บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

อุ้งมือของเขากอบกำเนื้อดินภูเขาอยู่เป็นครู่ แล้วจึงได้ปล่อยให้มันร่วงพรูลง ขณะที่แซมยึดมืออยู่นั้นเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่กระหึ่มมาตามถนน บังเกิดความสงสัยอยู่ในใจ ว่าใครเปิดประตูใหญ่ทางเข้าสู่ไร่ค้างไว้ ปกติแล้วไร่ “รุทเลดจ์ เอสเตท” จะไม่เปิดให้ใครเข้าเยี่ยมชมทั้งสิ้น และผู้ที่มาท่องเที่ยวในถิ่นนี้มักจะประสบความผิดหวังเนื่องจากความจํากัดในเรื่องนี้

เขามองไปยังเส้นทางที่คดเคี้ยวบนไหล่เขา แล้วก็ได้เห็นบูอิคแวนสีเขียว-ขาวคนหนึ่ง ซึ่งกําลังวิ่งมาบนเส้นทางสายนั้นฝุ่นม้วนตัวเป็นก้อนอยู่ทางด้านหลัง เสียงเครื่องยนต์ที่ไม่สม่ำเสมอทําลายความสงัดเงียบของบรรยากาศอยู่

แซมจํารถที่มีอายุกว่าสิบปีคันนั้นได้ แม้จะไม่เห็นป้ายที่เขียนไว้ข้างรถว่า “รีเบคก้า’ส ไวน์ยาร์ด” เพราะทั้งหุบเขาแห่งนี้จะมีรถแบบนี้อยู่เพียงคันเดียวซึ่งเป็นของเลน ดอจเกอตี้ ซึ่งก็เช่นเดียวกับที่ดินจํานวนสิบเอเคอร์ที่ดอจเกอตี้ตั้งชื่อว่าไร่องุ่น “รีเบคก้า’ส ไวน์ยาร์ด” นั่นเอง

ซึ่งครั้งหลังสุดที่แซมได้เห็นสภาพของไร่องุ่นแห่งนั้น มันรกรุงรังด้วยเถาองุ่นที่พาดพันกันอย่างไร้ระเบียบ น่าจะเรียกว่าป่าองุ่นมากกว่า แต่เขาก็ไม่ได้แปลกใจกับสภาพของไร่ที่ได้เห็นแม้แต่น้อย เพราะเลน ดอจเกอตี้ เพียงแต่ใช้อาชีพทําไร่องุ่นบังหน้า ส่วนอาชีพที่แท้จริงของเขาคือ การดื่มเหล้าแล้วก็ก่อการวิวาทอยู่ตลอดเวลา

เขาเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ที่สุดในความรู้สึกของแซม และไม่ได้รู้สึกเห็นใจกับปัญหาทางด้านการเงินที่ดอจเกอตี้ประสบอยู่เลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกดังกล่าวปรากฏอยู่ในสีหน้า เมื่อบูอิคคันนั้นหยุดลงด้วยอาการกระชากกระชั้น กลุ่มฝุ่นที่ลอยตัวฟุ้งขึ้นแทบจะบดบังไว้ก่อนที่สายลมจะพัดพาผ่านไป

“หล่อนอยู่ไหนล่ะ” เลน ดอจเกอตี้ ชะโงกหน้าออกมาถามด้วยน้ำเสียงตะคอก สีหน้าของเขาในยามนี้บอกความเกรี้ยวกราดอยู่ “เฮ้ย...ตอบเสียทีสิโว้ย ว่าหล่อนอยู่ไหน”

“คุณคงจะหมายถึงแคทเธอรีนสินะ” ตั้งแต่วัยเด็กมาแล้วที่แซมเรียกขานย่าของตนเองชื่อต้น ขณะที่เข้าไปใกล้นั้น เขาไม่จําเป็นต้องเดาเหตุผลว่าเพราะเหตุใดดอจเกอตี้จึงต้องการพบย่า เพียงแค่เดาจากสีหน้าก็พอจะรู้ได้

“แกรู้ดีกว่าใครว่าฉันหมายถึงใคร” ดอจเกอตี้ตอบเสียงกร้าวพร้อมกับหรี่ตาลง “และฉันขอพูดให้แกรับรู้ไว้เหมือนที่ฉันพูดกับหล่อนนั่นแหละ ว่าหล่อนไม่มีอํานาจอะไรที่จะมาเอาที่ดินผืนนั้นไปจากฉันได้” เขาเมินหน้าไปเสียทางหนึ่งอันเป็นนิสัยที่ไม่เคยประสานสายตากับใครได้นาน “ไร่องุ่นนั่นมันของฉัน แกไม่มีสิทธิ์ที่จะมายึดครอง”

“แต่ผมว่า... ไม่ว่าคุณจะไปถามทนายความคนไหนในเมืองนี้เขาก็จะต้องให้คําตอบอีกอย่างหนึ่งนะดอจเกอตี้” แซมตอบออกไปในทันที “คุณกู้เงินไปจากรุทเลดจ์ เอสเตท แล้วก็เอาที่ดินผืนนั้นมาค้ำประกันไว้ ในเมื่อจนป่านนี้แล้วคุณก็ยังหาเงินจํานวนนั้นมาใช้คืนไม่ได้ เราก็ต้องยึดที่ดิน เรื่องมันก็ง่าย ๆ แค่นั้น แล้วก็ยังเป็นการกระทําที่ถูกกฎหมายด้วย”

“ไอ้กฎหมายฉ้อโกงน่ะสิ” ดอจเกอตี้ร้องอย่างเดือดดาลก่อนจะกระชากรถออกจากที่นั้น

แซมมองกลุ่มฝุ่นที่ลอยตัวขึ้นบดบังจนกระทั่งรถคันนั้นลับหายไปจากสายตา เขาถอดหมวกออกยกขึ้นเสยเรือนผมสีน้ำตาลที่ค่อนข้างหนา อันที่จริงเขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าดอจเกอตี้จะต้องแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่ความขุ่นเคืองของแซมที่มีต่อชายผู้สูงอายุผู้นี้ อยู่ตรงที่ว่าดอจเกอตี้ทิ้งที่ดินผืนนั้นไว้ราวกับมันเป็นสิ่งไร้ค่า

ครั้งหนึ่ง ที่ดินจำนวนสิบเอเคอร์นั้นเคยเป็นสมบัติของรุทเลดจ์ เอสเตท มาก่อน เมื่อประมาณหกสิบปีก่อน พ่อของดอจเกอตี้เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ ทิ้งภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ไว้โดยไม่มีทั้งเงินและที่อยู่อาศัย ด้วยความสงสารและความสํานึกว่ามันเป็นหน้าที่ แคทเธอรีนได้ยกบ้านหลังหนึ่งกับที่ดินสิบเอเคอร์ให้แม่หม้ายผู้นั้นได้อยู่อาศัยและทํากินต่อไป

เท่าที่แซมจําได้ สมัยนั้นที่ดินดังกล่าวก็ยังรวมอยู่ในที่ดินของรุทเลดจ์ เอสเตท เขายกหมวกขึ้นสวมเหลือบตามองดวงอาทิตย์ ในช่วงเวลานี้ถ้าดอจเกอตี้ไปที่บ้าน ก็จะพบแคทเธอรีนนั่งอยู่กับพ่อเฒ่าคล้อดแน่

แซมปีนขึ้นไปบนจี๊ป ห่อร่างซึ่งมีความสูงหกฟุตหนึ่งนิ้วเข้าไปในที่นั่งคนขับ แล้วก็พารถออกไปในเส้นทางเดียวกันกับดอจเกอตี้ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเขาจะต้องรีบไปให้ความช่วยเหลือย่าแต่อย่างใด แม้ทุกวันนี้แคทเธอรีนจะอยู่ในวัยเก้าสิบ แต่นางก็ยังมีความสามารถที่จะจัดการกับเลน ดอจเกอตี้ ได้อย่างดี ไม่ใช่แต่ดอจเกอตี้คนเดียว จะเป็นใครก็ตามที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมด้วยแล้วแคทเธอรีน รุทเลดจ์ สามารถจัดการได้โดยง่ายทั้งสิ้น

ร่มเงาของต้นอบเชยช่วยให้ลานดินที่อยู่ด้านนอกของไร่องุ่นรุทเลดจ์ เอสเตท เย็นชื่นกว่าบริเวณอื่น และที่ใกล้กันนั้นคือที่ตั้งของโรงงานขนาดสามชั้นครึ่งซึ่งสร้างมากว่าร้อยปีอันงามสง่า ยอดหลังคาทรงกลมเหมือนถ้วยคว่ำนั้นคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความสง่าและศักดิ์ศรีของตระกูล

ประตูไม้บานคู่ขนาดมหึมาคือทางเข้าสู่โรงงานต้มกลั่นสุรา ขณะที่บานหนึ่งเปิดกว้างอยู่ และจากประตูบานนี้เองที่แคทเธอรีน รุทเลดจ์ เดินผ่านออกมามีไม้เท้าสีดําหัวเงินเป็นเครื่องช่วยในทุกย่างก้าว นางเป็นผู้หญิงร่างแบบบาง น้ำหนักตัวไม่ถึงร้อยปอนด์ แต่ท่าทางเดินนั้นสง่างามนัก และเพราะช่วงไหล่กับแผ่นหลังที่ตั้งตรงนี้เอง ที่ทําให้ผู้คนวิจารณ์นางอยู่ลับหลังว่า กระดูกสันหลังของนางนั้นทําด้วยเหล็ก

