บทที่ 3
เมื่อเหล้าองุ่นของนางได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันในเรื่องของรสชาติ คําเรียกขานดังกล่าวได้เปลี่ยนความหมายไปเป็นความเคารพนับถือ และที่ยิ่งกว่านั้นคือริษยาในความสําเร็จที่แคทเธอรีนได้รับ
ขณะเดียวกัน คล้อด บรูซซาร์ด ก็พลอยมีชื่อเสียงเลื่องลือไปด้วย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ทำให้เขาเชิดหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ แต่แล้วแววนั้นก็จางลงเมื่อเหลือบไปเห็นรถบูอิดเก่าคร่ำคร่าคันนั้นวิ่งเข้ามาและจอดลงอย่างกะทันหัน ฝุ่นละอองจับเขรอะอยู่ตรงหน้าหม้อและตัวถัง คล้อดเหลือบตามองแคทเธอรีนอย่างกังวล
เขาทันสังเกตเห็นแววแห่งความไม่พอใจที่ฉาบขึ้นในสีหน้าของนางเมื่อเห็นเลน ดอจเกอตี้ ก้าวลงจากรถ แต่สีหน้าของแคทเธอรีนก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบไร้ความรู้สึกอย่างรวดเร็ว
นางจับตามองเรือนผมสีเทากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้นอยู่ กางเกงสีเขียวมะกอกกับเสื้อเชิ้ตลายทางที่เขาสวมใส่ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ยังพอจะช่วยเสริมส่งบุคลิกของเลน ดอจเกอตี้ ไว้ได้บ้าง
“คุณจะมาทํากับผมแบบนี้ไม่ได้” เขาเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะใช้น้ำหอมอย่างดีดับกลิ่นแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่มากพอที่จะกลบกลิ่นเหล้าที่อยู่ในลมหายใจ “คุณจะมายึดไร่องุ่นของผมไปง่าย ๆ ไม่ได้ ที่ดินนั่นมันของผมมันเป็นของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“ถ้าคุณไม่ต้องการให้ฉันยึดที่ดินนั่น หน้าที่ของคุณก็มีอยู่เพียงอย่างเดียวคือหาเงินมาใช้ฉันเสียก็สิ้นเรื่อง ที่ดินมันก็จะกลับไปเป็นของคุณโดยอัตโนมัติเองนั่นแหละ คุณดอจเกอตี้” แคทเธอรีนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แต่เงินมันมากกว่าสามหมื่นห้าพันเหรียญ” ดอจเกอตี้เมินหน้าไปเสียทางหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายด้วยน้ำที่หล่อเลี้ยง สันกรามขบกันแน่นมือไม้สั่นระริก “ผมคงหาเงินจํานวนนั้นมาคืนให้ก่อนสิ้นเดือนตุลาฯ ไม่ทันหรอก เงินตั้งมากมายมันต้องใช้เวลานานกว่านั้นหน่อย คุณก็รู้ว่าตั้งแต่เมียผมตาย ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ดูจะยากลําบากสําหรับผมไปเสียหมด...”
“อันที่จริง เมียคุณก็ตายมากว่ายี่สิบปีแล้วนะ” น้ำเสียงคมเข้มของแคทเธอรีนยามนี้สามารถจะตัดกระดูกให้เป็นชิ้นส่วนตามต้องการได้ “คุณเองก็ได้รับประโยชน์จากความตายของเมียมามากพอแล้ว เพราะฉะนั้นคงจะหาต่อไปอีกไม่ได้”
ใบหน้าของเลน ดอจเกอตี้ แดงก่ำ มันช่วยผิวพรรณที่ซีดเผือดลงด้วยสุขภาพที่เสื่อมโทรมดูค่อยสีสันขึ้นบ้าง
“คุณน่ะเป็นผู้หญิงแก่ที่ใจดำที่สุด เพราะยังงี้ไงล่ะ มันถึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ที่แม้แต่กิล ลูกชายของคุณเองก็ยังเกลียดชังแม่”
ความรานร้าวที่เกิดขึ้นกับแคทเธอรีนในยามนี้ มันรุนแรงนัก มันเป็นความเจ็บปวดของแม่คนหนึ่งที่จะสัมผัสได้ เมื่อเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองแท้ ๆ แสดงออกถึงความเป็นศัตรูคู่อาฆาต ความเจ็บร้าวที่ไม่เคยคลายคลาลงแม้เวลานานนับปีจะผ่านไป แต่ดูจะยิ่งกัดกร่อน เป็นบาดแผลที่ลึกลงในใจ เช่นเดียวกับความเกลียดชังของกิลเบิร์ตที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นกับจิตใจของเขาเอง
แคทเธอรีนยืนตัวแข็งไปในทันทีเมื่อได้ยินดอจเกอตี้กล่าวประณามออกมาเช่นนั้น แต่แล้วนางก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสงบราวไม่รู้สึกกระทบกระเทือนจากคําพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องส่วนตัวระหว่างฉันกับกิลเบิร์ต ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องการพูดกับคุณในวันนี้หรอกนะ คุณดอจเกอตี้”
ดอจเกอตี้รู้ว่ายกนี้เขาเป็นฝ่ายชนะ เพราะฉะนั้นเขาต้องรุกฆาตต่อไป
“คุณคงแทบคลั่งสินะ เมื่อได้รู้ว่าเวลานี้โรงงานกลั่นเหล้าองุ่นของเขากําลังประสบความสําเร็จเช่นเดียวกับรุทเลดจ์ เอสเตท แต่ใครจะรู้จริงไหมล่ะ...ว่าสักวันหนึ่ง เดอะ คลอยสเตอร์ อาจจะยิ่งใหญ่กว่าก็เป็นได้”
รถจี๊ปสีน้ำตาลแล่นเข้ามาจอดใต้ร่มเงาของอบเชย จากปลายหางตา แคทเธอรีนมองเห็นแซม รุทเลดจ์ หลานชายก้าวลงจากรถ
“ฉันมองไม่เห็นว่า เรื่องที่คุณกําลังพูดอยู่ในตอนนี้มันจะเกี่ยวพันประเด็นสําคัญที่เราจะต้องพูดจากันให้รู้เรื่องตรงไหนเลยคุณดอจเกอตี้” นางยกไม้เท้าขึ้นไปยังเอกสารที่เขาถืออยู่ในมือ “ฉันเห็นอยู่ว่าเวลานี้คุณได้รับจดหมายจากทนายความแล้ว เพราะฉะนั้นคุณจะชดใช้หนี้สินจํานวนนั้น หรือว่าจะให้เรายึดไร่นั่น เลือกเอาเองก็แล้วกัน”
“ผมจะสาปแช่งคุณ” ดอจเกอตี้ร้องออกมาด้วยความแค้นเคือง “คุณว่าวิธีนี้จะชนะผมได้สินะ แต่เราจะได้เห็นกัน เพราะก่อนที่ผมจะปล่อยให้คุณมายึดครองที่ดินผืนนั้นง่าย ๆ ผมจะเผาให้มันพินาศไม่เหลืออะไรไว้เลย”
“ก็เอาสิ” แซมซึ่งเดินเข้ามาสมทบเอ่ยขึ้น “จะได้ช่วยเราประหยัดค่าจ้างรถมาไถทิ้ง” เขาหันไปทางแคทเธอรีนพร้อมกับกล่าวว่า “เมื่อวันเสาร์ก่อนผมเอาเดอะคับ บินไปดูไร่ของเขามาแล้วละครับ” เดอะ คับ คือเครื่องบินเก่าแก่ขนาดสองเครื่องยนต์ซึ่งมีที่นั่งเพียงสองที่ ซึ่งแซมได้นํามาปรับปรุงเสียใหม่เพื่อใช้บินตรวจท้องที่เมื่อสองปีก่อน
“ขนาดมองลงมาจากข้างบน ยังเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาปล่อยไร่นั้นไว้อย่างขาดความเอาใจใส่โดยสิ้นเชิง มันไม่เหลืออะไรแล้วละครับ นอกจากเถาองุ่นที่ไร้ค่าขึ้นรกเป็นป่า แถมยังมีพวกพุ่มไม้ วัชพืชขึ้นเต็มแน่นไปหมด”
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่” ดอจเกอตี้ร้องลั่น รีบแก้ตัวต่อว่า “คุณก็รู้ว่าพักหลัง ๆ นี่สุขภาพของผมมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“ไปให้พ้น” แคทเธอรีนจ้องหน้าดอจเกอตี้ด้วยสายตาเยียบเย็น “ฉันเบื่อหน่ายกับไอ้คํารําพันถึงความทุกข์ยากของคุณเต็มที แล้วฉันก็แก่เกินกว่าจะมาเสียเวลาอันมีค่ารับฟังเรื่องราวที่ไร้สาระของคุณ” นางหันไปทางแซม “พาฉันเข้าบ้านทีโจนาธอน”
มันออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกอยู่เหมือนกัน ที่จนกระทั่งทุกวันนี้แคทเธอรีนก็ยังเรียกหลานชายด้วยชื่อบิดาของเขา และแซมก็ไม่ได้คิดที่จะช่วยแก้ไขให้ถูกต้องด้วย ตอนที่โจนาธอน บิดาของแซมเสียชีวิตลงนั้น เขาเพิ่งจะอายุสิบสี่ ยังเด็กอยู่มาก และนับแต่นั้นเป็นต้นมาที่แคทเธอรีนมักจะเรียกชื่อเขากับพ่อสลับกันอยู่เสมอ บางครั้งก็เรียกแซม บางครั้งเมื่อเผลอไผลหรือเกิดความเคืองขุ่นขึ้นในอารมณ์ก็จะเรียกโจนาธอน เมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบปี แซมก็เลิกสนใจกับเรื่องชื่อแล้ว
เขาพาแคทเธอรีนไปที่รถจี๊ป ประคองให้นั่งด้านผู้โดยสารแล้วจึงได้เดินอ้อมไปยังด้านคนขับ เมื่อเหวี่ยงร่างขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย เขาก็ได้ยินเสียงแคทเธอรีนถอนหายใจออกมาอย่างขุ่นเคือง
“คิดเรื่องดอจเกอตี้หรือครับ” แซมเอ่ยถามออกไป เหลือบตามองหน้าย่าแวบหนึ่งขณะออกรถ “ผมมีความรู้สึกอยู่ว่า ดอจเกอตี้จะต้องสร้างความยุ่งยากให้กับเราก่อนที่เรื่องจะจบลง”
“เรื่องดอจเกอตี้น่ะฉันไม่ห่วงหรอกนะ คนอย่างเขาไม่มีปัญญาทําอะไรได้สําเร็จหรอก”
หางเสียงที่ค่อนข้างห้วน เป็นสัญญาณที่บอกให้แซมรู้ว่าควรจะยุติการพูดเรื่องนี้ลงได้แล้ว แคทเธอรีนสามารถปิดประตูหัวใจลงได้กับทุกสิ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกหรือผู้คน เช่นเดียวกับที่นางได้ปิดกั้นอากิลเบิร์ตให้พ้นออกไปจากชีวิต แซมทบทวนความทรงจําเกี่ยวกับเรื่องนั้น ขณะพารถจี๊ปแล่นไปตามเส้นทางที่ค่อนข้างแคบ
ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นนั้น แซมยังอยู่โรงเรียนประจํา ในหุบเขาแห่งนี้มีการวิจารณ์มากมายกับสิ่งที่เกิดขึ้น และมีสาเหตุอีกมากมายเช่นกันที่จะก่อให้เกิดเรื่องขึ้นได้ แต่ละสาเหตุก็น่าจะเป็นความจริงได้ทั้งสิ้น พ่อไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับเขา และแคทเธอรีนเองก็ไม่เคยพูดถึงอยู่แล้ว
แซมรู้แต่เพียงว่า ภายหลังจากที่เกิดเรื่องร้าวฉานถึงขั้นแตกหัก แคทเธอรีนได้สั่งให้ทนายความซื้อหุ้นทั้งหมดที่กิลเบิร์ตมีอยู่ในธุรกิจของครอบครัวกลับคืนมา ซึ่งกิลเบิร์ตได้ใช้เงินจํานวนนั้นบวกกับเงินที่หามาได้จากผู้สนับสนุนทางด้านการลงทุน ซื้อไร่องุ่นซึ่งถูกทิ้งร้างไว้มาแรมปี และอยู่ห่างจากไร่รุทเลดจ์ เอสเตท เพียงแค่ห้าไมส์ สร้างโรงงานกลั่นเหล้าองุ่นขนาดใหญ่ขึ้น ตั้งชื่อว่า “เดอะ คลอยสเตอร์” และประสบความสําเร็จในการนําเหล้าองุ่นชื่อเดียวกันนั้นออกสู่ท้องตลาด ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดตัวแสดงออกถึงความเป็นคู่แข่งของมารดาอย่างออกหน้าออกตา
ในหลายโอกาสที่มารดาและบุตรชายคู่นี้จะต้องเผชิญหน้ากันในงานที่เกี่ยวกับการผลิตเหล้าองุ่น แซมสังเกตเห็นอยู่ว่า คนแปลกหน้าจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบุคคลทั้งสองนี้เป็นแม่ลูกกัน เพราะแม้จะแสดงออกถึงความหมางเมินเหินห่าง แต่ต่างฝ่ายต่างก็มิได้แสดงความมาดร้ายหรือความเป็นอริแก่กัน
แคทเธอรีนจะทักทายกิลเบิร์ตเช่นเดียวกับทักทายผู้อยู่ร่วมในอุตสาหกรรมเดียวกันตามมรรยาท แต่แน่นอนที่การแข่งขันชิงดีจะต้องมีอยู่ ซึ่งก็มิได้เป็นความลับสำหรับผู้ใดเลย
“เมื่อเช้านี้ฉันคุยกับอีมิล” แคทเธอรีนเอ่ยขึ้น อีมิลที่นางกล่าวถึงคือบารอน อีมิล ฟูแยเรอ แห่งชาโต นัวร์ ในฝรั่งเศส “เขาบอกว่าจะไปดูการประมูลไวน์ในนิวยอร์คอาทิตย์หน้านี้ด้วย ฉันเตรียมตัวที่จะพบเขาในงานนั้นอยู่เหมือนกัน”
มือทั้งสองของนางกระชับมั่นอยู่กับหัวไม้เท้าเงิน ไม้เท้านี้เป็นอะไรบางอย่างที่บังคับให้แคทเธอรีนจําต้องยอมรับในสุขภาพร่างกายของตนเอง ภายหลังจากที่นางหกล้มและทําให้ต้องนอนอยู่ในเตียงนานถึงสองสัปดาห์ เนื่องจากกระดูกตรงช่วงสะโพกกับต้นขาแตกร้าว