ตอนที่ 9 พึงใจ 1
สัมพันธ์ชายหญิงเป็นปริศนา ถ้ามีพรหมลิขิตต่อกัน เจ้าจะรู้ทันที เมื่อได้มองสบตา
แสงตะวันส่องสว่างลงมา ผ่านหมู่พฤกษาคล้ายแสงโคมหลายร้อยดวงที่ลอดผ่านช่องเล็กๆ ลงกระทบพื้นหญ้า
กลางพนาเขียวขจี หนึ่งบุรุษหนุ่มแน่นหนึ่งสตรีนางน้อย ต่างจ้องมองสบประสานสายตา
ฝ่ายหนึ่งนั่งสง่าบนหลังอาชาสีดำ บนอาภรณ์สีม่วงเข้มมีคันศรสีทองเหลืองอร่ามบ่งบอกถึงความสูงศักดิ์อันน่าเกรงขาม
ฝ่ายหนึ่งยืนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้นหญ้า สวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ หน้าตามอมแมม ดูคล้ายแมวป่าตัวน้อย
บุรุษหนุ่มยกยิ้มบาง เจือแววถือดีในแววตา ทั้งเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ หากแต่ฝ่ายสตรีกลับมีดวงตาที่สดใสและสุกสกาวเสมือนดวงดาว ไร้เดียงสาอย่างที่สุด
นี่คือครั้งที่สองที่เจิ้งเซียวเล่อได้เจอบุตรสาวบุญธรรมของเสด็จลุงเจิ้งเทียนฉี
เขากำลังยอมรับว่าครั้งแรกที่เจอกัน สตรีผู้นี้มิได้มีความน่าสนใจใดๆ นางมีดีแค่หน้าตางดงาม กิริยาท่าทางสูงส่งเท่านั้น ไม่ได้ชวนให้หัวใจรู้สึกหวามไหว ยิ่งมิใช่สตรีในแบบที่เขาชอบ เขาจึงไม่เคยไปพบนางอีก แค่ส่งของกำนัลไปให้ตามมารยาท
ทว่าพบกันครั้งนี้..
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แววตาเจ้าเล่ห์ยามสำรวจดรุณีตรงหน้า
เขากำลังค้นพบว่า การเจอกันครานี้
ช่างน่าสนใจ...
นางไม่คล้ายเสแสร้งเหมือนในศาลาวันนั้น
ยามนี้ใบหน้าของนางดูมอมแมม เสื้อผ้าที่ใส่ก็ธรรมดาทั้งสกปรกด้วยฝุ่นละอองและเก่าคร่ำมอซอ มีหญ้าแห้งแซมอยู่ในเส้นผมที่ยุ่งเหยิง มีเศษดินติดอยู่บนใบหน้า
สตรีชั้นสูงต่อให้ตกต่ำเพียงใดก็คงไม่อยู่ในสภาพทุลักทุเลอย่างนี้เป็นแน่
ทว่าท่าทางปราดเปรียวซึ่งขัดกับชุดที่สวมใส่เช่นนั้น...
เจิ้งเซียวเล่อหรี่ตา นึกถึงประวัติของสตรีตรงหน้าโดยละเอียด เขานึกขึ้นมาได้ว่านางเคยอาศัยในป่าก่อนที่จะได้เจอกับชินอ๋องเจิ้งเทียนฉี
เช่นนั้น...นางคงเป็นสตรีที่มีสองบุคลิกกระมัง
ยามอยู่ในวังก็เสแสร้งแกล้งทำตัวสูงส่งตามมารยาสังคม แต่บางครั้งยังแอบหนีมาเที่ยวป่าแล้วเผยตัวตนแท้จริงออกมา
องค์ชายหนุ่มสูงศักดิ์เพิ่งค้นพบว่า เขากำลังรู้สึกชื่นชอบว่าที่คู่หมั้นที่ได้พบพานในครั้งที่สองนี้
เจิ้งเซียวเล่ออยู่บนหลังม้าก้มมองเฟิงลี่ไม่วางตา เขามองประเมินนางเงียบๆ รู้สึกพึงใจในตัวนางมากขึ้นเรื่อยๆ
บุรุษผู้หนึ่งกำลังล่าสัตว์กับกลุ่มองครักษ์ส่วนตัวตามวิสัย บังเอิญได้เจอว่าที่คู่หมั้นของตนในป่าใหญ่ให้รู้สึกนางคล้ายกับแมวป่าตัวน้อยที่น่าสนใจ ...จะไม่ทักทายได้อย่างไร
ท้ายที่สุดก็หมุนกายลงจากหลังม้า ยังผลให้ผู้ติดตามต้องเหวี่ยงกายลงจากหลังม้าเช่นกัน
องค์ชายหนุ่มเดินขึ้นหน้าห่างจากสาวน้อยราวห้าก้าวพลางเรียกขาน
“ท่านหญิงหยี่ซิน”
กระแสเสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นและนามเรียกขานที่ทักทายดึงสติของเฟิงลี่ให้กลับคืนมาได้ทันที
นางหลุบตาลง ขนตากระเพื่อมเล็กน้อย พยายามสะกดความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกลงไป ก่อนจะคิดทบทวนในใจ
ท่านหญิงหยี่ซิน คือนามของพี่ซือซือที่นางแอบสืบมาได้ระหว่างเดินทาง
ก่อนมาถึงเมืองหลวง นางมองไปทั่วเพื่อสำรวจคนของทางการ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีจึงพักเหนื่อยที่โรงเตี๊ยมชานเมือง
ระหว่างกินข้าวนางถอดหมอกออกกระทั่งเผยโฉมของตน ต่อมาก็มีบุรุษหลายคนเหม่อมอง บางคนถึงขั้นเข้ามาเกี้ยวพา
นางจึงถือโอกาสสืบข่าวโดยการถามด้วยคำถามเดียวกันว่ารู้จักวังฝูอ๋องหรือไม่?
พวกเขาต่างมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวแล้วมองนางอย่างพิจารณาด้วยสองตาสั่นไหว ครู่หนึ่งเสมือนจำใบหน้านางได้ พวกเขาต่างอุทานเรียกนางว่า ‘ท่านหญิงหยี่ซิน’
จากนั้นก็รีบขอโทษที่ล่วงเกินนางด้วยเนื้อตัวสั่นเทา แล้วกล่าวว่าพวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่าจักมีบุญที่ได้พบท่านหญิง
คนแรกจนถึงคนสุดท้าย รวมแล้วประมาณห้าคนที่เข้ามาเกี้ยวนางระหว่างทาง ต่างมีท่าทางเฉกเช่นเดียวกัน ท้ายที่สุด บุรุษทุกคนก็หนีนางไป คล้ายกับว่าได้กระทำความผิดใหญ่หลวง หากยังอยู่ต่อหน้านางอีกแม้ชั่วครู่อาจหัวหลุดจากบ่าได้ทุกเวลา
นางแค่คิดจะถามเส้นทางยังทำมิได้ทั้งสิ้น
ทว่าจากเหตุการณ์เช่นนั้นทำให้นางล่วงรู้สิ่งหนึ่งที่สำคัญ นั่นก็คือพี่ซือซือได้เป็นถึงท่านหญิงหยี่ซินแห่งวังชินอ๋องเจิ้งเทียนฉี
ชายเศรษฐีที่บาดเจ็บผู้นั้นย่อมเป็นท่านอ๋องสูงศักดิ์ และเพื่อตอบแทนเด็กหญิงที่ช่วยชีวิตจึงพากลับมาดูแลจนเติบใหญ่ มอบฐานะและฐานันดรให้อย่างสูงส่งเทียมฟ้า
เฟิงลี่ปะติดปะต่อเรื่องราวจนกลายเป็นภาพอันสมบูรณ์
หลังจากครุ่นคิด ดวงตาที่หลุบต่ำก็ค่อยๆ ช้อนขึ้นมา ดวงตาคู่งามของเฟิงลี่เปล่งประกายเจิดจ้า เมื่อชายตรงหน้าก็ทักทายนางด้วยนามเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักพี่ซือซือ...
แต่เขากลับไม่ลนลานหรือวิ่งหนีไปเหมือนชายคนอื่น
ท่าทางของเขาเมื่อพินิจโดยละเอียดพบว่าไม่ธรรมดา มิใช่คุณชายสามัญทั่วไปที่นางเคยเจอตามรายทางแน่นอน
เด็กสาวมีความคิดชั่วร้ายผุดวูบขึ้นมาทันที
หากเป็นเช่นนี้ การสวมรอยเป็นพี่ซือซือย่อมทำให้นางสามารถสอบถามเส้นทางได้โดยละเอียด เพราะบางทีเขาอาจจะพานางไปหาพี่ซือซือจนถึงวังฝูอ๋องด้วยตัวเขาเอง
เมื่อไตร่ตรองเสร็จสิ้น เฟิงลี่ก็คลี่ยิ้ม
รอยยิ้มของเด็กสาวงดงามพร่างพราวดุจมีแสงแวววาวเป็นประกายระยิบระยับ เต็มไปด้วยความจริงใจ ปราศจากความเสแสร้งใดๆ ยิ้มเดียวละลายใต้หล้า
เฟิงลี่ไม่ชอบคนโกหก และนางก็ไม่อยากเป็นคนโกหก นางจึงทำได้แค่ยิ้ม
มิได้พูดออกมาสักคำว่านางคือท่านหญิงหยี่ซิน
ส่วนผู้อื่นจะเข้าใจว่าอย่างไร นั่นคือเรื่องของพวกเขา
เมื่อสตรียิ้ม บุรุษถึงกับเลิกคิ้ว
อาจเป็นเพราะรอยยิ้มสว่างจ้าของแม่นางน้อยตรงหน้า ที่ทำเอากลางป่ามืดครึ้มพลันสดใสขึ้นมาทันที
เจิ้งเซียวเล่อถามเสียงขรึม “เจ้ายิ้มแบบนี้เป็นด้วยหรือ?”
เฟิงลี่หยักหน้า ยอมรับความจริง “ข้ายิ้มเป็นแต่แบบนี้” เป็นเรื่องที่นางเท่านั้นที่รู้ เพราะนางไม่สามารถยิ้มแบบอื่นได้ทั้งยิ้มประจบ ยิ้มเสแสร้ง ยิ้มกลบเกลื่อน ยิ้มเหี้ยมเกรียม แม้กระทั่งยิ้มอ่อนหวาน นางยังทำไม่เป็น
ชายหนุ่มก้มหน้ามองเด็กสาวนิ่งๆ มีรอยยิ้มยียวนประดับบนวงหน้าหล่อเหลา
เขาเดินวนรอบๆ ตัวนางที่สูงแค่แผงอกพลางเอื้อมมือแกร่งหยิบเศษหญ้าออกจากเรือนผมอันยุ่งเหยิงของนาง