บทที่ 4/2 เวรกรรมสินะ
บทที่ 4/2 เวรกรรมสินะ
บ้านวงศ์เสวต
รถหรูขับแล่นมาจอดในรั้วบ้านด้วยความเร็ว เสียงเบรคของรถดังเอี๊ยดลั่น จนคนที่พบเห็นเกิดความรู้สึกประหลาดใจ ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ หากผู้ที่อยู่หลังพวงมาลัย คือ บุตรชายคนโตของเจ้าของบ้าน
ร่างสูงก้าวเท้าลงจากรถ ตามด้วยเสียงประตูที่ปิดกระแทกอย่างแรง แววตาวาวโรจน์ใต้กรอบแว่นนั่น ทำเอาคนสนิทไม่กล้าแม้แต่จะถามหรือสบตา เขาก้าวขาเข้าบ้านตรงดิ่งไปยังห้องนั่งเล่นทันที ที่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สมาชิกส่วนใหญ่ภายในบ้านอยู่ที่นั่น
“ตาภาค เมื่อคืนไม่ได้กลับบ้านหรอกเหรอ หรือไปค้างที่คอนโดมา” พาสกรถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นหน้าลูกชาย ที่หลบหน้าเขาตั้งแต่เสร็จการประชุมเมื่อวาน
“ครับ…และเมื่อคืนผมไปเจอเจ้าสัวฌานมา คุณพ่อรู้มั้ยพวกนั้นเสนออะไรให้ผม พวกนั้นต้องการส่วนแบ่งเพิ่มจากท่าเรือแลกกับหนี้และจะคืนหุ้นให้เรา”
“พ่อรู้…ว่าเจ้าสัวเขาอยากได้ท่าเรือของเรา ส่วนนึงก็คงเพราะจะได้สะดวกในการส่งของผิดกฏหมาย หรือเลี่ยงการตรวจสอบสินค้า” พาสกรถอนหายใจอย่างหนักใจออกมา
“มิหนำซ้ำเจ้าสัวยังมาบีบให้ผมยอมรับข้อเสนอแต่งงานกับนาตาลี ผมขอบอกพ่อไว้ตรงนี้เลยนะครับ ต่อให้พวกเราจะต้องเจ๊งผมก็จะไม่มีทางยอมรับข้อตกลงนี้เด็ดขาด”
ภากรหัวเสียลั่นเสียงกร้าวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ที่ผ่านมาเขาเป็นลูกชายที่เชื่อฟังมาตลอด ไม่เคยทำให้ใครต้องหนักใจ แต่เรื่องราวครั้งนี้เขากลายเป็นผู้ชายเลวไปแล้ว
“ถ้าแกไม่อยากแต่งงานกับลูกบ้านนั้น ใครจะไปบังคับแกได้ แกไม่ต้องกังวลไปพ่อไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด”
“และคุณพ่อรู้มั้ยครับ ว่าเมื่อคืนพวกนั้นตั้งใจวางยาผมเพื่อแบล็คเมล์”
“ห๊า…นี่มันเล่นถึงขั้นนี้เลยเหรอ” ภาคินเอ่ยถามขึ้นอย่างเหลืออด
“แล้วแกเป็นไงบ้าง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” พาสกรถามขึ้นอย่างห่วงใย
“เอ่อ…เปล่าครับ ผมไหวตัวทัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นครับ”
ภากรเมื่อได้สติ ก็เริ่มคิดได้ว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว และสิ่งที่โกหกออกไป มันไม่ใช่ตัวเขาเลย เขาไม่เคยต้องมานั่งทำเรื่องน่าอดสู ไร้ศักดิ์ศรีหรือไม่เป็นลูกผู้ชายออกไป แต่ที่เขาเป็นอยู่นั่นก็เป็นเพราะคนพวกนั้น
“งั้นแล้วเรื่องที่เหมยลี่จะเข้ามาฝึกงานกับนายล่ะภาค เอาไง…แต่พ่อก็ส่วนพ่อ ลูกก็ส่วนลูก ฉันรู้จักเด็กผู้หญิงคนนี้ดี เหมยลี่ไม่ใช่เด็กเลวร้ายอะไร ตรงกันข้ามน่าสงสารด้วยซ้ำ”
ภาคินพูดขึ้น เขารู้จักหญิงสาวดีพอสมควร เพราะเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนรัก และพวกเขาเคยสนิทสนมกันตั้งแต่สมัยที่ภาคินยังอยู่ที่ลอนดอน
“พ่อลูกกันถึงจะต่างอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่ต่างซะทีเดียว หึ ในเมื่ออยากมาทำงานมากนักก็มา!! อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีแผนชั่วอะไรอีก”
“พ่อขอโทษนะภาค ขอโทษนะคิน เพราะพ่อทำให้พวกแกเดือดร้อนแบบนี้ พ่อเสียบริษัทไปไม่ได้ ธุรกิจที่ปู่กับย่าแกสร้างมาจะมาพังในมือพ่อไม่ได้” พาสกรหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ฝาแฝดเห็นสีหน้าผู้เป็นพ่อก็รู้สึกเป็นกังวล เพราะช่วงหลังมานี้เพราะความเครียดส่งผลต่อสุขภาพของ พาสกร เป็นอย่างมาก จนทำให้เขาต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลหลาย ๆ ต่อหลายครั้งในรอบครึ่งปีมานี้
