ตอนที่ 4 ตามหาพี่สาว1
ย้อนกลับไปก่อนหานไต้จะตาย เขาได้สารภาพอย่างจริงใจกับเฟิงลี่ด้วยเส้นเสียงแหบแห้งสั่นพร่า
“ลี่เอ๋อร์ รู้หรือไม่ว่าเหตุใดคนแก่เร่ร่อนอย่างข้าถึงได้ตัดสินใจเก็บพวกเจ้าสองคนพี่น้องมาเลี้ยงดู”
มือหนึ่งของเฟิงลี่ปาดน้ำตาอีกมือหนึ่งเกาะชายผ้าห่มที่คลุมร่างชายชราผู้เจ็บป่วยนอนซมมาแรมปี นางสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “เพราะข้ากับพี่ซือซือเป็นเด็กกำพร้าที่น่าสงสารเจ้าค่ะ”
หานไต้ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่การส่ายหน้านั้นไร้เรี่ยวแรงจนมองแทบไม่เห็น เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว! เหตุที่ข้าเก็บพวกเจ้าสองคนพี่น้องมาชุบเลี้ยงก็เพราะเจ้าสองพี่น้องคือธิดาของเจ้าเมืองไป๋”
“...!?”
เด็กสาวชะงักงันสองตาเบิกโตโดยพลัน
ไม่ปล่อยให้ผู้ฟังอึ้งนาน หานไต้เอ่ยต่อด้วยเสียงแหบแห้ง “สงครามต่างแคว้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก สงครามอำนาจระหว่างตระกูลยิ่งไม่อาจก้าวผ่านได้โดยง่าย มารดาของเจ้าเดิมทีเป็นฮูหยินเอกเจ้าเมืองไป๋ นางแต่งงานหลายปีไม่มีทายาทจึงถูกการแย่งชิงหลังเรือนกลืนกินจนสิ้นท่าเพราะบิดาเจ้ามีอนุภรรยามากมายนัก หลังถูกขับไล่ถึงได้รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ แม้นางจะมีอายุไม่น้อยแต่ก็พยายามประคับประคองเด็กในท้องอย่างดี ท้ายที่สุดเมื่อคลอดบุตรออกมายังเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชายก็ให้รู้สึกสิ้นหวังและตรอมใจตาย ยามนั้นกำลังมีสงครามรุกรานยึดเมือง เจ้าเมืองไป๋บิดาของเจ้าซึ่งล่วงรู้เรื่องของพวกเจ้าสองพี่น้องกำลังตามหาเพื่อรับตัวกลับจวน แต่เพราะรักษาเมืองจึงต้องตายไปท่ามกลางไฟสงครามอย่างน่าเสียดาย ไม่ทันได้เห็นหน้าบุตรสาว”
หานไต้เล่าไปเรื่อยๆ คล้ายกับกลัวว่าชั่วชีวิตที่เหลืออาจจะไม่มีโอกาสบอกความจริงที่ซุกซ่อนแก่เฟิงลี่อีก
“เด็กน้อยเอ๋ย ชะตากรรมของเจ้าแม้ย่ำแย่แต่ตัวตนที่แท้มิได้ต่ำต้อยอันใด เหตุที่ข้าเก็บพวกเจ้ามาดูแลก็เพราะก่อนหน้านี้มีความหวังเล็กๆ ในตัวมารดาของเจ้า ทว่าก็อย่างที่เห็น... นางปฏิเสธข้าและตายไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งไว้เพียงทารกในห่อผ้าหลังไฟสงครามที่มอดไหม้”
เขาหัวเราะเสียงขื่น “ตัวข้ามิใช่จอมยุทธ์เก่งกาจอะไร เป็นแค่ชายชราไร้ความสามารถผู้หนึ่งซึ่งมีความรู้แค่ปลายนิ้ว เมื่อความหวังในหญิงงามหมดสิ้นจึงเร่ร่อนต่ออย่างไร้จุดหมาย หลังจากได้รับข่าวร้ายเรื่องสงครามใกล้บ้านนาง ข้าก็รีบกลับมา ทว่าสายเกินไป...นางทิ้งบุตรสาวเอาไว้เช่นนั้น ข้าที่เก็บพวกเจ้ามาเลี้ยงก็หวังเพียงยามที่ร่างกายนี้ผุพังใกล้ดับสูญจะมีคนดูแลปรนนิบัติป้อนน้ำป้อนยา ท้ายที่สุดจะได้มีคนทำศพให้อย่างดีไม่ต้องกลายเป็นซากเน่าๆ ข้างทางให้สุนัขกัดกินอย่างอนาถ วิญญาณจะได้ไปสู่ปรโลกอย่างสงบ”
ชายชราถึงกับต้องหยุดวาจาหายใจหอบครู่หนึ่งเพราะกล่าวด้วยประโยคยาวเหยียด เขายิ้มเยาะตัวเองแล้วกล่าวต่อ “ข้ามิใช่คนดีอะไร ที่ทำไปล้วนหวังผลประโยชน์จากเด็กๆ”
เฟิงลี่สะอื้นไห้ส่ายหน้าไม่หยุด
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านตาเป็นคนดี การดูแลท่านจนวาระสุดท้ายเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ท่านอย่าได้เอ่ยเช่นนั้นเลย”
หานไต้หัวเราะเสียงเบาฟังดูแหบโหยคล้ายเสียงครวญของสายลมหนาว เขาค่อยๆ กล่าว “วิชาการต่อสู้ที่ข้าสอนเจ้าก็เอาไว้ใช้ได้แค่ป้องกันตัวเท่านั้น ดีมากหน่อยก็คือวิชาแยกแยะสมุนไพร แต่วิชาฝังเข็มยังไม่ถึงขั้นช่วยชีวิตใครได้ แค่ห้ามเลือดกับบรรเทาอาการเจ็บปวดจากบาดแผล เจ้ารู้ใช่ไหม?”
เฟิงลี่พยักหน้าราวลูกไก่กำลังจิกข้าว
ชายชราหลับตากล่าวเสียงแหบเบาอีกว่า “เหตุที่ข้าอนุญาตให้เจ้าตามหาพี่สาวแค่บริเวณริมชายป่านั่นก็เพราะว่า ข้าไม่ต้องการทำลายความหวังของเจ้า แต่กลับไม่ต้องการให้เจ้าหานางพบเช่นกัน และข้าก็คาดเดาได้ว่านางคงไปอยู่ในที่อบอุ่นแสนสบายห่างไกลแล้ว จะอย่างไรเจ้าย่อมหาไม่เจอโดยง่าย”
เด็กสาวพลันชะงัก ก่อนปาดน้ำตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาตัดพ้อ
“เพราะเหตุใดเล่าท่านตา ท่านไม่เป็นห่วงพี่ซือซือหรือ?”
หานไต้หัวเราะเสียงพร่า
“คนที่น่าห่วงมิใช่นาง แต่เป็นเจ้า”
เฟิงลี่นั่งมองชายชราผ่านม่านน้ำตาอย่างไม่เข้าใจ ได้ยินอีกฝ่ายค่อยๆ เอ่ยด้วยกระแสเสียงเบาหวิวคล้ายจะหมดแรงว่า
“ลักษณะการแต่งกายของชายวัยกลางคนที่เจ้าช่วยเหลือในวันนั้น เท่าที่ฟังเจ้าเล่ามา หากข้าคิดไม่ผิดเขาย่อมมีฐานะไม่ธรรมดา อาจเป็นคหบดีร่ำรวยล้นฟ้าหรือไม่ก็อาจเป็นถึงขุนนางใหญ่โตแห่งแว่นแคว้น การที่พี่เจ้าหายตัวไปพร้อมเขา เป็นไปได้ถึงแปดส่วนว่าชายผู้นั้นพานางไปชุบเลี้ยง และเหตุที่ข้าไม่บอกเจ้าตั้งแต่ในวันนั้น ก็เพราะไม่ต้องการให้เจ้าออกตามหาพี่สาวของเจ้าจนเจอ เพราะนางอาจจะชักชวนให้เจ้าอยู่ด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้นข้าจะทำอย่างไร การพาพวกเจ้าพี่น้องมาชุบเลี้ยง มิใช่เสียเวลาเปล่าหรือ?”
เฟิงลี่ได้ฟังก็นิ่งอึ้ง เบิกตากลมโตมองคนป่วยไม่กะพริบ ได้ยินหานไต้ไอโคลกเพราะกล่าวคำยาวเหยียดเกินไป จึงรีบเอ่ย
“ท่านตา ข้าไม่มีทางเนรคุณทิ้งท่านไปเจ้าค่ะ”
ชายชราคลี่ยิ้มอ่อนแรง ใช้พลังที่เหลือน้อยเต็มทีพยายามมองเด็กหญิงด้วยสองตาพร่ามัว “เด็กโง่...ยามนี้ข้าจะตายอยู่แล้ว ยังจะกล้ารั้งเจ้าเอาไว้หรือ? หลายปีที่ผ่านมา ลำบากเจ้าแล้ว”
“ท่านตา...”
เด็กหญิงร้องไห้โฮ
หานไต้หวนระลึกถึงเฟิงลี่ตั้งแต่วัยเด็กน้อยกระทั่งยามนี้ที่มีอายุสิบสี่ปี ทุกวันนางต้องทนลำบากยากไร้ ไม่ได้กินดีอยู่ดี
บางทียังต้องแบกเขาที่เป็นบุรุษตัวโตหลบเสือร้ายหิวโซ หลบสุนัขป่าอันธพาล บางคืนยังไม่ได้นอนหลับสบายอย่างที่ควร เพราะต้องคอยไล่งูพิษและสัตว์ร้ายทุกชนิดที่เลื้อยเข้ามาในที่พัก
ชายชรายิ่งคิดยิ่งปวดใจ
ในอดีต เพราะเคยก่ออาชญากรรม เคยปล้นชิงฆ่าคน จนถูกตามล่าจากคนของทางการได้รับบาดเจ็บภายในเรื้อรัง จึงไม่อาจเลือกใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติอยู่ในที่ชุมชน จำต้องหลบเร้นซ่อนกายในป่าเขาพงไพรอย่างมิดชิด มิให้ผู้ใดหาตัวเจอ
ทว่าก็ยังเก็บเด็กทารกทั้งสองซึ่งเป็นธิดาของหญิงที่เขาแอบรักมาเลี้ยงดู หวังใช้ประโยชน์ในบั้นปลาย ไม่อยากตายอย่างอนาถเดียวดาย
ด้วยเหตุผลทั้งหลาย เขาจึงเห็นแก่ตัว...