บทที่ 10
จากข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของฮิวจ์ เทาน์เซ่นด์ ที่เคยศึกษามา เคลลี่ได้พบว่าบรรยากาศภายในห้องทํางานของเขาเป็นเช่นที่เธอคาดคิดไว้ เก้าอี้เบาะหุ้มหนังอย่างดี โต๊ะทำงานที่ต่อขึ้นจากไม้โอ๊ควาววับ ภาพเขียนฝีมือจิตรกรผู้มีชื่อเสียงที่ประดับไว้บนฝาผนัง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยความโอ่อ่าภาคภูมิ
สําหรับภาพถ่ายของเขาที่เธอได้เห็นมานั้น ไม่อาจนํามาใช้ในการตัดสินบรุษผู้นี้ได้เลย มันอาจจะจับเค้าหน้าที่คมเข้มของเขาไว้ได้ แต่ไม่อาจจับเค้าแห่งความเป็นผู้ดีมีสกุล ความอบอุ่นในรอยยิ้มและที่ปรากฏอยู่ในแววตาของเขาได้เลย
“ขอต้อนรับสู่นิวยอร์คครับ มิสดักลาส” เขาเดินอ้อมโต๊ะออกมาสัมผัสมือกับเธอ
เคลลี่ยอมรับว่าในช่วงเวลาดังกล่าวเธอใจคอไม่ดีเลย แต่ขณะเดียวกันก็พยายามอําพรางความรู้สึกไม่ยอมให้ปรากฏ
“ขอบคุณคะมิสเตอร์ เทาน์เซ่นด์ ฉันเองก็ดีใจที่ได้มาจนถึงที่นี่” เธอหยุดเว้นระยะไปชั่วอึดใจ แล้วจึงได้ล้วงลงไปในกระเป๋าถือใบโตหยิบของขวัญที่ห่อไว้อย่างเรียบร้อยออกมา “ฉันอาจจะก้าวหน้ามากไปหน่อย แต่บังเอิญตัวเองเกิดในไอโอว่าค่ะ มันเป็นธรรมเนียมของเราที่เมื่อพบปะผู้ที่เป็นเจ้าภาพของเราในครั้งแรก เราจะต้องมอบของขวัญให้คะ”
“ของขวัญหรือครับ” เขาเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ
“เป็นวิธีการที่จะแสดงความขอบคุณที่คุณได้ให้ความสนใจในงานของดิฉันค่ะ” เคลลี่ตอบ
แล้วเขาก็โบกมือให้เธอนั่งลงในเก้าอี้ตรงข้าม
“งั้นผมขอเปิดดูตอนนี้เลยได้ไหมนี่” ความอยากรู้ของเขาปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
“ด้วยความยินดีค่ะ” ขณะเดียวกันเธอก็ทิ้งตัวลงนั่งในเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา พยายามทําใจให้สบายที่สุดเท่าที่จะทําได้
เขามิได้ฉีกกระดาษที่ห่อของขวัญนั้นออกอย่างลวก ๆ แต่ใช้ที่ตัดซองจดหมายคมกริบค่อย ๆ แกะกระดาษห่อออกอย่างระมัดระวัง เธอจับตามองดูปฏิกิริยาจากเขา เมื่อตอนที่เขายกขวดไวน์ขึ้นมาลูบคลํา ตอนนั้นเองที่เธอค่อยระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
สายตาที่เขามองมาทางเธอในยามนี้มันบ่งบอกถึงความสนใจและคําถามอยู่พร้อมกัน
“นี่เป็นไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งประวัติศาสตร์เชียวนะ”
“ฉันทราบค่ะ” เคลลี่ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจกล่าวตอบ “สแต๊ก’ส ลีพ โซวิยองปี 72 เป็นไวน์แคลิฟอร์เนียตราแรกที่สามารถชนะโอ-บรีออง กับ มูตอง-รอธไชลด์ตอนที่มีการประกวดไวน์ในกรุงปารีสปี 1976 ตอนนั้นหลายคนคิดกันว่าไวน์ตรารุทเลดจ์ เอสเตทจะต้องเหนือกว่าสแต๊ก’ส ลีพ แน่ แต่น่าเสียดายที่ปีนั้นรุทเลดจ์ เอสเตทไม่ได้ส่งเข้าประกวด”
เขาวางขวดไวน์ลงบนโต๊ะมองหน้าเธออย่างใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่า
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบดื่มไวน์ดี ๆ”
“อ้าว...ฉันก็ต้องทําการบ้านมาบ้างสิคะ” เคลลี่ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ก็เห็นอยู่” เขาตอบเรียบ ๆ และนิ่งเงียบราวจะรอฟังคําอธิบายของเธอต่อไป
“จากประวัติส่วนตัวของคุณเท่าที่ฉันได้อ่านพบเห็น ระบุไว้ว่าคุณเป็นสมาชิกสมาคมคนรักไวน์ที่มีชื่อเสียงด้วยค่ะ” เคลลี่พูดเป็นเชิงอธิบาย “ฉันก็เลยถือโอกาสที่คุณไม่ใช่คนที่รักไวน์แต่ปากพร้อมจะยื่นจมูกใส่ไวน์ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยการโฆษณา เอาไวน์เก่าแก่ของแคลิฟอร์เนียมามอบให้ไงคะ”
“รู้สึกว่าคุณเองก็เป็นนักเสี่ยงคนหนึ่งเหมือนกันนะ มิส ดักลาส” เขายกมือขึ้นกอดอก จับตามองหน้าเธออยู่อย่างสนใจ
“ก็เพราะว่าคุณอยากเสี่ยงในเรื่องของฉันน่ะสิคะ มิสเตอร์ เทาน์เซ่นด์” เธอตอบกลับไป
“สงสัยว่างานนี้เราอาจจะชนะพร้อมกันทั้งสองคนก็ได้นะ” เขาพูดยิ้ม ๆ “ลองเล่าให้ผมฟังหน่อยสิว่าทําไมคุณถึงมีความรู้เรื่องสแต๊ก’ส ลีพ ไวน์ดี ทําการบ้านด้วยหรือไง”
“ถ้าจะให้พูดตามความจริงก็เห็นจะตอบได้เลยค่ะว่า ฉันเกิดในนาพ่า วอลเล่ย์” เป็นเวลานานหลายปีมาแล้ว นับแต่วันที่เธอเดินทางออกจากหุบเขาแห่งนั้นที่เคลลี่ไม่เคยบอกเล่าให้ผู้ใดล่วงรู้เลยว่าเธอมีสายสัมพันธ์อยู่ในแคลิฟอร์เนีย
เธออําพรางอดีตของตัวเองด้วยการสร้างอดีตใหม่ขึ้นมา อดีตใหม่ที่ปราศจากความเจ็บช้ำขมขื่น หรือความรู้สึกเหยียดหยามเช่นที่เคยได้รับมาในชีวิตจริง แต่ทว่าครั้งนี้เคลลี่แน่ใจ ว่าสถานที่เกิดของตนเองเป็นองค์ประกอบอันสําคัญที่เธอสามารถจะนํามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
“จริงหรือนี่...ไม่รู้นะ จะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม ผมคิดว่าคุณเกิดแล้วก็เติบโตขึ้นในไอโอว่าเสียอีก” ฮิวจ์เหลือบตามองโต๊ะทํางานที่ไม่มีเอกสารสิ้นใดวางอยู่ แววตาของเขาในยามนี้บ่งบอกความครุ่นคิดราวกําลังทบทวนประวัติที่เซอกรอกลงไว้ในใบสมัคร
“มีคนไม่มากนักหรอกค่ะที่จะเติบโตขึ้นในถิ่นเกิดของตัวเอง การโยกย้ายจากสถานที่แห่งหนึ่งไปสู่อีกแห่งหนึ่งนั้นดจะเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดสําหรับชาวอเมริกันอยู่แล้ว และในกรณีของฉันก็คือการย้ายไปอยู่ไอโอว่านั่นเอง” เคลลี่คิดว่าเธอสามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปาก โดยไม่จําเป็นต้องกล่าวเท็จกับเขาแต่อย่างใด
“เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ฉันยังเรียนอยู่ในไฮสกูล ฉันเกิดความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับบ้านเกิดของตัวเองก็เลยเขียนบทความเกี่ยวกับนาพ่า วอลเล่ย์ เมืองแห่งไวน์ขึ้น แล้วก็ส่งไปลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง...ฉันคิดว่าคุณเองก็คงจะยอมรับนะคะ ว่าไวน์น่ะ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการผลิตหรือวิธีการดื่ม ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น่าสนใจ มันมีเสน่ห์อยู่ในตัวมันเองสําหรับทุกคนอยู่แล้ว”
“จริงครับ” เขาตอบอย่างยอมรับ “พอคุณพูดอย่างนี้ทําให้ผมชักอยากอ่านบทความที่คุณเขียนชิ้นนั้นเสียแล้วสิ”
“ฉันจะลองหาดูแล้วก็ส่งสําเนามาให้นะคะ” เคลลี่พูดหน้าตาเฉย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่เคยเขียนบทความ ชิ้นนั้น และถึงแม้ว่าจะเขียนและยังเก็บรักษาต้นฉบับอยู่ เธอก็จะไม่มีวันส่งมาให้เขาอย่างแน่นอน “เห็นจะต้องเตือนไว้ก่อนนะคะ ว่ามันเป็นการเขียนแบบสมัครเล่นเท่านั้น ฉันเขียนขึ้นเพราะอยากภาคภูมิใจที่มีผลงานของตัวเองในหน้าหนังสือพิมพ์บ้างเท่านั้นละค่ะ”
“ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นก่อนหน้าที่คุณจะเกิดความสนใจงานด้านโทรทัศน์สินะ”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วตอนนี้คุณมีความปรารถนาในอะไรบ้างล่ะ”
“ฉันตั้งเป้าหมายไว้ให้ชีวิตของตัวเอง ว่าเมื่อไหร่อายุสามสิบ เมื่อนั้นฉันจะต้องเป็นนักข่าวผู้มีชื่อเสียงค่ะ” เคลลี่ตอบเรียบ ๆ
“แล้วตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ยี่สิบเจ็ดค่ะ”
“ก็ยังมีเวลามากพอที่จะทําได้...” เขาผงกศีรษะน้อย ๆ อยู่กับตนเอง แล้วจึงได้หันมามองเธอเต็มตาทั้งที่ยังอยู่ในท่ากอดอก “ผมคิดว่าถ้าคุณจะโยนแว่นตาขอบกระอันนั้นทิ้งไปเสีย จัดการตกแต่งทรงผมเสียใหม่ สวมใส่เสื้อผ้าตามแฟชั่นที่กําลังอยู่ในสมัยนิยม ท่าทางเหมือนครูของคุณมันอาจจะใช้ได้ผลในเซ้นท์ หลุยส์ แต่สําหรับที่นี่เห็นจะไม่สําเร็จหรอก”
เคลลี่นั่งตัวแข็งไปทันที เจ็บปวดกับการที่เขาวิจารณ์บุคลิกลักษณะของเธอออกมาตรง ๆ จับเท้าแขนเก้าอี้ไว้แน่น เพื่อไม่ให้มันกระชากแว่นตาที่สวมใส่อยู่เหวี่ยงทิ้ง และยังโบว์อันใหญ่ที่รัดรวบพวงผมสีเข้มนั่นไว้ด้วย
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนสวย แต่ก็เป็นคนมีเสน่ห์พอตัว และอย่างน้อยเธอก็ได้ใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดแล้วที่จะได้สิ่งเสริมสร้างบุคลิกเหล่านี้มา จึงรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่ถูกเขาวิจารณ์เอาซึ่งหน้าเช่นนี้มันเจ็บช้ำเกินกว่าที่เขาจะรู้มากนัก
แต่ชีวิตในวัยเยาว์ที่ผ่านมาเธอไม่เคยต้องทุกข์ทนกับคําล้อเลียนของเพื่อนนักเรียนที่ตะโกนร้องเป็นเพลงกันเจื้อยแจ้วกลางสนามเด็กเล่นหรอกหรือ...เธอไม่เคยได้ยินถ้อยคําที่ร้องรับเป็นเพลงว่า...ยายอ้วน...ยายอ้วน...สองคูณสี่...ออกประตูไม่ได้...นั่นหรอกหรือ...
เคลลี่รู้ดีว่าสิ่งนี้จะฝังลึกอยู่ในความทรงจําของเธอตลอดไปอย่างไม่มีวันลืมได้ แต่เธอจะไม่มีวันวิ่งหนีและระเบิดเสียงร้องไห้อีกต่อไป นานนักหนามาแล้วที่เคลลี่ได้เฝ้าอบรมตัวเองที่จะไม่แสดงความเจ็บช้ำในคําพูดของ คนอื่นออกมาให้ใครเห็น
และขณะนี้ เธอก็เพียงแต่ประสานมือจรดจ้องมองเคลลี่ด้วยสายตาเย็นชา
“บุคลิกลักษณะของฉันไม่เกี่ยวกับความสามารถในการทํางานนะคะ”
สีหน้าของเขา และยังแววตาคู่นั้นฉายแววขบขัน
“แต่ผมมีความคิดในเรื่องนี้แตกต่างกับคุณมากทีเดียวนะ มิสดักลาส คุณจะต้องไม่ลืมว่าโทรทัศน์เป็นสื่อมวลชนที่สามารถมองเห็นภาพได้ เพราะฉะนั้นบุคลิกภาพของพิธีกรคือสิ่งสําคัญอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นรูปร่างหน้าตาของคุณจึงมีความสําคัญเป็นพิเศษสําหรับงานแขนงนี้”