บท
ตั้งค่า

บทที่ 6

เมื่อเธอหันกลับมา ลาร์รี่ซึ่งกําลังเปิดซองบุหรี่อยู่ก็ยื่นมาให้มวนหนึ่ง เธอรับมา โน้มตัวลงจ่อกับไล้ท์เตอร์ที่เขาขีดขึ้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พ่นควันเป็นทางยาว ยกพวงผมที่ถูกไว้เป็นเปียเดี่ยวอันใหญ่ขึ้นจากต้นคอ

“ฉันว่าภาพโคลส-อัพ นั่นคุณถ่ายได้ดีทีเดียว โรรี่” น้ำเสียงที่แสดงความชื่นชมในฝีมือบอกความจริงใจ ทําให้โรรี่ยิ้มออกมาได้ แต่แล้วก็ส่ายหน้า

“ถึงตอนนี้ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ่ายมาได้ยังไง ผมยังจําได้ว่าตอนที่เมลเชอร์ก้าวออกมาจากรถ ยิ้มแย้มโบกมือทักทายผู้คนอยู่นั่นน่ะ ผมแพนกล้องไปทางด้านขวาของคนที่ยืนอยู่ เพื่อจะจับภาพปฏิกิริยาที่พวกเขาแสดงออก แล้วผู้หญิงคนนั้นก็... ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เขาโผล่ออกมาจากไหน...” คิ้วขมวดมุ่นเมื่อกล่าวต่อว่า “ผมสงสัยว่าฝ่าด่านตำรวจเข้ามาได้ยังไง คุณเห็นกันมั่งหรือเปล่าล่ะ”

“ฉันน่ะไม่เห็นหรอก” เคลลี่บอกด้วยน้ำเสียงบอกความเสียดายไม่น้อย “น่าเสียดายที่สุดเลย ตอนนั้นฉันเองก็มัวมองไปทางอื่นเสียนี่”

“ผมว่าตอนนั้นตํารวจน่าจะกําลังจับตามองผู้ชายคนหนึ่ง ที่ท่าทางเหมือนนักมวยปล้ำอยู่มากกว่า” ลาร์รี่ว่า หันไปมองหน้าเพื่อนช่างกล้อง “ผมเห็นเทปตอนที่เขาตัดต่อกันอยู่ แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าคุณจับภาพปืนในมือตอนที่ยายนั่นยิงออกไปไว้ได้ด้วย”

“ตอนนั้นผมเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่า เขาถืออะไรบางอย่างไว้ แต่เดาเอาว่ามันน่าจะเป็นมะเขือเทศเน่า ๆ หรือไม่ก็ไข่สดอะไรทํานองนั้น” โรรี่ยิ้มกว้าง “แล้วผมก็มัวแต่ไปตื่นเต้นกับความคิดที่ว่า เผลอ ๆ กําลังถ่ายอยู่อาจจะโดนลูกหลงเป็นมะเขือเทศเน่าเข้าบ้างก็ได้ แต่นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าจะเป็นปืน...” เขาส่ายหน้าพร้อมกับถอนใจออกมา เมื่อหันมามองหน้าเคลลี่ในครั้งนี้ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลง “คุณรู้หรือเปล่าว่าเราเกือบไม่ได้ข่าวนั้น ถ้าไม่เป็นเพราะคุณ...”

“คุณต่างหากที่เป็นคนบอกฉันเรื่องคนที่มาชุมนุม” เคลลี่ตัดบทก่อนที่เขาจะทันพูดจบลง

“ถ้าหากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ไม่เล่าเรื่องให้คุณฟังว่ามีคนมาชุมนุมเราก็ไม่รู้อยู่ดี” ลาร์รี่เสริมขึ้นบ้าง

“ฉันว่ามันเป็นความโชคดีของเรามากกว่า” เคลลี่สรุป

โรรี่อ่านความรู้สึกในสีหน้าของเธออยู่นาน ในที่สุดก็ยิ้มออกมา

“ไม่รู้นะ ผมว่าเรื่องนี้มันแฝงลางสังหรณ์อยู่...ก็ลางสังหรณ์ของคุณนั่นแหละ”

นั่นต้องถือว่าเป็นคําชมอย่างสูงสุดที่เธอจะได้รับจากเขาแล้ว เคลลี่ยิ้มตอบ รู้สึกตื้นตันใจไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันก็อดที่จะรู้สึกอึดอัดใจมิได้

“จะยอกันมากเกินไปแล้วละโรรี่ เอาเป็นว่ามันเป็นลางสังหรณ์ที่บอกความโชคดีก็แล้วกัน”

“คุณพูดถูกนะทับบ์” ลาร์รี่ว่า “เพราะดูเหมือนเคลลี่จะจมูกไวในเรื่องข่าวไม่น้อยเลย เอาเป็นว่าตอนนี้เราเปลี่ยนมาเรียกว่าคนขาไวอย่างแต่ก่อนจะดีกว่า”

“นี่...ถามจริง ๆ เถอะว่าคุณสองคนเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ทําไมเวลาที่ตั้งชื่อเล่นให้ใครสักคนถึงต้องเอาสัดส่วนของร่างกายมาใช้ด้วยล่ะ อย่างที่เรียกฉันว่าแม่ขาไว แต่ตอนที่อยู่ในเซนท์หลุยส์ ที่นั่นเขามองหัวฉันแล้วก็เรียกว่าแม่หัวแดง เหมือนกันไม่มีผิด”

“เป็นพวกที่ขาดความสามารถในการสร้างมโนภาพโดยสิ้นเชิง” ลาร์รี่หันไปพูดกับโรรี่ “แต่ที่จริงที่เซนท์หลุยส์เขาก็เรียกคุณถูกแล้วละ”

“แต่สําหรับคุณมีความเห็นว่า ถ้าเรียกด้วยขาแล้ว มันจะสร้างภาพให้เห็นได้ชัดเจนกว่าว่างั้นเถอะ” เธอพูดปนหัวเราะ สนุกสนานอยู่กับการต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนร่วมงานทั้งสอง เพราะมันช่วยให้ลับฝีปากได้ดีขึ้นแถมยังเป็นการพักผ่อนไปในตัวอีกด้วย

“มันเซ็กซี่กว่าต่างหากล่ะ” โรรี่ยิ้มกว้าง

“ฉันจะฟ้องดอนน่าว่าคุณพูดฉันแบบนี้” เคลลี่ขู่โดยแสร้งทำหน้าบึ้ง จะมีก็แต่แววในดวงตาที่เป็นประกายยั่วเย้า

“อย่าเชียวนา” โรรี่ร้องแล้วก็ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกง “เออ...ตอนนี้ยังพอมีเวลาโทรไปหาเสียหน่อยจะดีกว่า ตอนนี้กำลังต่อสู้กับโรรี่ จูเนียร์ อย่างเอาเป็นเอาตาย นายนั่นฟันขึ้นแล้วด้วย”

เขาเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เคลลี่จับตามองเมื่อเขาหลบรถพยาบาลคันหนึ่งที่แล่นสวนเข้ามา คิดไปถึงคําชมของเขาเกี่ยวกับเรื่องลางสังหรณ์ของเธอ ซึ่งเธอไม่ใคร่แน่ใจนักว่า มันจะเป็นเพราะเหตุนั้นจริงหรือไม่ เพราะการที่เก็บภาพผู้คนที่ยืนมุงกันอยู่ตรงเครื่องกีดขวาง มันก็เป็นแค่เรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งเท่านั้น

ขณะนั้นทุกคนต่างเตรียมพร้อมกันอยู่ที่ เซ็นทรัล ปาร์ค เพื่อทำรายการ “ชีวิตตอนห้าโมงเย็น” มันเป็นรายการหนึ่งที่ทางสถานีจัดขึ้น เพื่อให้บรรยากาศในหน้าร้อนของนิวยอร์คดูมีชีวิตจิตใจขึ้น ส่วนใหญ่รายการนี้จะถ่ายทําทั้งภายในและภายนอกสถานที่ ซึ่งสําหรับประการหลังนี้จะเป็นตรงจุดใดจุดหนึ่งของนครนิวยอร์คก็ย่อมได้ทั้งสิ้น

ก่อนหน้านี้ ได้มีการบันทึกเทปจากสวนสัตว์ที่มีชื่อว่า “บรองซ์ ซู” และ “เชีย สเตเดี้ยม” ในควีนส’ กันไว้แล้ว แต่สําหรับวันนี้จุดที่จะถ่ายทําคือบรรยากาศของเซ็นทรัล ปาร์ค โดยที่เคลลี่จะมีเจ้าหน้าที่จากกรมอุตุนิยมวิทยามาเป็นผู้ร่วมรายการ แต่เหตุการณ์ได้แปรเปลี่ยนไปโดยไม่คาดคิด

ขณะที่การถ่ายทําเสร็จเรียบร้อย และกําลังเก็บข้าวของเพื่อจะกลับกันอยู่นั้น โรรี่ได้เดินเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสวนสาธารณะคนหนึ่ง และตอนที่คุยกันอยู่ เจ้าหน้าที่ก็เล่าให้เขาฟังว่าตอนนี้ผู้คนกําลังไปชุมนุมกันอยู่ที่ “ทาเวิร์น” แห่งหนึ่งภายในสวนสาธารณะ

เมื่อเคลลี่ขึ้นมานั่งบนรถเพื่อเดินทางกลับสถานี โรรี่ก็เล่าเรื่องนั้นให้เธอฟังด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงความสนใจเท่าไรนัก

“อ้าว...ในเมื่อเราอยู่ใกล้แค่นี้ ทําไมไม่ลองเลี้ยวรถไปดูกันหน่อยล่ะ” เคลลี่เป็นคนเสนอความคิดนั้นขึ้น “เรายังไม่จําเป็นต้องกลับไปสถานีตอนนี้นี่”

ถ้าเคลลี่จะมีเวลามากพอที่จะวิเคราะห์เหตุผลที่ทําให้เธอเสนอความคิดดังกล่าวออกไป ก็จะเห็นว่ามันเป็นข้อเสนอที่มีน้ำหนักอย่างมาก ทั้งนี้เพราะเมลเชอร์เป็นนักการเมืองที่ค่อนข้างจะมีศัตรูมากกว่าใคร และขณะนี้ก็มีข่าวลืออยู่ตลอดเวลา ว่าเขาหวังตําแหน่งผู้ว่าการรัฐอยู่ สําหรับความเห็นของเขาที่แสดงต่อสาธารณะนั้น ดูจะไปขัดแย้งกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมอย่างมาก

ซึ่งถ้าจะพิจารณาถึงบทบาทของเขาในแวดวงการเมืองแล้ว แดน เมลเชอร์ มีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นไปเป็นบุคคลสําคัญคนหนึ่งในอนาคตอันใกล้ และเทปที่บันทึกภาพต่าง ๆ ไว้น่าจะกลายเป็นสิ่งที่มีความสําคัญขึ้นมาได้ในวันข้างหน้า เพราะมันเป็นข่าวที่เจาะลึกเกี่ยวกับวุฒิสมาชิกผู้นี้ แม้ว่าโดยตัวของมันเองแล้วจะไม่มีความสําคัญมากนักก็ตาม

ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตรายการ แบรด ซอมเมอร์ สามารถจะยับยั้งความคิดดังกล่าวนี้ได้ แต่ก็เพียงแต่ยักไหล่อย่างปราศจากความยินดียินร้าย พูดเรียบ ๆ อย่างไม่สนใจว่า

“ก็...เชิญตามสบาย”

โรรี่กับลาร์รี่จึงช่วยกันแบกทั้งเครื่องเสียงและกล้องใส่เข้าในรถของทางสถานี หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ออกเดินทางไปยังทาเวิร์นดังกล่าว

ตอนที่พวกเขาเดินทางไปถึงก็ได้เห็นพวกที่มาชุมนุมต่างถือป้ายหลั่งไหลกันเข้ามายังหน้าภัตตาคารแห่งนั้น แต่ไม่อาจเข้าไปถึงข้างในได้ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตํารวจสายตรวจกับรถอีกสองคันขวางอยู่ ขณะเดียวกันรถตํารวจอีกคันหนึ่ง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่สายตรวจอีกสองคนก็กำลังวิ่งเข้ามาสมทบ

ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นตั้งความหวังไว้ ว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้บรรดาผู้ประท้วงเลิกการชุมนุมลงได้ ความหวังนั้นก็ดูจะหมดสิ้นลงในทันทีที่ทุกคนหันมาเห็นเจ้าหน้าที่จากสถานีโทรทัศน์เดินทางมาถึงพร้อมด้วยกล้องและเครื่องมือต่าง ๆ

เคลลี่นั้นล้วงเอาสมุดบันทึก ปากกา บัตรประจําตัวผู้สื่อข่าวออกมาจากกระเป๋าใบเล็กที่สะพายไหล่อยู่ เธอเหลือบไปเห็นตํารวจสายตรวจนายหนึ่งกําลังเจรจาอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวในชุดสากลอยู่ตรงประตูเข้า เธอจึงเดินตรงเข้าไปหา ดูเหมือนทั้งสองจะไม่สบายใจเลยเมื่อเห็นเธอเข้า

“ไฮ...ฉันชื่อเคลลี่ ดักลาส ค่ะ จาก...”

แต่ตำรวจนายนั้นยกมือขึ้นห้ามเธอไว้เสียก่อน

“ผมทราบครับว่าคุณเป็นใคร มิสดักลาส” สีหน้าของเขาค่อนข้างจะเคร่งขรึม แต่กระนั้น แววยิ้มกริ่มก็ยังฉาบอยู่ในดวงตาเมื่อกวาดไปทั่วใบหน้าเธอ

“แล้วตอนนี้ที่นี้เกิดอะไรขึ้นล่ะคะ” เธอถามออกไป ก่อนจะหันไปมองทางผู้คนที่ชุมนุมประท้วงอีกครั้ง

ขณะนั้น ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งสูงหกฟุตสองนิ้ว ร่างกายหนั่นแน่นด้วยมัดกล้าม โกนหัวโล้น ไว้หนวดแบบฟูแมนจู กําลังเป็นปากเสียงอยู่ตำรวจคนหนึ่ง โรรี่กําลังเอากล้องจับภาพนั้นไว้ทางข้างหลัง

“มิสดักลาสครับ ได้โปรดเถอะ...” ผู้ชายที่อยู่ในสูททักซิโด้เอ่ยขึ้น จากแผ่นบัตรที่กลัดติดอยู่ตรงหน้าอก บอกให้รู้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของภัตตาคารที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ สีหน้าของเขาบอกความขุ่นเคืองและดูจะกระวนกระวายใจอย่างมาก “คือผมไม่อยากให้ภาพร้านอาหารของเราออกไป เพราะขณะนี้เรากําลังจัดงานเลี้ยงรับรองท่านวุฒิสมาชิกอยู่”

“แล้วตอนนี้ท่านวุฒิสมาชิกอยู่ข้างในหรือคะ” เคลลี่มิได้ปฏิบัติตามคําขอร้องของเขา “ฉันเองก็กําลังคิดอยากจะสัมภาษณ์ท่านอยู่เหมือนกัน”

“ยังเดินทางมาไม่ถึงเลยครับ” ตํารวจผู้นั้นเป็นผู้ตอบแทน สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันว่าผู้ช่วยผู้จัดการไม่พอใจนัก

เคลลี่มองเห็นโอกาสที่จะได้ข่าวอย่างดี มันหมายถึงว่าเธอจะได้ภาพตอนที่วุฒิสมาชิกเผชิญหน้ากับผู้ที่มารอประท้วงเขาอยู่ด้วย

“แล้วท่านจะมาถึงเมื่อไหร่ล่ะคะ” เธอถามออกไป และเจ้าหน้าที่ตํารวจก็ยักไหล่

“จวนแล้วละครับ”

ซึ่งก็ตอนนั้นเองที่ลินคอล์นสีดํามันปลาบวิ่งเข้ามาตามทางวิ่งของภัตตาคาร ผู้ช่วยผู้จัดการดูจะเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เขาจ้องมองรถคันนั้น ซึ่งติดฟิล์มกรองแสงสีดําด้วยแววตาคมปลาบ ราวจะมองให้ทะลุเข้าไปเห็นผู้ที่นั่งอยู่ภายใน

เคลลี่ไม่รอให้เสียโอกาส เธอรีบวิ่งเข้าไปหาโรงเพื่อจะบอกให้เขารู้ว่าวุฒิสมาชิกมาถึงแล้ว ซึ่งก็พอดีกับที่รถคันดังกล่าวจอดลง โรรี่รีบเปลี่ยนมุมกล้องหันไปจับภาพประตูหลังที่กําลังเปิดออก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel