บทที่ 4
สําหรับช่วงเวลาที่ยังพอมีเหลืออยู่ในชีวิต แคทเธอรีนมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ ว่านางจะต้องสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นไว้กับรุทเลดจ์ เอสเตท มันเป็นความจริงอันเจ็บปวดที่นางต้องยอมรับ เพราะเมื่อมาถึงวันนี้นางไม่แน่ใจเสียเลย ว่าเมื่อกิจการนี้อยู่ในมือของหลานชายแล้ว มันจะยังคงความเจริญก้าวหน้าต่อไปหรือไม่
นางอดที่จะเหลือบตามองมาทางเขามิได้ แซมมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับบิดามาก โดยเฉพาะรูปร่างที่สูงใหญ่ผึ่งผาย ในดวงตาคู่สีน้ำตาลมีแววเด็ดเดี่ยวซึ่งทําให้สีหน้าของเขาดูกร้าวกระด้างกว่าที่ควรจะเป็น
แต่กระนั้น หลายครั้งที่แคทเธอรีนสังเกตเห็น ว่าเขามิได้แสดงออกถึงความภาคภูมิใจในเหล้าองุ่นที่ประทับตรา รุทเลดจ์ เอสเตท เมื่อคนเราขาดความภาคภูมิใจมันย่อมไม่มีความรัก และคนเราจะต้องทํางานอย่างปราศจากความรักในงานนั้น การผลิตเหล้าองุ่นมันก็จะกลายเป็นเพียงผลผลิตของอุตสาหกรรมชนิดหนึ่งเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์ที่แคทเธอรีนมองเห็นอยู่ นางย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากจะมองออกไปนอกบริษัทและครอบครัวของตนเองเสียบ้าง
ดังนั้น เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา นางจึงได้ติดต่อบารอนแห่งชาโต นัวร์ และยื่นข้อเสนอการประสานงานทางด้านธุรกิจในอันที่จะเชื่อมโยงอุตสาหกรรมการผลิตเหล้าองุ่นของทั้งสองครอบครัวนี้เข้าไว้ด้วยกัน และสร้างความยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นกับรุทเลดจ์ เอสเตท ต่อไป
ซึ่งการตกลงในขั้นหลักการน่าจะเกิดขึ้นได้แล้ว ถ้าเพียงแต่กิลจะไม่ยื่นมือเข้ามา พร้อมกับยื่นข้อเสนอทํานองเดียวกันกับมารดาต่อบารอน แคทเธอรีนออกจะแน่ใจ ว่าการที่กิลทําเช่นนี้เพราะต้องการจะสร้างความกังวล สร้างความไม่สบายใจให้เกิดขึ้นกับนางนั่นเอง
“เพราะฉะนั้น การที่ฉันเดินทางไปนิวยอร์คครั้งนี้ แกก็เตรียมตัวไปกับฉันด้วย” นางบอก เมื่อแซมจอดรถลงเบื้องหน้าคฤหาสน์
“ได้ครับ” แซมเดินอ้อมมาเปิดประตูและช่วยพยุงร่างผู้เป็นย่าลงจากรถ
แคทเธอรีนออกเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุด สายตาของนางกวาดไปทั่วอาคารหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า คฤหาสน์หลังนี้ปลูกสร้างขึ้นก่อนจะสิ้นสุดศตวรรษที่ผ่านมาประมาณยี่สิบปี และผู้ที่เป็นเจ้าของในครั้งกระนั้นคือปู่ของอดีตสามี การก่อสร้างเลียนแบบชาโตที่มีชื่อเสียงในฝรั่งเศสสมัยนั้น เป็นคฤหาสน์ขนาดสองชั้นครึ่งที่ใหญ่โตมาก
แต่อย่างน้อยเถาองุ่นที่พาดพันอยู่ตามแนวผนังก็ช่วยลดความขึงขังของตัวอาคารลงได้อย่างมาก ปล่องไฟสูงเด่นอยู่เหนือหลังคาจั่วที่ลาดลงอย่างสวยงาม หน้าต่างแบบฝรั่งเศสที่ค่อนข้างแคบและยาวจรดพื้นนั้นประดับด้วยกระจกสี มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงฐานะความมั่งคั่งและรากฐานที่ฝังลึกลงอย่างมั่นคง
ประตูด้านหน้าที่ทำขึ้นจากไม้มะฮอกกานีแผ่นเดียวขนาดใหญ่หนาหนักเปิดออก มิสซิสวาร์กาส แม่บ้านเจ้าระเบียบในชุดสีดำ กับเรือนผมสีดำที่รวบเกล้าเป็นมวยตรงท้ายทอยก้าวออกมา
“นายดอจเกอตี้มาที่นี่เจ้าค่ะ คาดคั้นจะพบคุณนายให้ได้” แม่บ้านรายงานด้วยสีหน้าไม่พอใจ “แต่พอดิฉันบอกว่าคุณนายไม่อยู่เขาก็กลับไป”
แคทเธอรีนเพียงแต่พยักหน้ารับทราบขณะที่แซมประคองร่างให้เดินขึ้นไปตามบันไดหินอ่อนด้านหน้า
“ไปบอกฮัน หลี ให้เอาชาไปเสิร์ฟที่เทอเรซ” นางออกคําสั่งแล้วจึงได้หันมามองแซม “จะอยู่กินน้ำชากับฉันก่อนไหมล่ะ”
“ไม่ละครับ ผมยังมีงานอื่นต้องทํา” แซมไม่อาจถือว่าเรื่องของเลน ดอจเกอตี้ เป็นเรื่องเล็กอย่างที่แคทเธอรีนมองเห็นอยู่ได้
ในยามที่ไม่มึนเมา เลน ดอจเกอตี้ ดูสุภาพเรียบร้อย ไม่เป็นอันตรายสําหรับใครทั้งสิ้น แต่เมื่อเหล้าเข้าปาก เขาเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง พร้อมจะก่อเรื่องร้าย ๆ ขึ้นได้ทั้งสิ้น ซึ่งการกระทําของเขาไม่เพียงแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนเท่านั้น แต่อาจจะทําให้ทรัพย์สินเกิดความเสียหายด้วย แซมต้องการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ว่าดอจเกอตี้จะไม่หวนกลับมาสร้างความยุ่งยากให้กับเขาและแคทเธอรีนต่อไป
การจราจรบนถนนหลวงในเมืองเซ้นท์ เฮเลน่า ติดขัด สองฟากถนนนี้คืออาคารบ้านเรือนและร้านค้าที่ออกแบบก่อสร้างอย่างสมัยเก่า ซึ่งก็เป็นทั้งศิลาและอิฐโบราณ เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของบรรดานักทัศนาจรทั้งหลายยิ่งนัก
โตโยต้าคันหนึ่ง ป้ายทะเบียนรัฐโอเรกองพุ่งออกมาจากที่จอดข้างบาทวิถี ตัดหน้าบูอิคคันที่เลน ดอจเกอตี้ ขับอยู่ในระยะกระชั้นชิด เขากระแทกเท้าลงบนเบรคเต็มแรง กดแตรเสียงดังลั่นพร้อมพ่นคําผรุสวาทออกมา
“ห่าเอ๊ย...ทําไมไอ้พวกนักท่องเที่ยวมันถึงได้แยะนักวะ เหมือนแมลงวันไม่มีผิด คงคิดว่าพวกมันเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนไอ้พวกรุทเลดจ์สินะ” เขาบ่นพึมพำอยู่กับตนเองด้วยความเดือดดาล
ความคิดดังกล่าวสร้างความตระหนกให้เกิดขึ้นในใจ ดอจเกอตี้รู้ดีว่า ลึกลงไปในใจแล้วเขาบังเกิดความหวาดหวั่น ว่าอีกไม่นานแล้วที่แคทเธอรีนจะต้องยึดที่ดินผืนนั้นคืนกลับไป ความกลัวนี้ทําให้เขาคิดว่าควรจะต้องหาอะไรดื่มดับมันลงเสียบ้าง
แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นป้าย “มิลเลอร์ เบียร์” หน้าร้านเก่าแก่แห่งหนึ่ง ตัวอักษรที่ซีดจางเหนือประตูทางเข้าบอกชื่อร้านว่า “เย โอลด์ ทาเวิร์น” แต่พวกชาวเมืองที่มักจะแวะเวียนมาที่บาร์แห่งนี้เสมอ เรียกกันตามชื่อเจ้าของร้านว่า บิ๊ก เอ็ดดี้’ส
เขาจอดรถลงตรงที่ว่างหน้าร้าน แล้วจึงได้เดินเข้าไป กลิ่นควันบุหรี่คละเคล้าอยู่กับกลิ่นเบียร์กระจายอยู่
บิ๊ก เอ็ดดี้ ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ เงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นดอจเกอตี้เดินเข้าไป แล้วก็หันกลับไปทางโทรทัศน์ที่กำลังเป็นรายการเกมส์โชว์ อันเป็นเกมส์ที่เขาโปรดปราน
ดอจเกอตี้นั่งลงที่ม้ากลมตัวสุดท้ายของเคาน์เตอร์ พูดห้วน ๆ ว่า
“ขอเหล้าแก้วหนึ่ง”
บิ๊ก เอ็ดดี้ ลงจากม้ากลมตัวที่นั่งอยู่ ล้วงมือเข้าไปใต้เคาน์เตอร์ หยิบขวดเหล้ากับแก้วมาวางลงตรงหน้า แล้วก็ดูรายการโทรทัศน์นั้นต่อไปอย่างไม่สนใจ
ดอจเกอตี้กรอกเหล้าแก้วแรกเข้าปากอย่างกระหาย สัมผัสความร้อนที่ลามลวกลงไปถึงช่องท้อง ด้วยมือที่มั่นคง เขารินเหล้าเดิมลงในแก้วให้ตัวเองเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ดื่มตามเข้าไปเพียงครึ่งแล้วจึงได้วางแก้วลง นึกถึงจดหมายของทนายความที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ มันแนบอยู่กับแผงอก และดูจะร้อนกว่าเหล้าที่ดื่มเข้าไปหลายเท่า
สามหมื่นห้าพันเหรียญ...เขาจะต้องใช้โอกาสถึงสามแสนครั้ง กว่าที่จะหาเงินจํานวนนั้นมาได้ แล้วโอกาสอย่างที่ว่านั้นมันอยู่ที่ไหนกันเล่า...
เขานึกไปถึงสายตาคมกล้าของแคทเธอรีน รุทเลดจ์ ที่จ้องลึกลงไปในดวงตาของเขา ความคิดดังกล่าวทําให้เขาคว้าแก้วเหล้าขึ้นมากรอกใส่ปากอย่างรวดเร็ว รินเติมลงไว้เป็นครั้งที่สาม
เขาไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่หน้าบาร์นั้นนานเท่าไร มือข้างหนึ่งเกาะกุมอยู่กับขวดเหล้า อีกข้างหนึ่งจับแก้วไว้ ขณะนี้บรรดาลูกค้าประจําของร้านเริ่มทยอยกันเข้ามาแล้ว และดอจเกอตี้ก็สังเกตเห็นอยู่ว่าเหล้าในขวดเหลือเพียงแค่ครึ่ง เสียงจากเครื่องรับโทรทัศน์ดังสนั่นแสบแก้วหู บนจอปรากฏภาพของทอม โบรคอว์
มีเสียงครูดของขาเก้าอดังขึ้นใกล้ตัว เมื่อดอจเกอตี้หันไปมองก็เห็นฟิพพ์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ประจำท้องถิ่นกําลังทรุดตัวลงนั่งบนม้ากลมตัวนั้น
“เฮ้...บิ๊กเอ็ดดี้” เสียงลูกค้าเรียกมาจากโต๊ะตัวหนึ่ง “ขอเบียร์อีกสองขวด”
“เออ...เออ...” บิ๊ก เอ็ดดี้ ตอบอย่างคุ้นเคย
ดอจเกอตี้เหลือบตามองไปทางนั้น แล้วก็เห็นช่างเครื่องจากอรถยนต์ในชุดทํางาน ที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำมัน นั่งอยู่กับช่างทาสคนหนึ่ง...มันก็แค่ไอ้พวกกรรมกรเท่านั้นละวะ...เขาคิดอย่างหยามหยันอยู่ในใจ กรรมกรที่เวลาเข้าทํางานจะต้องลงเวลา คอยแต่จะรับคําสั่งจากคนอื่น มันก็แค่นั้น
คนอย่างเขาไม่มีวันเป็นเช่นนั้นแน่ เกิดมาในชีวิตดอจเกอตี้ไม่เคยรับคําสั่งจากใคร เขาเป็นนายของตัวเองเสมอมา แล้วเขาก็ยังมีไร่องุ่น...เขา...
เขานึกถึงเอกสารในกระเป๋าเสื้อ ความไม่สบายใจอย่างรุนแรงเกิดขึ้นอีกครั้ง สิ่งเดียวที่ดอจเกอตี้แน่ใจอย่างที่สุดก็คือ...เขาจะสูญเสียที่ดินผืนนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าไม่มีไร่เขาจะไปทํามาหากินอะไรเล่า จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร...
เพราะฉะนั้น เขาจะต้องหาทางยับยั้งไม่ให้รุทเลดจ์มาแย่งชิงที่ดินคืนกลับไป เขาจะต้องมองหาหนทางที่จะทําให้ได้เงินจํานวนนั้นมา...แต่จะหาได้ยังไง... จะหาจากที่ไหนกันเล่า...