บทที่ 1
รถแวนซึ่งเป็นรถถ่ายทอดโทรทัศน์ด้วยการส่งสัญญาณภาพโดยระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี.ประจําท้องถิ่น มีตรา “นิวส โฟร์” ติดอยู่ด้านข้างจอดสงบอยู่ห่างจากเพลย์เมท อาช ในเซ็นทรัล ปาร์ค เล็กน้อย
ขณะนี้ตรงบาทวิถี ช่างกล้องคนหนึ่งกําลังวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมที่จะถ่ายทอดรายการ “ไลฟ์ แอท ไฟว์” อยู่ ทางเบื้องหลังเครื่องกั้นที่เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยของสวนสาธารณะนํามาจัดตั้งไว้ มีผู้คนเข้ามายืนมุงดูอยู่ในท่ามกลางความแรงร้อนของแสงอาทิตย์ยามบ่ายของเดือนสิงหาคม
เสียงเพลงสมัยเก่าที่ดังมาจากเครื่องขยายเสียงภายในสวนสาธารณะแห่งนั้น ดูจะดังกว่าเสียงเครื่องยนต์ที่ครางกระหึ่มอยู่เมื่อเคลลี่ ดักลาส ก้าวออกมาจากความเย็นชื่นของเครื่องปรับอากาศภายในตัวรถ
เธอทํางานในตําแหน่งผู้ร่วมจัดรายการภาคค่ำของสถานิเอ็นบีซี. ซึ่งเป็นสถานีส่วนท้องถิ่นแห้งนี้มาเกือบจะสองปีแล้ว และขณะนี้เธอก็แต่งหน้าทําผมไว้อย่างเต็มที่ เตรียมพร้อมที่จะออกรายการดังกล่าว
“เฮ้ เคลลี่” เอ็ดดี้ ไมเคิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคร้องเรียกขึ้นขณะเดินกระวีกระวาดเข้ามาหา “ร้อนจริง ๆ ให้ตายสิ” เขายกไหล่ขึ้นเช็ดเหงื่อที่ลามไหลอยู่บนใบหน้า “สงสัยว่าในที่ร่มปรอทคงสักร้อยละมัง”
“อย่างน้อย...” เคลลี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้น “ขอต้อนรับสู่นิวยอร์คซึ่งมีห้องอบไอน้ำธรรมชาติให้ได้ใช้กันอย่างทั่วหน้าเมื่อถึงหน้าร้อน”
“คุณพูดถูกที่สุดเลย” เขาขยับจะผละไป แต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เออ...ผมอยากจะบอกคุณว่า ผมชอบที่คุณสัมภาษณ์คุณหญิงเบลนเมื่อวันก่อนมากเลยนะ คุณทําให้เธอถึงกับแสดงความอึดอัดแถมยังพูดตะกุกตะกัก ตอนที่คุณชี้ให้เธอเห็นถึงความขัดแย้งในคําพูดของเธอเองอย่างมากเลย คุณไม่ควรแสดงความเห็นอกเห็นใจแล้วก็เลิกพูดเรื่องนั้นง่าย ๆ เลยนี่เคลลี่”
แต่เคลลี่กลับส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า
“ฉันน่ะเรียนรู้มาตั้งแต่ครั้งอยู่ไอโอว่าแล้ว ว่าเราไม่ควรเอาชนะคู่ต่อสู้ที่หมดอาวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ต่อสู้ซึ่งมีเพื่อนผู้มีอิทธิพลอยู่มากมายอย่างนั้น”
“มันก็จริงอยู่หรอก” เขาหัวเราะลึกในลําคอ
“แน่นอน” รอยยิ้มของเคลลี่กว้างขึ้น ก่อนจะพูดเป็นเชิงเตือนสติเพื่อนร่วมงานต่อว่า “การที่เรามีเจตนาที่จะทําให้ใครคนหนึ่งต้องเสียหน้าอย่างแรง คือวิธีการสร้างศัตรูเร็วที่สุด”
“สงสัยว่าคุณจะเรียนรู้การโตเป็นสาวมาจากไอโอว่าด้วยละมัง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
“ย่อมเป็นธรรมดา” เคลลี่ตอบหน้าตาเฉยก่อนจะหัวเราะออกมาดัง ๆ แล้วจึงได้เดินไปสมทบกับช่างกล้องที่กําลังทํางานอยู่บนบาทวิถีอันเป็นทางเข้าสู่ประตูชัยที่ด้านบนมีหลังคาทรงโค้ง
ตอนที่เธอเดินเข้าไปใกล้ช่างกล้อง ก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งที่ตะโกนทักทายมาจากกลุ่มคนที่ยืนมุงดูอยู่ด้วยน้ำเสียงที่แสดงความสนิทสนม
“เฮ้ เคลลี่ ออกมาเดินอยู่ในเซ็นทรัล ปาร์ค อย่างนี้ ไม่กลัวหรือไง”
“กลัวคุณคนเดียวเท่านั้นละค่ะ” เธอตอบอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มที่เกลื่อนอยู่บนใบหน้า สอดส่ายสายตามองหาผู้ชายคนนั้น
แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ห่างจากคนอื่น ๆ ในท่าที่ยืนหันข้างให้ เรือนผมสีดําสนิทของเขาเริ่มมีสีเทาขึ้นแซมแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายทาง นุ่งกางเกงกอล์ฟสีเขียวซีด
นอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่แล้ว... ก็ยังมีอะไรบางอย่างที่เตือนความจําของเธอ... ริมฝีปากที่เหยียดยื่นราวแสยะยิ้มอยู่ตลอดเวลา...
