บทที่ 9
ภายในบรรยากาศสงบเยือกเย็น มีภาพเขียนร่วมสมัยประดับอยู่บนฝาผนัง และเป็นบรรยากาศแบบที่ฮิวจ์ เทาน์เซ่นด์ ชอบคือสูงด้วยรสนิยมแต่ไม่ฟุ้งเฟ้อจนเกินไปนัก กลิ่นอายของอาหารหอมหวนอบอวลไปทั้งห้อง
เจ้าของร้านรีบเดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“กู๊ด อีฟนิ่งครับ มิสดักลาส มิสเตอร์เทาน์เซ่นต์มารอคุณอยู่แล้วละครับ เชิญทางนี้เลย”
จากโต๊ะตรงมุมห้อง ฮิวจ์ เทาน์เซ่นต์ จับตามองตามร่างที่เดินตรงเข้ามาหา ความสนใจของเขาราวจะมุ่งอยู่กับท่าทางเดินเหินของเธอ ซึ่งมิได้แสดงออกถึงความเซ็กซี่หรือเฟลิร์ต แต่อย่างใด แต่กระนั้นมันก็ยังเป็นท่าทางเดินที่ผู้ชายทุกคนอดจะมองตามไม่ได้ ด้วยเป็นท่าเดินที่งามสง่า สะโพกไหวน้อย ๆ ตามช่วงจังหวะของการก้าวย่าง ศีรษะตั้งตรง ดวงตามองตรงไปข้างหน้า
เคลลี่ ดักลาส ได้เปลี่ยนไปมากนับแต่วันที่เขาพบเธอครั้งแรก ถ้าจะพูดกันตามความจริง แล้วเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอ ได้รับฟังถึงผลงานของเธอก่อนหน้าที่จะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอเสียด้วยซ้ำ เขาได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนทุ้มนุ่มนวลของเธอตอนที่เดินผ่านห้องตัดต่อเทป มันปลุกเร้าทั้งความสนใจและความใคร่รู้ให้เกิดขึ้น จึงทําให้เขาเดินเข้าไปในห้องนั้น
ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นทันทีที่เขาเห็นภาพของหญิงสาวคนที่ปรากฏอยู่ในเทปนั้นเป็นไปในทางลบ เรือนผมสีเข้มยาวเลยไหล่ดูรุ่ยร่ายอย่างไรพิกล นอกจากนั้นเธอก็ยังสวมแว่นตาขอบกระ ใบหน้าที่แม้จะบ่งบอกแววแห่งความเข้มแข็ง แต่กระนั้นก็ราบเรียบไม่มีจุดสนใจเลย แถมยังสวมเสื้อแจ๊คเก็ตแบบผู้ชายไว้ด้วย
แต่น้ำเสียงนั้น คือสิ่งที่ดึงดูดใจให้เขาต้องก้าวเข้าไปในห้อง เงี่ยหูฟังเสียงที่เธอกําลังบรรยายถึงสภาพของผู้คนที่ไร้ที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกันเขาก็บังเกิดความหงุดหงิดไม่พอใจเมื่อมีเสียงพูดของคนอื่นเข้ามาแทรก
แล้วเขาก็เริ่มสังเกตเห็นสีแดงที่เคลือบอยู่ในเส้นผมสีเขียวขาบที่ถูกอําพรางไว้ด้วยแว่นสายตา ผิวผ่องของใบหน้าราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ เรือนร่างที่งามระหงซึ่งซ่อนอยู่ใต้เสื้อแจ๊คเก็ตตัวใหญ่ และยังพลังที่เปล่งออกมาทั้งในท่วงท่าและน้ำเสียงนั้น
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันฮาร์รี่” เขาถามบรรณาธิการการข่าว
“ดูเหมือนจะชื่อเคลลี่หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ” เขาหยิบกล่องเทปขึ้นมาดู “ใช่ ชื่อเคลลี่ ดักลาส ทํางานอยู่ที่สถานีท้องถิ่นของเราในเซ้นท์ หลุยส์มา ทำงานดีสม่ำเสมอ คงอยากจะเข้ามาทํางานที่สถานีใหญ่นั่นแหละ” บรรณาธิการข่าวส่งยิ้มกว้างมาให้ “เสียงเยี่ยมเลยใช่ไหม”
“เยี่ยมมาก” ฮิวจ์ตอบอย่างใช้ความคิด แล้วจึงได้พูดต่อว่า “จะรังเกียจไหมล่ะถ้าผมจะขอยืมเทปหน่อย อยากจะเอาไปดูแล้วจะส่งคืนมาให้”
“เชิญตามสบาย” เขากดลงบนปุ่มปิดถอดเทปออกจากเครื่องให้
ภายหลังจากที่ฮิวจ์ เทาน์เซ่นต์ เอาเทปนั้นมาเปิดอยู่หลายต่อหลายครั้ง เขาก็ได้พบว่าเคลลี่จัดว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถในงานด้านการข่าวคนหนึ่ง และเขาก็ออกจะพึงใจในน้ำเสียงของเธออย่างมาก มันเป็นน้ำเสียงที่ทุ้มนุ่มนวลฟังแล้วอบอุ่นมีกังวานแห่งความมีอํานาจอยู่ในน้ำเสียงนั้นด้วย
แต่สิ่งที่สร้างความเบื่อหน่ายให้เกิดขึ้นกับสายตาก็คือ บุคลิกลักษณะที่ไม่ต้องในรสนิยม ในความเป็นผู้อํานวยการผลิตรายการต่าง ๆ เขาย่อมมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นพิเศษอยู่แล้ว
และหลายต่อหลายครั้ง ที่เขาเคยได้ออกปากให้คำแนะนำพิธีกรในรายการต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้า ทรงผม การแต่งหน้าและอื่น ๆ ซึ่งเมื่อคนเหล่านั้นปฏิบัติตามคําแนะนําก็มักจะย้อนกลับมากล่าวคําขอบคุณแก่เขาเสมอ
ในที่สุดเขาได้ติดต่อให้เธอเดินทางมานิวยอร์คโดยอ้างว่าต้องการสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัว อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาเธอก็เดินทางมาถึงห้องทํางานของเขาที่สถานีเอ็นบีซี. ซึ่งส่วนหนึ่งของความรู้สึกดูมันช่างเยาะหยันเสียเหลือเกินที่เขากำลังจะทำตัวเป็นเฮนรี่ ฮิกกิ้นส์
แต่ผลแห่งความพยายามในครั้งนี้ ทําให้เสียงหัวเราะเยาะหยันนั้นต้องเงียบงันไปตราบเท่าทุกวันนี้...
เมื่อเคลลี่เดินเข้ามาใกล้โต๊ะอาหาร เขาจึงได้ลุกขึ้นและรออยู่จนเมื่อเธอทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา ทิ้งกระเป๋าที่เหมือนย่ามใหญ่ลงกับพื้นห้อง
“ข่าวล่าสุดเป็นยังไงมั่งล่ะ” เขาถามพร้อมกับทรุดตัวลงนั่ง
“เมลเชอร์ออกจากห้องผ่าตัดแล้วค่ะ อาการยังสาหัส แต่ว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว” เธอหยิบเมนูขึ้นมาแล้วก็วางลงเสียข้างหนึ่งไม่สนใจกับความรู้สึกเร่งเร้าในเรื่องอาหารที่เกิดอยู่ในใจ
“สําหรับผู้หญิงเราได้ชื่อมาแล้วว่าเดเลีย โรส แจ๊คสัน ในอดีตคือซิสเตอร์ แมรี่ เทเรซ่า ตอนนี้มีอาการทางประสาทต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ตลอดเวลา ครั้งหลังสุดนี่บุกเข้าไปในคลินิกแห่งหนึ่ง เอากรรไกรแทงนางพยาบาล ไม่มีรายงานว่าร่วมอยู่ในขบวนการใด ๆ ทั้งสิ้น”
“ถ้ายังงั้นก็คงจะรอดตัวไป” เขาพูดเสียงเบา
เคลลี่หยิบแก้วน้ำขึ้นมาถือไว้ แต่ไม่ได้ดื่ม
“แล้วคุณเห็นภาพที่เราเอาออกอากาศหรือเปล่าคะ”
“ไม่เห็นหรอก แต่คงผิดมากถ้าคุณไม่พูดถึงเรื่องนี้”
“ฉันเอารูปสมัยที่เขาบวชเป็นแม่ชีมาให้ค่ะ” เธอจิบน้ำเย็น ลดแก้วลงจับตามองก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในน้ำใส “มันก็ออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกอยู่เหมือนกันนะคะที่ตํารวจคนหนึ่งจะต้องมาตายเพราะฝีมืออดีตแม่ชี”
“เป็นเรื่องน่าเศร้ามากด้วย”
“ใช่ค่ะ เศร้ามากทีเดียว” เธอระบายลมหายใจออกมา พยายามที่จะขจัดความคิดในเรื่องร้าย ๆ ออกไปให้พ้นจากสมอง ในการทํางานด้านข่าวนั้นเธอต้องพบเห็นเรื่องที่รุนแรง เรื่องที่น่าเศร้า เรื่องของความตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่เคลลี่ก็พยายามทําใจที่จะไม่ให้เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้เข้ามาสัมผัสจิตใจของตนเอง ไม่ยอมให้ตนเองต้องพลอยมีความรู้สึกหรืออารมณ์ร่วมตามไปด้วย เธอกวาดสายตามองไปโดยรอบ
“ที่นี่บรรยากาศดีจังเลยนะคะ ฉันไม่เคยเข้ามาสักครั้ง” เธอสังเกตเห็นอยู่ว่า แขกที่เข้ามาในร้านรอบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นแขกรอบดึกที่เพิ่งออกมาจากโรงภาพยนตร์เสียส่วนใหญ่
“อาหาหารที่นี่เยี่ยมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวน์...” เขาหยุดเว้นระยะยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “เยี่ยมที่สุด”
“เป็นองค์ประกอบอันสําคัญที่ทําให้คุณชอบมาที่นี่...เรื่องนี้ฉันไม่สงสัยหรอกค่ะ” เคลลี่ชูแก้วน้ำตรงหน้าให้เขาอย่างล้อเลียน ฮิวจ์ เทาน์เซ่นด์ เป็นคนหนึ่งที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล้าองุ่นดีมากซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าพิศวงเกี่ยวกับตัวเขาอีกเรื่องหนึ่ง
“แน่นอนอยู่แล้วละ” รอยยิ้มกดลึกลงตรงมุมปาก “เอาละ เราสั่งอาหารกันได้แล้ว รู้สึกว่าคุณจะหิว”
“มากทีเดียวละค่ะ” เธอตอบอย่างยอมรับ อาหารเช้าของเธอคือน้ำส้มคั้นกับขนมปังกรอบเพียงสองแผ่น อาหารกลางวันคือสลัดผักขม กับโยเกิร์ตอีกสามช้อนตอนห้าทุ่ม ทั้งหมดคืออาหารที่เธอรับประทานมาในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือประมาณนั้น ซึ่งดูจะน้อยกว่าอัตราเฉลี่ยมาก
ฮิวจ์ชูมือเป็นสัญญาณเรียกบริกรที่รีบกระวีกระวาดเข้ามารอรับคำสั่ง
“เราจะสั่งอาหารกันเสียที” เขาพูดเรียบ ๆ
“ครับผม” เขาหันไปทางเคลลี่ “ค่ำนี้รับประทานอะไรดีครับท่านผู้หญิง เนื้อแกะดีไหมครับ อบกับ...”
“ไม่ละขอบใจ” เคลลี่รีบตัดบทก่อนจะใจอ่อน “ฉันขอสลัดผักสดธรรมดาไม่ต้องราดเดรสซึ่ง ขอปลานึ่งกับมะนาวไม่เอาซอสแค่นั้นละ” เธอไม่ใส่ใจกับสีหน้าผิดหวังของบริกร “สําหรับกาแฟ ขอชนิดที่ไม่มีคาเฟอีนนะ”
“อาหารแบบนี้ทําให้ไวน์เสียรสชาติหมด” เขาเลิกคิ้วมองหน้าเธออย่างวิจารณ์ แล้วจึงได้หันไปสั่งบริกร “เอาก๊อก โอ แว็งมาให้มิสดักลาสด้วย”
“ฮิวจ์คะ...”
เขายกมือขึ้นห้ามการทักท้วงของเธอทันที
“อย่าลืมว่าวันนี้เรามาฉลองกัน คืนนี้กินอะไรให้มันอิ่ม ๆ ก่อนดีกว่า พรุ่งนี้คุณก็ทํางานล้างแคลอรี่ส่วนเกินที่กินไว้คืนนี้หมดแล้ว แค่ทำงานกับริคในช่วงเช้าก็คงไม่มีเหลือแล้วละมัง” เขาหมายถึงเทรนเนอร์ประจําตัวของเธอ
ด้วยความตั้งใจที่จะควบคุมน้ำหนักของตนเองไว้ให้คงที่ เคลลี่ต้องเข้าสถานบริหารร่างกายสัปดาห์ละสามครั้ง เมื่อครั้งที่อยู่ในเซ้นท์ หลุยส์ เธอจะวิ่งวันละสิบไมล์ทุกวัน แต่เมื่อมาอยู่ในนิวยอร์คการที่จะทําเช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นเคลลี่จึงใช้วิธีบริหารร่างกายแทน โดยมีริค คอนเนอร์ เป็นเทรนเนอร์
“ริคน่ะซาดิสม์” เคลลี่วิจารณ์เสียงเบา และมิได้ทักท้วงรายการอาหารที่เขาเสนอให้เพราะ ก๊อก โอ แว็ง เป็นเพียงไก่อบด้วยไวน์แดง ไม่ใช่อาหารที่จะมากแคลอรี่แต่อย่างใด
สำหรับตัวเองนั้น ฮิวจ์สั่งเป็ดอบส้ม แล้วจึงได้สั่งไวน์ เคลลี่เงี่ยหูฟังขณะที่ฮิวจ์กับสจ๊วตปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องไวน์อยู่
เพราะว่าไวน์เป็นสิ่งที่ฮิวจ์โปรดปรานอย่างที่สุด
เมื่อสามปีก่อนเมื่อเขาสั่งให้เธอเดินทางมาพบในนิวยอร์คนั้น เคลลี่ต้องการจะสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับเขา และตอนนั้นเองที่เหล้าองุ่นได้เข้ามามีบทบาทอย่างสําคัญ