“ผมจะไม่ให้เราต้องเสียอะไรไปสักอย่าง…และเราจะได้ทุกอย่างคืนมาหรือไม่ก็อาจจะได้มากกว่าที่จะต้องเสีย ในเมื่อพวกนั้นเล่นไม่ซื่อ เราก็ไม่จำเป็นต้องเล่นตามเกมส์อีกต่อไป” ภากรให้คำมั่นกับผู้เป็นพ่อเสียงกร้าว แววตาอยากเอาชนะทำเอาทั้งพาสกรและภาคินหวั่นใจ
“เรื่องนี้เราให้คุณนายลัดดาช่วยพูดดีมั้ย อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน น่าจะคุยกันได้” ภาคินเสนอทางเลือก
“อย่าเลย พี่น้องก็พี่น้องคนละพ่อ เรื่องธุรกิจพวกเขาแทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน อีกทั้งอย่าเอาปัญหาหนักใจไปรบกวนครอบครัวยัยเมเลย อ่อ..วันจันทร์หน้าประชุมภายใน นายต้องเข้าด้วยนะคิน ผมขอตัวไปพักก่อนนะครับพ่อ”
ภากรเดินเลี่ยงออกมา และตรงดิ่งไปที่ห้องนอนทันที ความเหนื่อยล้าจากหลาย ๆ สิ่ง ทำเอาตลอดทั้งบ่ายเขาไม่ออกจากห้องมาอีกเลย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือพิมพ์ข้อความบางอย่างกดส่งออกไป
ถึง คุณนายไข่มุก
ผมอยากได้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าสัวฌาน และนาตาลีบุตรสาว…….
7 ชั่วโมงต่อมา
ข้อความใหม่ จากคุณนายไข่มุก
ไม่รับงาน ลาพักร้อนไม่มีกำหนด!!
“มีลาพักร้อนด้วยเหรอวะ เห้อ…”
ภากรพึมพำกับตัวเองหลังอ่านข้อความสั้น ๆ ที่ตอบกลับมา ในมือข้างนึงก็กำ เขี่ย สร้อยคอที่เขาเก็บได้จากห้องที่โรงแรมเช้านี้ เขารู้ได้ทันทีว่าสร้อยนี่เป็นของใคร เพราะมันเคยอยู่บนคองามระหง ขณะที่เจ้าตัวกำลังโยกร่อนส่ายไปมา ตอนที่ขึ้นคร่อมร่างเขาเมื่อคืน
บ่ายแก่วันอาทิตย์
เสื้อผ้าชุดใหม่ รวมทั้งเครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า คอลเลคชั่นใหม่ ๆ ต่างทยอยเข้ามาในห้องนอนของนาตาลี หญิงสาวนั่งชันเข่ามองข้าวของพวกนั้นด้วยแววตาหยัน ๆ เธอรู้สึกสมเพชตัวเองอย่างที่สุด ชีวิตเธอทุกอย่างล้วนเป็นพ่อเป็นผู้กำหนด เธอไม่ต่างจากตุ๊กตาที่ถูกพ่อจับแต่งตัว เพื่อเอาไว้อวดและหลอกล่อเหล่าแมลงเม่าให้บินเข้ามาติดกับ
ช่วงชีวิตที่ได้ออกไปไกลบ้าน นั่นคือช่วงที่เธอมีอิสระ และมีความสุขที่สุด เพราะมันคือชีวิตที่เธอเลือกได้นั่นเอง หลายสิ่งที่เธอทำเพราะการถูกบังคับ บางสิ่งก็อยากทำเพื่อให้พ่อหันมารักเธอบ้างก็เท่านั้นเอง….
อย่างเหตุการณ์ล่าสุด ที่พ่อส่งเธอให้เข้าไปโจรกรรมข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของภากร….หากเธอพลาดเธอก็คิดไม่ออกเช่นกันว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร
“คุณหนูอยากลองชุดไหนมั้ยคะ เดี๋ยวอรจัดการให้ค่ะ” หญิงวัยกลางคนที่อยู่ดูแลเธอมาเกือบทั้งชีวิตเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ค่ะ…น้าอรช่วยตามหมอมาให้ลี่หน่อยได้มั้ยคะ ลี่อยากลาป่วยทั้งอาทิตย์ค่ะ”
“คุณหนู!….ค่ะ งั้นพักนะคะเดี๋ยวอรจัดการให้ค่ะ”
อรออกไปแล้ว หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบห้องนอนสี่เหลี่ยม ทุกอย่างในห้องถูกตกแต่งไว้อย่างหรูหรา เธอรู้สึกไม่ต่างกับนกน้อยที่ถูกขังไว้ในกรงทอง น้ำตาเม็ดน้อยไหลพรั่งพรูจากดวงตากลมโตสวย ที่ตอนนี้มันบวมเป่งจากการผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ความเหนื่อยล้าและพิษไข้ที่แล่นงานตั้งแต่เมื่อวานนี้ ทำให้เธอใช้มันเป็นข้ออ้างในการไม่ต้องออกไปทำงานในวันพรุ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอหน้าเขาต่ออีกวันหรืออีกอาทิตย์….