เคลลี่เย็นวาบไปทั่วไขสันหลังเมื่อเห็นเขาเข้า ภาพแห่งความทรงจําอันน่ากลัวที่ผ่านแว่บเข้ามาในดวงความคิดตรึงร่างเธอให้ยืนชะงักอยู่กับที่...เธอมองเห็นภาพกำปั้นที่ฟาดโครมลงมา ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ได้รับจากการตบด้วยกําปั้นในครั้งกระนั้นมันเหลือจะกล่าว มันทําให้เธอถึงกับร้องไม่ออก ใบหน้าสะบัดไปด้วยแรงตบ กลิ่นหืนของลมหายใจที่คลุ้งอยู่ด้วยส่าเหล้า น้ำเสียงแผ่วเบาแกมสะอื้นวิงวอนอยู่ด้วยความตื่นกลัว
“อย่า...อย่าตีหนูอีกเลยนะคะแด้ดดี้...อย่าตีหนู...”
เธอแว่วเสียงผรุสวาท ลิ้มทั้งรสและกลิ่นของเลือดที่ซึมอยู่ในปาก
ดังนั้น กับภาพที่กําลังเห็นอยู่ในยามนี้ มันทําให้เคลลี่ถึงกับยืนตะลึงไป แต่ขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นระทึกด้วยความตื่นกลัว
เขาตามหาเธอพบได้อย่างไร...เขาทําได้อย่างไรในเมื่อเวลามันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว...เมื่อมาถึงเวลานี้เธอได้สร้างชีวิตใหม่ให้กับตนเอง ผู้คนทั่วไปต่างนิยมชมชอบ เคารพนับถือในความสามารถของเธอ พระเจ้า...เธอจะยอมให้เขากลับมาทําลายทุกสิ่งที่เธอได้สร้างขึ้นไว้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด... เธอจะไม่ยอมให้เขาทําร้ายเธอได้อีกต่อไป...
“เคลลี่ เป็นอะไรไปหรือเปล่า” เสียงใครคนหนึ่งร้องถามขึ้น “ทําไมหน้าตาซีดเผือดยังงั้นล่ะ”
เธอไม่อาจตอบคําถามนั้นได้ ไม่อาจละสายตาจากภาพตรงหน้า และในตอนนั้นเองที่ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามา ทําให้เธอสามารถมองเห็นเขาได้อย่างเต็มตา ปรากฏว่าไม่ใช่เขา... ไม่ใช่คนที่เธอเฝ้าหวาดหวั่นในตัวเขามาจนกระทั่งทุกวันนี้ เธอหลับตาลงระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
ในที่สุดสายตาที่พร่าเลือนจึงได้เห็นภาพของหญิงสาวคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชัดเจนขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก มันร้อนมากไปหน่อยเท่านั้น” เธอตอบผู้ช่วยฝ่ายจัดรายการ เมื่อมาถึงวันนี้เธอสามารถกล่าวคําเท็จได้อย่างคล่องแคล่ว “หายแล้วละ
หญิงสาวผู้นั้นพยักหน้าอย่างคลายใจ เมื่อเห็นสีหน้าของเคลลี่แดงเรื่อขึ้น
“ก็ดีแล้วละ แพตตี้ คัมมินส์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสวนสัตว์ของเซ็นทรัล ปาร์ค อยู่ที่นี่แล้ว ฉันคิดว่าบางทีเธออาจจะอยากคุยกับเขาเสียหน่อยก่อนออกอากาศ”
“ดีทีเดียว” เคลลี่หันกลับไปมองผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่เขาคนที่อยู่ในความคิดของเธอคนนั้น
มันจะเป็นเขาไปได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้เขายังอยู่ในแคลิฟอร์เนีย ฝังตัวเองอยู่ในหุบเขาที่มีชื่อว่า “นาพ่า วอลเลย์” เธอย่อมปลอดภัยอย่างแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรเลย
ไร่องุ่นอบอยู่ด้วยความร้อนของดวงอาทิตย์แห่งเดือนสิงหาคม เถาองุ่นทิ้งตัวลงตามแนวลาดของภูเขาที่เป็นลอนสูง ๆ ต่ำ ๆ อย่างมีระเบียบ มันหยั่งลากลึกลงในเนื้อดินปนทราย ดึงดูดความชุ่มชื้นและรสชาติที่แตกต่างกว่าเนื้อดินแหล่งอื่นขึ้นมาอย่างเต็มที่ ถ้าจะว่าไปแล้วเนื้อดินที่นี่มิได้สมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุมากพอที่จะปลูกพืชไร่ชนิดอื่นได้ แต่กระนั้นองุ่นที่เป็นผลผลิตของไร่แห่งนี้ เมื่อนําไปกลั่นเป็นเหล้า จะได้เหล้าองุ่นที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุดในนาพ่า วอลเลย์...บางคนถึงกับกล่าวว่าดีที่สุดในโลกด้วยซ้ำ
เหล้าองุ่นรุทเลดจ์ กลั่นจากผลองุ่นรุทเลดจ์ที่เจริญเติบโตมาด้วยเนื้อดินในไร่ของรุทเลดจ์
รถจี๊ปสีน้ำตาล ซึ่งมีตราประจําไร่รุทเลดจ์ติดอยู่ที่ประตูทั้งสองด้านจอดอยู่บนไหล่ถนนดินลูกรังที่มีหญ้าขึ้นปกคลุม แซม รุทเลดจ์ กําลังเดินช้า ๆ กลับไปที่รถคันนั้น หยุดเดินเป็นระยะ ๆ จับช่อองุ่นที่สุกงอมได้ที่พลิกดูอย่างพิจารณาอยู่
ในวัยสามสิบหก ตรงมุมปากและหางตาของเขาเป็นรอยย่นลึก แต่วันเวลาที่ผ่านไปมิได้ทําให้จุดกระที่กระจายอยู่ใต้ผิวหน้าที่คล้ำแดดเกรียมลมจางลง เขาสวมกางเกงสีเนื้อเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีฟ้า ซึ่งพับแขนขึ้นถึงข้อศอกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่บ่งบอกถึงความแข็งแรงของร่างกาย สวมหมวกปีกกว้างสีน้ำตาลที่เก่าคร่ำคร่า แต่มันก็ยังประโยชน์ที่ช่วยกันแสงแดดอันแรงร้อนไว้ได้
เมื่อเขาเดินมาถึงรถจี๊ป แซม รุทเลดจ์ ได้โน้มตัวกอบดินที่ร่วนซุยขึ้นมา...
นี่คือดินของรุทเลดจ์ ซึ่งก็เช่นเดียวกับองุ่นพันธุ์ดีในไร่ ชีวิตของเขาข้องเกี่ยวผูกพันอยู่กับมันแบบที่เขาต้องการให้เป็น
ทั้งที่ยังกดินไว้ในมือ แซมเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปโดยรอบหุบเขาอันเป็นแหล่งของไร่องุ่นที่มีชื่อเสียง มองเห็นเทือกเขามายาคามาสทางฟากตะวันตก ขนานอยู่กับเทือกเขาชายฝั่งทะเล อันเป็นประหนึ่งปราการของหุบเขาแห่งนี้ทางด้านตะวันออก สีเขียวเข้มของป่าสนและโอ๊คครอบคลุมอยู่ตามแนวลาด ตัดกับสีเหลืองหม่นของฤดูร้อนอย่างเห็นได้ชัด
และที่เสียดยอดขึ้นสู่ขอบฟ้าเบื้องทิศเหนือนั้น คือภูเขาที่มีชื่อว่าเซ้นท์ เฮเลน่า ตระหง่านอยู่ทางด้านหัวของหุบเขาภายใต้โค้งครอบฟ้าสีครามเข้มปราศจากเมฆหมอกบดบัง เป็นแผ่นดินที่ได้รับฝนพอประมาณแสงแดดจะแรงกล้าอยู่เกือบตลอดเวลา จะมีก็แต่ม่านหมอกอันเย็นเยือกที่พัดมาจากมหาสมุทรแปซิฟิคกับความร้อนราวอยู่ในเตาอบที่แผ่ออกมาจากภูเขา เถ้าลาวาที่ค้างแข็ง ในความรู้สึกของแซมมันเหมือนเบ้าหลอมโลหะธรรมชาติ