บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 9 พึงใจ 2

เฟิงลี่รู้สึกวูบวาบเมื่อชายผู้นี้เดินวนรอบกาย กระแสอบอุ่นจนร้อนผ่าวทำนางขนลุกชูชัน

ช่างน่าแปลกยิ่งนักที่มันไม่น่ารังเกียจเหมือนความรู้สึกเมื่อครั้งที่หลิวอี้พยายามลวนลามนาง

เมื่อเห็นเด็กสาวสะดุ้งตัวเบาๆ เจิ้งเซียวเล่อจึงมองยิ้มๆ เอ่ยเย้าว่า “ข้าชอบที่เจ้ามีสภาพน่าขบขันเช่นนี้ ดีกว่าแต่งกายหรูหราแสบตาพรมน้ำมันให้กลิ่นกายหอมหวนชวนแสบคอ”

บุรุษก้มหน้ากระซิบที่ริมหูขาว “และรอยยิ้มแบบนี้ที่ดีกว่ารอยยิ้มเอียงอายอันจอมปลอมคล้ายออดอ้อนเช่นที่วังฝูอ๋อง”

เฟิงลี่ได้ฟังพลันกะพริบตาปริบๆ เขาคงหมายถึงพี่ซือซือ

แม้นางสองพี่น้องจะมีหน้าตาเหมือนกัน เป็นคนใจร้อนเอาแต่ใจเหมือนกัน แต่กลับแตกต่างกันที่รอยยิ้ม

พี่สาวมักจะยิ้มออดอ้อนให้ท่านตาหานไต้ตั้งแต่เด็กแล้ว จึงไม่แปลก หากพี่ซือซือจะถูกท่านตาตามใจมากกว่านาง

เฟิงลี่จึงหุบยิ้ม ไม่ปรารถนาให้เกิดข้อแตกต่างต่อคนผู้นี้ ประเดี๋ยวไม่รู้เรื่องพี่ซือซือกันพอดี

นางรีบเงยหน้าถามคนตัวสูงว่า “ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ? แล้วจะกลับหรือยัง? จะไปที่ใดต่อหรือไม่? ข้ากำลังหลงทาง หาทางกลับไม่เจอเจ้าค่ะ”

เด็กสาวถามยาวเหยียดเป็นชุดและจบลงที่ตนหลงทาง เพื่อประหยัดเวลาประจันหน้า หมายให้เขาไปส่งตนที่วังแห่งนั้น ทำเอาผู้ฟังถึงกับชะงักงัน

เจิ้งเซียวเล่อถึงกับงุนงง ต่อมายังเริ่มหงุดหงิด “ทำไม? เจอหน้าข้าก็จะรีบกลับเลยหรือ?”

เฟิงลี่ส่ายหน้าจริงจัง “ไม่ใช่แน่นอน แต่ข้ากำลังหลงทาง ท่านช่วยไปส่งข้ากลับวังฝูอ๋องได้หรือไม่?”

แววตาคมหรี่ลงเมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าช่างเสแสร้งสิ้นดี แอบมาเที่ยวถึงที่นี่โดยไม่มีสาวใช้ติดตามยังกล้าบอกว่าหลงทาง

ใครจะเชื่อ!

ชายหนุ่มจึงเอ่ยเสียงเย็นกระด้างว่า “ไม่!”

“...!?”

ครานี้เป็นเฟิงลี่ที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว

เด็กสาวจึงกลอกตาส่งค้อนแวบหนึ่งพลางแค่นเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์

นางเดินทางมาหลายวัน นอนในป่ามาหลายคืน คิดถึงเตียงนุ่มเต็มที ตั้งแต่ได้มาอาศัยอยู่ในเมือง สิ่งที่ได้เรียนรู้คือมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่อาจอยู่ในป่าเพียงลำพังไปจนตลอดชีวิต และนางมิได้เลือกลิขิตเส้นทางโดยการบำเพ็ญเพียรละซึ่งทางโลก

กระทั่งท่านตาหานไต้ยังใช้ชีวิตโลดโผนท่องหล้าช่ำชองไปทั่วสารทิศอย่างเป็นสุขและใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่หลายสิบปีจนพอใจ ถึงได้เลือกอยู่ในป่าแค่ไม่กี่ปีก่อนตาย

นางเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่เติบโตในป่าใหญ่มาสิบกว่าปีจึงไม่มีความคิดอยู่ในป่าไม้เขียวครึ้มไปตลอดชีวิต หลายสิบปีที่เหลือก่อนตายจึงขอเรียนรู้โลกกว้างอย่างมนุษย์ทั่วไปบ้าง

พี่ซือซือเองคงคิดเช่นกัน ถึงได้ทิ้งนางกับท่านตามาอยู่ในวังอ๋องและได้เป็นถึงท่านหญิง ใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองหลวง

ทิ้งให้น้องต้องลำบากอยู่คนเดียว น่าโมโหจริงเชียว

ยิ่งคิดเฟิงลี่ก็ยิ่งพาล นางจึงบันดาลโทสะกับชายตรงหน้า “เหตุใดท่านถึงแล้งน้ำใจนัก แค่พาข้ากลับวังยากที่ใด?”

เมื่อเห็นเด็กสาวไม่สามารถเก็บข่มอารมณ์ได้เช่นนี้เจิ้งเซียวเล่อให้รู้สึกอยากเอาชนะจึงออกคำสั่งอย่างทรงอำนาจว่า

“พาเจ้ากลับวังนั้นไม่ยาก หากแต่ที่ยากคือเวลาที่ได้เห็นเจ้ายามมิใช่ท่านหญิงสูงส่งจอมเสแสร้ง มิสู้เราอยู่ด้วยกันในป่าให้นานขึ้นหน่อย ข้าอยากเล่นกับเจ้าที่เป็นแบบนี้”

เฟิงลี่เม้มปากขมวดคิ้ว จ้องตาไม่กะพริบ “เล่น?”

เจิ้งเซียวเล่อเลิกคิ้ว สีหน้าเจ้าเล่ห์ถือดี “ใช่!”

เด็กสาวพยายามสะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านลงไปก่อนถามเสียงห้วน “เล่นอะไร?”

ชายหนุ่มยกยิ้มอารมณ์ดี “เข้าป่าย่อมต้องแข่งขันล่าสัตว์ เป็นการละเล่นที่สมเหตุสมผลที่สุดมิใช่หรือ?”

เฟิงลี่ยิ่งขมวดคิ้วแน่น

นางไม่ได้มีอารมณ์เล่นล่าสัตว์เสียหน่อย ถึงแม้จะทำได้อย่างเก่งกาจก็ตามที

ทว่าแม้ในใจคิดอย่างนั้น แต่นางจำต้องตอบกลับสั้นๆ ว่า “ได้!”

แววตามืดดำของบุรุษพลันสว่างวาบอย่างไม่เคยเป็น

ภายใต้ท่าทีเย็นชาและเย่อหยิ่งถือตัวเช่นเดิม หากแต่ยามนี้เจิ้งเซียวเล่อให้นึกสนุกไม่น้อย เขาสั่งให้คนนำคันธนูเข้ามา ก่อนยื่นให้ตรงหน้าของดรุณีคนงาม

เฟิงลี่รับเอาไว้อย่างไม่เต็มใจนัก แต่เมื่อสังเกตคันธนูชัดๆ กลับรู้สึกถึงความเป็นอาวุธชั้นเลิศ ด้ามจับสีทองเส้นสายสีเงิน เปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน ระยิบระยับจับตา ประดับประดาด้วยหยกสีเขียวมันวาวสลักลายเมฆมงคล ยามกุมไว้ในมือให้ความรู้สึกนุ่มละมุนแต่กระชับมั่นคงด้วยเชือกอย่างดีพันรอบด้าม

ความพึงพอใจผุดวูบในแววตา สีหน้าระบายความชื่นชม

นางเคยแต่ล่าสัตว์โดยการใช้อาวุธตามอัตภาพ ธนูยังต้องทำขึ้นเอง รูปร่างอัปลักษณ์นัก ลูกธนูยังไร้ประสิทธิภาพยิ่ง

เด็กสาวเงยหน้าจากคันธนู มองคนตัวใหญ่ด้วยสองตากระจ่างใสไร้ความขุ่นมัวเช่นก่อนหน้า แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านคือชวนอวิ๋นเจี้ยน ”

ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าชมเกินไป ข้ามิกล้ารับ”

แน่งน้อยแทบพุ่งใส่คนตัวใหญ่ “ลูกธนูเล่า?”

คันธนูกับสายขึงยังชั้นเลิศขนาดนี้ ลูกธนูย่อมมีปลายศรที่แหลมเล็กและเป็นเหล็กกล้าชั้นยอดแน่นอน

เจิ้งเซียวเล่อสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางต่างๆ ของคนงามที่เป็นเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกสนุก จึงยกถุงหนังบรรจุลูกธนูขึ้นกลางอากาศ

“มีปัญญาก็เข้ามาเอา”

เฟิงลี่แหงนหน้ามองลูกธนูสีทองในถุงหนังที่ถูกแขนยาวๆ ของคนตัวโตยกขึ้นสูงก็ให้รู้สึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ท่านแกล้งข้า”

ชายหนุ่มเอียงหน้า “ใครแกล้งเจ้า? หากไร้ความสามารถก็อย่าได้โทษผู้อื่น”

เด็กสาวเบิกตา มองคนยียวนอย่างโกรธา นางคล้องธนูไว้บนไหล่ซ้าย ตั้งท่ากระโดดใส่ชายตรงหน้า เอ่ยเสียงลอดไรฟันว่า

“ได้...ท่านเริ่มปัญหานี้ก่อนนะ”

เจิ้งเซียวเล่อสะกดรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้แล้ว “ปัญหาหรือ?” แววตาบุรุษแฝงความเร่าร้อน เขาคำรามเสียงหนึ่ง “เข้ามา!”

แทนที่จะได้เห็นการละเล่นล่าสัตว์ กลุ่มองครักษ์ประจำเจี้ยนอ๋องเจิ้งเซียวเล่อกลับได้เห็นดรุณีน้อยนางหนึ่งกำลังไล่ล่าองค์ชายสูงศักดิ์ไปตามพื้นหญ้าและพุ่มไม้ คล้ายต้องการกัดกันให้จมเขี้ยวเลือดสาด

ทั้งสองคน หนึ่งวิ่งหนีหนึ่งวิ่งตาม แต่ท่าทางของคนวิ่งหนีดูสนุกสนานกว่ามาก มิคล้ายกำลังถูกตามล่า

เหล่าองครักษ์พากันยืนมองนายเหนือหัวอย่างพึงพอใจ พวกเขาไม่เคยเห็นเจ้านายได้ผ่อนคลายกลายร่างเป็นหนุ่มน้อยเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว

ความกดดันอันร้ายกาจที่ได้รับทั้งจากคนในราชนิกุลและจากศัตรูในสมรภูมิรบ ล้วนหล่อหลอมทำให้หนุ่มน้อยผู้หนึ่งเติบโตเป็นชายหนุ่มหยาบกระด้างและโหดเหี้ยมเย็นชาเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่กระนั้นพวกเขาที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชายังปรารถนาให้องค์ชายของตน ยังคงความเป็นตัวเองเอาไว้เฉกเช่นอดีต...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel