บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 /2 ภากร

วันประชุมบอร์ด

ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นหลายท่าน ทยอยเดินทางมายังห้องประชุม รวมทั้ง 4 หนุ่ม วงศ์เสวต ประกอบไปด้วย นายพาสกร ประธานบริษัท นายภากร รองประธานบริษัท นายภาคิน และ นายทศพล กรรมการบริหาร วันนี้เป็นวันประชุมผลประกอบการของไตรมาส 3 ทุกคนมีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด กับผลประกอบการของ 2 ไตรมาสที่ผ่านมา และมันยังส่งผลมาถึงไตรมาสล่าสุด ขณะที่ทุกคนอยู่กันพร้อมเพรียงในห้องประชุม คุณพาสก็กล่าวบางอย่างขึ้นมา

“วันนี้เราจะเลื่อนการประชุมออกไปอีก 45 นาที แต่ผมต้องการจะพูดคุยบางสิ่งกับพวกคุณทุกคนที่นี่ก่อน”

ในห้องประชุมทุกอย่างเงียบลง ทุกสายตาจดจ้องมายัง พาสกร เพื่อรอฟังคำต่อไป

“ช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจในเครือของเรา ประสบปัญหาสภาพคล่องทางด้านการเงิน จากปัญหาเรื้อรังของการก่อสร้างท่าเรือที่ภูเก็ต ปัญหากับพวกนายทุนท้องถิ่น การประท้วงต่อเนื่อง และปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัทจนทำให้หุ้นของเราร่วงระนาว ยิ่งมาเกิดโรคระบาดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ยิ่งทำให้เราประสบปัญหาหนักขึ้น หลังจากที่เราประคับประคองกันมาตลอด 2 ไตรมาส ผลประกอบการก็ยิ่งติดลบ แต่พวกเราจะล้มลงไม่ได้ ธนาคารที่ช่วยเหลือการเงินของบริษัท ก็ขาดสภาพคล่องไม่ต่างกัน จากภาวะเงินที่เฟ้อขึ้น ผมจำเป็นต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ เพื่อให้บริษัทของเราได้ไปต่อ พนักงานนับหมื่นคนในความดูแลของเรา ผมตัดใจปลดพวกเขาออกไม่ได้…. เรื่องนี้ ผมตัดสินใจเพียงคนเดียวโดยที่ลูก ๆ ของผมไม่รู้”

พาสกร เอ่ยความจริงบางอย่างออกไป ปัญหาที่เขาแบกรับมาเพียงลำพังตลอดเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา สายตาเหนื่อยล้าและรู้สึกผิด มองออกไปที่ลูก ๆ และหลานชาย

“ท่านประธาน ท่านกำลังจะบอกอะไรกับพวกเรา และตอนนี้มีปัญหาอะไรที่เราต้องรับรู้อีกมั้ยครับ ? ” คณะกรรมการบริหารท่านนึง เอ่ยถามขึ้น

“อย่างที่เราเห็น ว่าไตรมาส 3 ผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งไม่เกินไตรมาสหน้า เราน่าจะกลับมาเป็นปกติ และผลกำไรน่าจะโตตามมา สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ เงิน 3 พันล้านที่ผมได้ไปกู้มานั้น ผมใช้หุ้นของผม 15 % เป็นตัวค้ำประกัน โดยเงื่อนไข ผมต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ผลกำไรของท่าเรือที่ภูเก็ต และท่าเรือที่กรุงเทพให้ทางฝ่ายนั้น 20% และให้เขามีสิทธิ์เข้ามามีส่วนร่วมในบอร์ดบริษัทของเรา จนกว่าเราจะจ่ายหนี้หมด แต่หลังจากเราจ่ายหนี้ไปแล้ว เงื่อนไขของท่าเรือจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง”

“คุณพ่อ!! ใครกันครับที่…เอ่อ..ที่ท่านยกหุ้นให้? ” ภากรถามออกมา เขาพยายามข่มอารมณ์อย่างที่สุด

“เจ้าสัวฌาน ฌาน วรกุลไพศาล”

“ห๊า…” เสียงอุทานของบุตรชายคนโตดังขึ้น

พาสกรเหล่มองไปทางลูกชายเล็กน้อยก่อนจะกล่าวประโยคต่อไป ด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางความไม่พอใจของหลาย ๆ คนที่เริ่มส่งเสียงดังหนักขึ้น อื้ออึงไปทั่วทั้งห้อง หลังได้ทราบความจริง

