากกว่าท่านประธานได้เมื่อไหร่ คุณทศก็คงมีสิทธิ์ขึ้นนั่งตำแหน่งประธานใช่มั้ยครับ พูดกันตามตรงตอนนี้พวกเราเริ่มไม่มั่นใจในการบริหารของท่านประธานแล้ว ท่านกำลังพาพวกเราไปเสี่ยงกับพวกแกงค์อันธพาล หึหึ บางทีท่านควรจะพักอยู่ดูแลลูกหลานที่บ้านได้แล้วนะครับ” ผู้บริหารคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ตอนที่บริษัทเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง พวกหัวหงอก หัวดำในที่ตรงนี้ได้ทำอะไรเพื่อบริษัทบ้างล่ะครับ ในขณะที่ยังรับเงินเดือน กินเงินปันผลกันปกติ พนักงานนับหมื่นคนในองค์กรของเรา พวกคุณได้พยายามทำอะไรบ้างให้พวกเขาได้ไปต่อ เงินสามพันล้านที่คนแก่คนนึงที่คุณเพิ่งบอกว่าไม่มั่นใจในการให้ท่านบริหารต่อนั้น ไม่ใช่เพราะคนแก่คนนั้นเหรอครับ ที่ทำให้พวกคุณยังมีหน้ามาฉอดในที่นี้” ภากรเอ่ยอย่างเหลืออด ทำเอาทุกคนหน้าชาเพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้าปากร้าย ไม่รักษามารยาทออกมา