คล้อด บรูซซาร์ด ผู้อ่อนวัยกว่าแคทเธอรีนสิบห้าปีเดินเคียงข้างมาด้วย เขาดํารงตําแหน่งผู้จัดการโรงงานกลั่นเหล้าองุ่นให้รุทเลดจ์ เอสเตท มานับแต่วันที่กฎหมายห้ามต้มกลั่นและจําหน่ายสุราถูกยกเลิกไป

บุรุษวัยเจ็ดสิบห้าผู้นี้เป็นชาวฝรั่งเศสโดยกําเนิด รูปร่างล่ำสัน มือไม้ใหญ่โต ไหล่กว้าง และที่ราวจะใหญ่กว่าไหล่คือแผงอก วัยที่ผ่านไปทําให้หน้าท้องพองยื่น เรือนผมพลอยเปลี่ยนเป็นสีเทาตามวันวัยไปด้วย

แต่ท่าทางเดินเหินของเขานั้นก็เช่นเดียวกับแคทเธอรีน คือฝีเท้าที่หนักแน่นมั่นคง บ่งบอกถึงความแข็งแรงของร่างกายที่มิได้เสื่อมถอยลงแม้วัยจะผ่านไป

เมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมานี้เอง เขาได้แสดงพละกำลังมหาศาลของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อถังเหล้าองุ่นขนาดใหญ่ใบหนึ่งกลิ้งลงจากฟอร์คลิฟต์ และคล้อดได้เข้าไปแบกลังใบนั้นเอาขึ้นวางบนฐานรองรับได้ราวกับมันเป็นถังธรรมดาที่ไม่ได้มีความจุขนาดสามสิบแกลลอนเลย

“เมื่อเช้านี้มีผู้ชายคนหนึ่งชื่อเฟอร์กูสันมาที่โรงงาน” เขารายงานให้แคทเธอรีนรับทราบ “เขาซื้อไร่องุ่นจากคูเปอร์ไว้และตอนนี้อยากจะเอาองุ่นของเขามาขายให้เรา”

“ไม่เข้าเรื่อง” แคทเธอรีนตอบออกไปทันที สําเนียงของนางยังแฝงความเป็นชาวยุโรปอยู่ “เราจะไปซื้อองุ่นของเขาได้ยังไงในเมื่อไม่รู้ว่าพันธุ์มันดีเลวขนาดไหน องุ่นทุกต้นที่ขึ้นอยู่ในไร่ของเรา ฉันปลูกมาด้วยมือตัวเองทั้งนั้น บํารุงรักษามันมาอย่างดีตั้งแต่ต้นยังอ่อนจนแก่พอมีลูกให้เราได้ คุณก็รู้ว่าเหล้าองุ่นรุทเลดจ์น่ะจะกลั่นจากองุ่นในไร่ของรุทเลค์จเท่านั้น ถ้านายคนนั้นมาที่นี่อีกละก้อบอกเขาไปตามนี้ด้วย”

“ครับผม มาดาม” คล้อด บรูซซาร์ด พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเต็มที่

เขาเรียกขานแคทเธอรีนว่า “มาดาม” มาตั้งแต่ครั้งยังเด็กเมื่อพบกันครั้งแรกในฝรั่งเศส และไม่เคยเรียกว่า “มาดามรุทเลดจ์” ยิ่ง “แคทเธอรีน แล้วราวจะเป็นชื่อต้องห้ามที่เขาไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ทีเดียว สําหรับเขา แคทเธอรีนคือ “มาดาม” ง่าย ๆ สั้น ๆ เพียงแค่นั้น

มันจึงมิใช่เรื่องผิดปกติธรรมดาแต่อย่างใด ที่บุคคลในวงการอุตสาหกรรมผลิตเหล้าองุ่น จะเรียกเหล้าองุ่นภายใต้ตรารุทเลดจ์ เอสเตท ว่า “มาดาม’ส ไวน์”

ช่วงระยะสิบปีหลังของการยกเลิกกฎหมายฉบับห้ามผลิตและจําหน่ายสุรานั้น คําเรียกขานดังกล่าวคล้ายจะเป็นการหยันเยาะที่นางผลิตเหล้าองุ่นแดงออกมาแข่งขันกับเหล้าองุ่นบอร์ด๊วกซ์ อันมีชื่อเสียงของฝรั่งเศส

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel