บทที่ 8
สถานีใหญ่ มันช่างเป็นคําที่มีมนต์ขลังอะไรเช่นนั้น มันเป็นเป้าหมายที่เธอพยายามดิ้นรนจะไปให้ถึง นับแต่สําเร็จการศึกษาเมื่อแปดปีก่อน แปดปีที่ผ่านมานั้นมันเต็มไปด้วยความยากลําบากอย่างที่สุด ต้องทํางานสัปดาห์ละ 60-80 ชั่วโมง เพื่อที่จะไต่เต้าจากนักข่าวสถานีโทรทัศน์ที่อ่อนหัดในสถานส่วนท้องถิ่นเล็ก ๆ ที่ไอโอว่า ซึ่งในที่สุดเธอก็ทําได้สําเร็จ เมื่อมาถึงเวลานี้เธอมองเห็นห่วงที่จะคว้าไว้เพื่อดึงตัวเองให้สูงขึ้นไปกว่านั้นแล้ว สิ่งที่เธอจะต้องทำในตอนนี้ก็เพียงแค่จับมันไว้ให้มั่นเท่านั้น
มันมีความรู้สึกอึดอัดกังวลเกิดขึ้นเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อดที่จะนึกไปถึงผู้ชายคนที่เธอได้พบในสวนสาธารณะวันนี้ไม่ได้ แต่พยายามปัดมันออกไปเสียจากใจ แต่งน้ำเสียงให้สดใสเมื่อพูดต่อว่า
“ถึงยังไงฉันก็ยังไม่ได้ไปตอนนี้หรอกน่าโรรี่ คุณยังต้องเห็นหน้าฉันอย่างน้อยก็อีกหนึ่งอาทิตย์ทีเดียวนะ”
“จริงสิ” เขายิ้มกว้างอย่างพอใจ
แบรด ซอมเมอร์ เดินอย่างรีบร้อนออกมาจากโรงพยาบาล
“ทางสถานีเขาต้องการตัวคุณแน่ะเคลลี่” เขาโบกมือให้คนขับรถเขานั่งประจําที่ “เราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
เคลลี่อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ นี่เป็นผลงานของเธอโดยตรง และเธอก็อยากจะนํามันออกมาใช้อีกครั้ง ในรายการข่าวตอนห้าทุ่ม แต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนเมื่อแบรดเอื้อมมาจับแขนพาเธอเดินที่รถสเตชั่น แว้กก้อน ในเมื่องานใหม่กําลังรออยู่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เธอไม่อยากเสี่ยงกับการที่จะทําให้ผู้อื่นคิดว่า เธอเป็นคนที่ทํางานร่วมด้วยยากและเป็นคนเจ้าอารมณ์
ครู่ต่อมา รถคันนั้นก็ปล่อยเธอลงตรงทางเข้าสู่อาคารที่มีความสูงถึงเจ็ดสิบชั้น ซึ่งก็มีชื่อเรียกกันติดปากว่า “อาร์ซีเอ. บิลดิ้ง” แม้ว่าเจ้าของอาคารต้องการจะให้ชาวนิวยอร์คทั้งหลายเรียกอาคารนี้ว่า “ยีอี. บิลดิ้ง” ก็ตาม กระเป๋าสะพายกวัดแกว่งอยู่กับสะโพก ขณะที่เคลลี่เดินตัดห้องล็อบบี้ที่ปูด้วยแกรนิตสีดําตรงไปยังโต๊ะยามรักษาการณ์
เจ้าหน้าที่ผิวดําในเครื่องแบบเงยขึ้นมอง เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้
“วันนี้เห็นคุณในข่าวพิเศษด้วยครับ มิสดักลาส ท่านวุฒิสมาชิกเป็นยังไงมั่งล่ะครับ”
“ยังอยู่ในห้องผ่าตัดเลย” เธอเซ็นชื่อลงในสมุดที่เขาเปิดให้
“ที่จริงเขาเป็นคนดีคนหนึ่งนะครับ น่าเสียดายถ้าจะต้องเสียเขาไป”
“นั่นสิ”
ตอนที่เธอออกเดินไปยังแถวลิฟต์นั้น ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“จะขึ้นใช่ไหม”
เคลลี่จับสําเนียงอังกฤษนั้นได้ รอยยิ้มจึงฉาบขึ้นบนใบหน้าก่อนที่เธอจะหันไปมอง ฮิวจ์ เทวน์เซนด์ บุรุษผู้เป็นชาวอังกฤษโดยกําเนิด ซึ่งเปิดประตูลิฟต์รอไว้ให้ เขาเป็นคนร่างสูงโปร่ง อยู่ในสูทสีเทาสําหรับหน้าร้อนด้วยฝีมือช่างของซาวิล โรว์ ใบหน้าของเขาบ่งบอกถึงสายเลือดผู้ดีอังกฤษทุกกระเบียดนิ้ว
เรือนผมของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดํา ตรงจอนเป็นไรสีเงินซึ่งสร้างความภูมิฐาน และดูแตกต่างกว่าคนอื่นอย่างมาก อากัปกิริยาของเขานั้นจะดูห่างเหินหรือมีเสน่ห์ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์หรือไม่ก็สถานการณ์ที่เกิดอยู่ในบริษัท แต่กับเคลลี่แล้ว เขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์เสมอ
“คืนนี้อยู่ทางานดึกนี่คะ ฮิวจ์” เคลลี่ไม่รู้ว่าจะจัดเขาอยู่ในสถานะใด เพื่อน ที่ปรึกษา ผู้น่าไว้วางใจ หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารระดับสูงสําหรับรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียง หรือว่า...ผู้บังคับบัญชา
“ที่จริงว่าจะกลับตั้งชั่วโมงแล้ว แต่อยากอยู่รับฟังข่าวล่าสุดก่อน” เขารออยู่จนเมื่อเธอเดินเข้ามาในลิฟต์เรียบร้อยแล้วจึงได้กดปุ่มชั้นของเธอ เมื่อหันมามองหน้าอีกครั้งนั้น แววในดวงตาของเขาบอกความชื่นชมไม่น้อย
“งานชิ้นนี้เยี่ยมมาก”
“หรือคะ” เธอแสร้งเลิกคิ้วถาม
“ผมพูดจริงนะนี่”
ลิฟต์ลอยตัวสูงขึ้น เคลลี่บอกกับตัวเองอยู่ในใจว่า คืนนี้ เมื่อกลับไปถึงอพาร์ตเม้นท์ที่พักแล้วเธอจะทบทวนงานที่ออกอากาศไปตอนหัวค่ำอีกครั้ง เพราะเมื่ออยู่ตามลําพังเธอสามารถค้นหาข้อผิดพลาดได้ง่ายกว่า แม้ว่ามันจะเป็นความไม่สบายใจที่จะต้องทำเช่นนั้น แต่อย่างน้อย มันก็ยังเป็นการเรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่ง ซึ่งเธอได้ตั้งใจแล้วว่าต่อไปจะต้องทําให้ดีที่สุด
“น่าเสียดาย ที่ผู้หญิงคนนั้นไม่เลื่อนเวลายิงวุฒิสมาชิกออกไปอีกสักอาทิตย์ ไม่ยังงั้นละก้อ มันจะเปิดทางให้คุณก้าวเข้าไปสู่ตําแหน่งใหม่ได้อย่างดีทีเดียว”
“แต่มันก็เท่ากับเป็นการเปิดตัวก่อนไม่ใช่หรือคะ”
“ผมเองก็คิดเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน” รอยยิ้มอย่างขบขันฉาบอยู่ในแววตา
“ฉันก็คิดยังงั้นเหมือนกัน”
“คืนนี้หลังจากคุณเสร็จงานแล้ว เราจะกินอาหารค่ำยามดึกกัน ฉลองความสําเร็จด้วยไวน์กันสักขวด เพราะว่าไวน์เป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้น แล้วก็ทําให้เราบังเกิดความกล้าขึ้นด้วย ให้ทั้งความรักและความสุข”
“รู้สึกว่าคุณสามารถจะหยิบยกคําพูดเก่า ๆ มาใช้ได้ในทุกโอกาสเลยใช่ไหมคะ”
“ก็เห็นจะไม่ใช่ทุกโอกาสหรอกนะ” ฮิวจ์หยุดเว้นระยะใช้ความคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนจะบอกว่า “อันที่จริงผมว่า ‘ดิ เอทิ’ น่าจะเป็นไวน์ที่สร้างเสน่ห์ให้ได้อย่างมากทีเดียวนะ”
“อะไรกันคะ จะไม่มี ‘ฟอร์ตี้ - ไฟว์ ลาทัวร์’ สําหรับการฉลองหรอกหรือ” เคลลี่พูดล้อ ๆ
“เอาไว้ให้คุณชนะผมด้วยรางวัลเอ็มมี่เสียก่อนเถอะนะเคลลี่ นั่นละมันถึงจะเป็นโอกาสอันสําคัญที่จะต้องฉลองกันด้วยฟอร์ตี้ - ไฟว์ ลาทัวร์” เขาพูดยิ้ม ๆ
“รางวัลเอ็มมี่หรือคะ...ฉันว่าคุณหวังมากเกินไปแล้วละค่ะฮิวจ์”
เขาประสานสายตาอยู่กับเธอ รอยยิ้มอ่อน ๆ ฉาบอยู่บนริมฝีปาก
“คุณไม่หวังที่จะผูกขาดรางวัลนั่นไว้เสียคนเดียวไม่ใช่หรือเคลลี่” ขณะนี้ลิฟต์หยุดลงตรงชั้นของเธอแล้ว ประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ
“ผมจะสั่งให้รถมารอรับคุณข้างล่างนะ”
“ที่จริงเรื่องการกินอาหารค่ำยามดึกนั่นน่ะ มันก็ฟังเข้าท่าดีอยู่หรอกนะคะฮิวจ์ แต่ว่า...” เธอแว่วเสียงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดอยู่ในห้องข่าว “แต่คืนนี้คงจะเป็นคืนที่ยุ่งมากทีเดียว หลังจากเสร็จงานแล้วฉันก็อยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านมากกว่า”
เขาสอดมือเข้าไปตรงท้ายทอยบีบนวดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตรงส่วนนั้นอยู่เบา ๆ
“ถึงกลับบ้านคุณก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี จะต้องตาค้างอยู่อีกหลายชั่วโมงทีเดียว” เขารุนร่างเธอออกจากลิฟต์ “อย่าลืม ผมจะรอกินอาหารค่ำกับคุณ”
อาหารค่ำ...เธอได้แต่คิดอยู่ในใจ...
เที่ยงคืนแล้ว กว่าที่เคลลี่จะเดินออกจากตัวอาคารมาหยุดยืนอยู่บนบาทวิถีที่ว่างเปล่า พวกพ่อค้าเร่ทั้งหลายต่างเข็นรถสินค้าของตนกลับบ้านช่องกันหมดแล้ว แทบจะไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้ให้เห็นอีก
ความร้อนในอากาศเบาบางลง ยวดยานพาหนะที่สัญจรอยู่บนท้องถนนก็พลอยบางตาลงด้วย เป็นช่วงเวลาแห่งความสงบของแมนฮัตตัน รถขยะวิ่งผ่านหน้าไป ในท่ามกลางความเงียบนั้นมีเสียงไซเรนกรีดร้องขึ้น ติดตามด้วยเสียงแตรของรถดับเพลิง
เคลลี่กระชับสายกระเป๋าที่พาดไหล่ สูดอากาศในยามค่ำคืนเข้าไว้ในปอด เมื่อมองไปตามแนวถนนก็เห็นรถยนต์คันหนึ่งจอดรออยู่ จึงเดินมุ่งหน้าไปทางนั้น เมื่อไปถึงคนขับที่รออยู่ก่อนแล้วก็รีบลงมาเปิดประตูที่นั่งทางด้านหลังให้ เคลลี่โยนกระเป๋าถือที่หน่วงหนักเข้าไปในรถแล้วจึงได้เลื่อนตัวเข้าไปนั่ง
เสียงเพลงเบา ๆ ที่ดังอยู่ในรถเป็นเพลงเก่าที่ฮอลล์ แอนด์ โอทส์ ร้องไว้นานแล้ว เธอทวนเนื้อเพลงอยู่ในใจขณะล้วงมือลงไปในกระเป๋าที่เหมือนย่าม หยิบเอกสารปึกใหญ่ซึ่งเป็นหัวข้อเตรียมการสัมภาษณ์กับประวัติชีวิตของศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ซึ่งได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักเขียนออกมา
มันเป็นกําหนดการสัมภาษณ์สําหรับรายการ “ไลฟ์ แอท ไฟว์” สําหรับคืนพรุ่งนี้ เคลลี่เอื้อมมือไปกดสวิทช์ไฟสําหรับอ่านหนังสือ พลิกปูมประวัติของบุคคลผู้นั้นอ่านคร่าว ๆ จดบันทึกข้อปลีกย่อยที่ควรจะต้องใช้ในการสัมภาษณ์ลงไว้เพื่อเตือนความจําของตนเอง ดูเหมือนเวลาสําหรับการทํางานของเธอจะไม่มีกําหนดที่ตายตัวลงไปเอาเสียเลย
รถคันนั้นเลี้ยวเข้าสู่ปาร์ค อเวนิว ร่วมขบวนกับแท็กซี่และรถยนต์ส่วนตัวไปตามท้องถนน ผ่านร้านค้าที่ปิดไฟมืดตรงหน้าตู้โชว์ หลายร้านที่ปิดใส่กุญแจหมดแล้ว ทั้งที่เมื่อไม่ถึงห้าชั่วโมงที่ผ่านมาท้องถนนยังคับคั่งด้วยยวดยานพาหนะ ด้วยคนขับรถที่อารมณ์เสียกับการจราจรที่ติดขัด ความร้อนของอากาศ และยังเสียงแตรที่กดไล่อยู่ข้างหลัง
แต่อีกเพียงครู่เดียวรถคันนั้นก็พาเธอมาถึงร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนถนนปาร์ค อเวนิว เคลลี่เหลือบตามองทางเข้าที่มีหลังคาคลุมซึ่งบ่งบอกถึงความโอ่อ่าหรูหราของภัตตาคารฝรั่งเศสแห่งนั้น แล้วจึงได้เอื้อมไปหยิบกระเป๋าก่อนจะก้าวลงจากรถ