“ผมรู้ว่านี่มันไม่ถูกต้อง แต่ ณ ช่วงเวลานั้น เราไม่มีทางหาเงิน 3,000 ล้านมาหมุนได้อย่างแน่นอน และสุดท้ายพวกเราต้องพัง วันนี้ผมจะแนะนำผู้ถือหุ้นรายใหม่ให้ทุกคนได้รู้จัก และเขาจะเข้ามาร่วมประชุมด้วยในวันนี้ การจัดการภายในทางนั้นยังให้สิทธิ์ขาดกับพวกเรา”

ไม่นานนัก พนักงานคนนึงก็เดินเข้ามาแจ้งการมาถึงของแขกคนสำคัญ ที่เพิ่งเป็นที่พูดถึงเมื่อสักครู่

ประตูบานใหญ่ถูกเปิดกว้างออก พร้อมชายวัยกลางคน ในชุดสูทสุดหรู ข้างกายเขามีเด็กสาวหน้าตาดีลูกครึ่ง หน้าตาจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตใสแบ๊ว สีน้ำตาล รับกับเครื่องหน้าราวกับตุ๊กตา ผมลอนสีน้ำตาลถูกรวบตึงขึ้นสูง หญิงสาวมาในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กับกางเกงเอวสูงสีเข้ม บ่งบอกรสนิยมการแต่งกายเป็นอย่างดี

“สวัสดีครับ คุณพาสและทุก ๆ คน ผม ฌานครับและนี่ลูกสาวผม…นาตาลี” เจ้าสัวกล่าวทักทาย พร้อมทั้งแนะนำตัวลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนออกไป

“สวัสดีค่ะ” นาตาลี ยิ้มหวานกล่าวทักทายกับทุกคน ก่อนที่จะหยุดจ้องมองภากรอยู่ครู่นึง แล้วเบี่ยงสายตาไปทางภาคินพร้อมทั้งฉีกยิ้มหวานให้เขาอย่างคุ้นเคย

หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ทั้งห้องก็เหลือเพียงครอบครัวของพาสกร กับ เจ้าสัวและลูกสาว

“คุณพาส ไม่ต้องกังวลนะครับเรื่องเงินหรือส่วนแบ่งผมไม่รีบครับแต่ผมมีเรื่องนึงที่อยากจะขอร้องให้คุณพาสกับคุณภากรพิจารณาครับ” เจ้าสัวเอ่ยขึ้นอย่างมีแผนการ

“เจ้าสัวเอ่ยมาได้เลยครับ ตอนนี้เราก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น ตั้งแต่ยัยเมแต่งกับชานนท์เราก็เหมือนครอบครัวเดียวกันแล้วครับ”

“ตานนท์เป็นแค่หลาน ต้องบอกว่าคุณดองกับพี่สาวผมถึงจะถูก ถ้าคุณจะดองกับผมจริง ๆ คงต้องดองกันใหม่อีกรอบ”

พูดจบเจ้าสัวก็เหล่ไปทางภากร ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่กำลังนั่งหน้าเซ็งอยู่ที่มุมนึงของห้อง

“เอ่อ…เจ้าสัวมีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ” พาสกรถามออกไปด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน

“ผมอยากให้ลูกสาวผมเข้ามาทำงานที่นี่ เรียนรู้งานจากคุณภากร นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงแห่งยุค พูดตรง ๆ ผมให้เธอทำงานที่บริษัทผมไม่ได้จริง ๆ เพราะไม่มีใครคุมเธอได้สักคน ฮ่า ๆ ๆ ”

“ฮ่า ๆ นึกว่าเรื่องอะไร ไม่มีปัญหาครับ ผมเข้าใจดีลูกสาวผมก็ไม่มีใครบังคับเธอได้สักคนเช่นกัน”

“แต่คุณพ่อครับ..” ภากรแย้งออกไป แต่ทว่าเจ้าสัวฌานก็รีบสวนกลับทันควัน

“ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณภาคไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้เหมยลี่ และสามารถใช้งานเธอได้ตามแต่ต้องการเลย และผมรับรองว่าการมีเหมยลี่ข้างกายคุณ ยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่ซะอีก คุณภาคอยากได้กำไรเท่าไหร่ไตรมาสนี้ บางทีลูกสาวผมอาจจะเสกให้คุณได้ ฮ่า ๆ ถึงเวลานั้นเผลอ ๆ ทางคุณจะไม่อยากเสียเธอไปด้วยซ้ำ” เจ้าสัวเอ่ยชมยกยอลูกสาว จนทำให้ภากรรู้สึกหมั่นไส้ในความจอมอวดของเขา

“งั้นให้หนูนาตาลี มาเป็นเลขาให้ตาภาคละกัน เรายังไม่มีเลขานี่” พาสกรเอ่ยตอบรับ

“คุณพ่อ…ผมมีไอ้กฤตแล้วนะครับ”

“กฤต ต้องทำหลายอย่าง ไหนจะดูแลเรื่องกฏหมายของบริษัทอีก แกควรมีเลขามาช่วยแบ่งเบางานเจ้ากฤตมัน”

“แต่..”

“ถือว่าช่วยผมเถอะครับ เหมยลี่ควรเรียนรู้งานจากคนที่เก่งที่สุดในเวลานี้”

ภากรได้แต่เงียบ ยอมรับสภาพเมื่อผู้เป็นพ่อเห็นชอบกับความคิดของเจ้าสัวฌาน ที่ใคร ๆ ดูก็รู้ว่าพยายามจับคู่เขากับลูกสาวตัวเอง ข้างนาตาลี ตอนนี้กำลังนั่งหน้าคว่ำ จิ้มโทรศัพท์อยู่อีกมุมนึงของห้อง โดยไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

“วันจันทร์หน้า ผมจะให้ลูกสาวผมเริ่มงานเลยก็แล้วกัน อ่อ ทางคุณไม่ต้องวุ่นวายจัดห้องทำงานให้นะครับ ให้แกนั่งในห้องของคุณภาคก็ได้ครับ”

พูดจบเจ้าสัวก็ยิ้มมุมปาก อย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ที่ตอนนี้เขามีฐานะเป็นเจ้าหนี้การร้องขออะไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพาสกร จะเออออรับฟังและทำให้ทุกอย่าง

“เหมยลี่!” เจ้าสัวเรียกเหมยลี่

“กลับกันเลยใช่มั้ยคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างออกมา ตาเป็นประกาย

“อื้ม… เราจะกลับกันแล้ว เราต้องไปเตรียมตัวอีกเยอะ วันจันทร์หน้าจะต้องเริ่มงานที่นี่แล้ว”

“ป๊า.. ลี่ไม่เอา…ไม่ทำ… ไม่อยู่…ไหนป๊ารับปากให้ลี่ไปทิเบตได้ไงล่ะ”

หญิงสาวหน้างองุ้ม ปากเล็กบ่นไม่หยุด แม้ว่าจะพยายามพูดเสียงเล็กเสียงน้อยเบา ๆ ออกมา แต่ก็ทำให้ทุกคนตรงนั้นได้ยินกันหมด

“นาตาลี!!” เจ้าสัวจ้องตาเธอเขม็ง ก่อนเรียกชื่อหญิงสาวออกมา

การเรียกชื่อจริงของนาตาลี สำหรับเจ้าสัวนั่นหมายความว่า นี่คือคำสั่งที่เธอต้องเชื่อฟัง ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เด็ดขาด

ไม่เพียงแค่นาตาลีที่ฉายแววไม่พอใจออกมา แต่ภากรเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขาข่มอารมณ์ที่คุกรุ่นตั้งแต่ในห้องประชุม ความโกรธมากมายที่มีต่อผู้เป็นพ่อ แต่เขาไม่สามารถแสดงออกมาได้เลย นอกจากน้อมรับในสิ่งที่พ่อตัดสินใจ

ความเบื่อหน่าย และความเครียดมากมายสุมในอก ทำให้เขาไม่มีกะจิตกะใจทำงานเลยตลอดทั้งบ่าย จนกระทั่ง

ครืด ครืด ข้อความใหม่ คุณนายไข่มุก

(ห้ามยอมรับ ข้อเสนอของเจ้าสัวฌาน เด็ดขาด!!)

“รู้ข่าวไวจริง ๆ นะ เห้อ ฉันจะปฏิเสธยังไงล่ะ ถ้าง่ายขนาดนั้น ทำไมไม่บอกวิธีมาด้วย”

ภากรได้แต่พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะลุกหายเข้าไปในห้องลับ เพื่อเตรียมตัวไปดินเนอร์กับหญิงสาวที่เขาได้นัดหมายไว้ เมื่อ 2-3 วันก่อน

ครืด ครืด ข้อความใหม่ คุณส้ม

(ส้มจะไปรอที่ร้านคืนนี้นะคะ เดี๋ยวส้มส่งโลเคชั่นไปให้ค่ะ คุณภาค ห้ามเบี้ยวนะคะ)

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมา อย่างน้อยวันนี้ก็ยังมีเรื่องดี ๆ รออยู่ เขารู้สึกผ่อนคลายลงมากเมื่อนึกถึงรอยยิ้มบนหน้าหวานนั่นกับสัมผัสจูบที่เธอทิ้งไว้เมื่อครั้งก่อน….

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel