ตอนที่ 3 หมายตา 2
ซือเร่อใช้เวลาแต่งกายงดงามเกือบครึ่งชั่วยาม
เมื่อพึงพอใจกับความงามของตนแล้วจึงได้เดินกรีดกรายออกมาถึงศาลากลางลานหน้าเรือนโดยมีสาวใช้นามจื่อซิ่วช่วยจับประคอง
ในศาลา นางมองเห็นชินอ๋องกับชายหนุ่มรูปงามอีกคน
เขาหล่อเหลาจริงดั่งคำสาวใช้ รูปร่างสง่างามสูงใหญ่ ใบหน้าหมดจดคมคาย จมูกโด่ง ปากแดง คิ้วเข้ม
รูปโฉมโดดเด่นแต่น่าเกรงขามยิ่ง
แม้ว่าจะสวมเพียงชุดสีม่วงเรียบๆ ธรรมดา ทว่ากลับมองเห็นถึงสง่าราศีเทียมฟ้า เป็นบุรุษสูงศักดิ์นับแต่เกิด กลิ่นอายเป็นเลิศเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ขนาดนั่งนิ่งๆ ยังดูสูงส่งปานนั้นเขามองดูคล้ายองค์ราชันของทวยเทพที่จำแลงลงมาเยือนมนุษย์
ซือเร่อเหม่อมองเจิ้งเซียวเล่อเนิ่นนานจนเผลอไผลเดินด้วยปลายเท้าหนักเกินไป เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นตรงพื้นหินตรงทางเดิน กระทั่งชินอ๋องเหลือบตาขึ้นเห็นจึงส่งเสียงเรียกนางอย่างอารมณ์ดี “หยี่ซิน เจ้ามาแล้วหรือ? มานั่งนี่มา...”
เด็กสาวก้มหน้าหลุบตากล่าวเสียงหวานอย่างเขินอาย “ข้าขออภัยที่ไร้มารยาท รบกวนความสำราญของพวกท่านแล้ว”
อันที่จริง สิ่งที่รบกวนบุรุษในศาลากลางลานหาใช่เสียงการลงน้ำหนักเท้ายามก้าวเดินที่ผิดพลาดไม่ หากแต่เป็นกลิ่นหอมรวยรินที่โชยมาแต่ไกลต่างหาก
ชินอ๋องเอ่ยอีกว่า “เหลวใหล ใครว่ารบกวน พ่อบุญธรรมกำลังจะให้คนไปเรียกเจ้าอยู่เชียว”
เขาเอื้อมมือตบที่นั่งด้านข้างตัวเองเบาๆ “มานั่งนี่...”
ซือเร่อย่อกายรับคำอย่างนอบน้อมประสานเรียวนิ้วอยู่ใต้แขนเสื้ออย่างเรียบร้อย ก่อนยืดตัวขึ้นแล้วเดินเข้าไปนั่งในศาลาด้วยกิริยานุ่มนวล
หลายปีที่อยู่วังฝูอ๋อง นางได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมมารยาทและศาสตร์สตรีชั้นสูงทุกแขนงจนแตกฉาน จริตพื้นฐานจึงไม่ต่างจากองค์หญิงแม้แต่น้อย
เมื่อนั่งลงแล้วจึงค่อยๆ เงยหน้าช้อนตามองบุรุษรูปงามที่นั่งอยู่ตรงข้าม ภายใต้กิริยาสูงส่งท่าทางเรียบร้อย ดวงตาของนางแวววาวราวกับมีน้ำผึ้งหยาดหยด พวงแก้มของนางแดงก่ำประหนึ่งจะคั้นน้ำสีแดงออกมาได้ ท่าทางของนางเอียงอายอย่างอ่อนโยนแลดูบอบบางน่าทะนุถนอมเหลือเกิน
แต่กระนั้น เจิ้งเซียวเล่อเพียงมองนิ่งๆ ยกยิ้มบางๆ
สตรีชั้นสูงในวังหลวง คุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลาย รวมถึงสตรีทั่วไป มีใครบ้างที่ไม่มองเขาด้วยท่าทีเช่นนี้...
อย่างไรก็ตาม บุรุษสูงศักดิ์ผู้หนึ่งซึ่งฐานะสูงส่งของเขาทำให้เคยพบเห็นสตรีงดงามมามากมาย ย่อมไม่แปลกใจหรือตื่นเต้นอันใดกับคนงามตรงหน้า ยามนี้เขาจึงรู้สึกเฉยชายิ่ง
ทว่าคนตรงหน้าคือแม่นางคนสำคัญที่เสด็จลุงฝากฝัง เขาจึงไร้ความคิดที่จะลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกไปอย่างถือตัว เหมือนที่ชอบทำกับสตรีทุกคน
สำหรับเจิ้งเซียวเล่อ หากเขาไม่ยินดี คำว่า ‘ไม่’ คำเดียวย่อมเอาอยู่ในทุกสถานการณ์ ไม่มีใครกล้างัดข้อกับเขาทั้งนั้น
ทว่าแม้เขาจะมิใคร่ใส่ใจใครหน้าไหน มีนิสัยชั่วร้ายแฝงอยู่ในความหยิ่งทะนงเต็มเปี่ยม เป็นคนยโสโอหัง ไม่เห็นหัวใครและบ้าการเอาชนะ แต่กลับเป็นบุรุษที่มีความรับผิดชอบสูงยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องกตัญญูเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือคำนึงถึงเป็นอันดับหนึ่ง
ดวงตาคู่คมเรียวยาวพราวเสน่ห์จึงมองสตรีนางน้อยนิ่งๆ แม้ปราศจากความรู้สึกพึงใจใดๆ แต่ก็ไม่มีความเย่อหยิ่งให้เห็น
ยามนี้เจิ้งเทียนฉีเป็นชายชราที่มีสีหน้าเปี่ยมสุขกว่าใคร คนหนึ่งคือบุตรสาวบุญธรรม ส่วนอีกคนคือหลานชายสุดที่รัก หากทั้งสองได้แต่งงานกันย่อมรักใคร่มีใจต่อกันในสักวัน
หากเป็นเช่นนั้นเขาคงนอนตายตาหลับแล้ว...
บุคคลสูงศักดิ์ในศาลาใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายสนทนากันด้วยสุ้มเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมมิตรไมตรี ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงของบุรุษที่คุยเรื่องตำรา ดินฟ้าอากาศและเรื่องทั่วไปตามวิสัย
สตรีหนึ่งเดียวเพียงก้มหน้าหลุบตานั่งฟังอย่างสำรวม มองคล้ายเป็นเพียงตุ๊กตาประดับศาลา มิได้อยู่ในสายตาของบุรุษหนุ่มแต่อย่างใด นานครั้งจึงได้รับคำถามสั้นๆ ง่าย ๆ ว่าถูกต้องไหม?เห็นด้วยหรือไม่?จากชินอ๋อง
นางแค่เพียงคอยตอบว่า ‘เพคะ’ แล้วยิ้มหวานเท่านั้น
ยามค่ำมาเยือน แสงโคมถูกจุดให้ความสว่างแทนแสงตะวัน
หลังจากซือเร่อร์รับมื้อเย็นด้วยอาหารรสเลิศเรียบร้อย นางก็กึ่งนั่งกึ่งนอนพริ้มตาหลับอยู่บนตั่งยาวริมหน้าต่าง ปล่อยให้จื่อซิ่วนวดเรียวขาอย่างเบามือ
เพราะช่วงบ่ายที่ผ่านมานางต้องนั่งประสานเรียวนิ้วอย่างสำรวมถูกระเบียบในท่าเดิมเนิ่นนาน จึงรู้สึกเมื่อยขบอยู่บ้าง
ระหว่างผ่อนคลายหลังมื้ออาหาร ในใจยังประหวัดไปถึงใบหน้าหล่อเหลาคมคายขององค์ชายผู้นั้นตลอดเวลา
จื่อซิ่วค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองนายสาวของตนพลางกล่าว “ท่านหญิง บ่าวขอกล่าวสักประโยคได้หรือไม่?”
ซือเร่อปรายตามองสาวใช้คนสนิทนิ่งๆ เป็นเชิงอนุญาต
เพราะตั้งแต่เข้ามาอาศัยอยู่วังฝูอ๋อง นางก็ได้จื่อซิ่วคอยดูแลทุกสิ่ง ตั้งแต่อาหารการกินกระทั่งเรื่องราวทั้งหลาย ไม่ต่างจากพี่สาวแสนดีผู้หนึ่ง นางย่อมรับฟังอยู่แล้ว
เมื่อได้รับอนุญาตทางสายตา จื่อซิ่วจึงกล่าวต่ออย่างระมัดระวังว่า
“บ่าวขอเตือนตามตรง องค์ชายรองรูปงามที่มาบ่ายวันนี้ เขาคือเทพสงครามเป็นถึงนักรบคู่แผ่นดิน พยัคฆ์ร้ายเจิ้งเซียวเล่อ ฉายามัจจุราชอำมหิตกลืนเมืองเลยนะเจ้าคะ”
ซือเร่อขมวดคิ้ว “อะไรนะ?”
แม่นางน้อยกะพริบตา มองค้อนสาวใช้ “เทพสงคราม นักรบคู่แผ่นดิน ฟังดูดีอยู่หรอก แต่พยัคฆ์ร้ายฉายามัจจุราชอำมหิตกลืนเมืองคืออะไร? ไยไม่น่าฟังเลย”
จื่อซิ่วค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ แล้วเอ่ยกระซิบกระซาบอีกว่า
“เขาทั้งโหดเหี้ยมอำมหิต เจ้าคิดเจ้าแค้น เจ้าเล่ห์เพทุบาย ลงมือเฉียบขาด ยามออกรบยังฆ่าคนเช่นผักปลา ใครหน้าไหนก็ไม่อาจทัดทาน บ่าวยังได้ยินข่าวลือจากชายแดนว่า เขาชื่นชอบการจับข้าศึกมาทรมาน เผาไฟคนทั้งเป็น บางครั้งยังนิยมแล่เนื้อเถือหนังศัตรูแล้วโยนให้ปลากินเล่น น่ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ”
ยิ่งได้ฟัง ม่านตาดำของซือเร่อยิ่งหดแคบ ได้ยินสาวใช้ร่ายคำยาวเหยียดต่อเนื่องว่า “แคว้นที่ถูกตีแตกยังเป็นเพราะเขาควบม้าตะบึงบุกปล้นสะดมราวกับจอมโจรโฉดชั่วมหาภัยตัวร้าย ชาวบ้านตามชายแดนเมื่อได้ยินว่าเขากำลังจะผ่านทางก็พากันหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนไม่เป็นอันทำมาหากินเลี้ยงชีพอันใดเจ้าค่ะ นอกจากปล้นชิง ฆ่าคนไม่เว้นวัน เขายังมีวีรกรรมโหดร้ายมากมาย และที่สำคัญ รางวัลพระราชทานหลังสิ้นศึกครั้งล่าสุดยังได้เป็นสาวงามเต็มวัง เขาทั้งเจ้าสำราญและเสเพล ชมชอบกามารมณ์วิตถาร ร่ำสุราเคล้ากลุ่มนารีทุกค่ำคืน”
“พอ!”
ซือเร่อยกมือขึ้นเบื้องหน้า สายตาบ่งบอกได้ว่าไม่อาจฟังได้อีกต่อไป “เจ้าหยุดพูดเถอะ! ข้าไม่อยากฟังแล้ว”
จื่อซิ่วจ้องมองนายสาวของตนอย่างห่วงใย นางกล่าวต่ออย่างจริงใจว่า “โธ่! ท่านหญิง ...บ่าวไม่เตือนไม่ได้จริงๆ นะเจ้าคะ วันนี้ที่บ่าวสังเกตเห็นอย่างชัดเจน แววตาคมกริบของเขาเรียบเฉย มิได้รู้สึกอันใดเลยกับท่านหญิง หากต้องแต่งงานกันจริงๆ ไยมิใช่เอาชีวิตไปทิ้ง ชีวิตหลังแต่งงานต้องเสี่ยงเผชิญฝันร้ายทุกค่ำคืน”
ซือเร่อเม้มปากนิ่ง กำมือแน่น จื่อซิ่วผู้นี้เป็นสาวใช้ภักดี อายุยี่สิบปี เกิดและเติบโตในวัง อีกฝ่ายดูแลนางตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้าวังฝูอ๋อง เป็นทั้งบ่าวเป็นทั้งพี่เลี้ยง คอยชี้แนะตักเตือนถูกผิดอย่างจริงใจมาโดยตลอด
อีกอย่าง...จื่อซิ่วยังรู้ทุกเรื่องราวในเมืองหลวง
ไม่ว่าจะเป็นข่าวซุบซิบนินทาของพวกคุณหนูลูกขุนนางหรือแม้กระทั่งข่าววงในของพวกสตรีชั้นสูง รู้ว่าใครเป็นใครอย่างไร ผู้ใดควรเข้าใกล้ผูกสัมพันธ์อันดี ผู้ใดควรหนีห่างเว้นระยะ ผู้ใดควรหลีกเลี่ยงให้ไกลเพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายในวันหน้า
สาวใช้คนนี้รู้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องยิบย่อยจนถึงเรื่องการเมืองแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในราชสำนัก
ซือเร่อสามารถเติบใหญ่อย่างงดงามหมดจด ทำตัวกลมกลืนอยู่ในแวดวงที่มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของสังคมชนชั้นสูงมาได้อย่างชาญฉลาดสง่างามก็เพราะมีสาวใช้อย่างจื่อซิ่วคอยชี้แนะ มิใช่เพราะอำนาจล้นฟ้าของชินอ๋องเจิ้งเทียนฉีเพียงอย่างเดียว
เช่นนั้น ...นางจึงไม่อาจไม่รับฟัง
หากแต่เรื่องแต่งงาน มิใช่เรื่องที่บุตรจักตัดสินใจได้เอง
แน่นอนว่าซือเร่อไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของชินอ๋องได้แม้ครึ่งคำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฐานันดรสูงส่งเลย แค่ชาวบ้านทั่วไปยังต้องฟังบิดามารดาหรือบุคคลเทียบเท่าบุพการีว่ากล่าวส่งเสริม ไม่ว่าผู้อาวุโสจะบอกว่าผู้ใดเหมาะสมกับผู้ใดล้วนต้องเชื่อตามนั้น กระทั่งคำของแม่สื่อยังต้องเชื่อถือเป็นที่ตั้ง ไม่อาจปฏิเสธได้
ทำอย่างไรดี?
ทั้งคืนซือเร่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้จนนอนไม่หลับ
แม้ว่าเตียงนอนจะหนานุ่ม ผ้าห่มจะอุ่นสบาย ทว่านางกลับนอนพลิกไปพลิกมาประหนึ่งนอนอยู่บนกองไฟร้อนฉ่า
เด็กสาวคิดถึงใบหน้าหล่อเหลาของเจิ้งเซียวเล่อก็ให้รู้สึกใจเต้นโครมครามไม่เบา แก้มร้อนผะผ่าวอย่างไม่อาจควบคุม แต่เมื่อคิดถึงคำเตือนของคนสนิทหัวใจก็เต้นในจังหวะที่สงบลง
เสียดายก็เสียดาย แต่ความปลอดภัยหลังแต่งงานต้องมาก่อน คนอุตส่าห์ได้เป็นถึงท่านหญิงสูงศักดิ์มีอำนาจมีเงินทอง สมควรใช้ชีวิตให้ดีไปทั้งชาติ จะพลาดเพราะเลือกแต่งงานผิดมิได้โดยเด็ดขาด แต่จะสลัดทิ้งไปเลยก็ไม่ได้อีก
ไม่ต้องเอ่ยถึงความหล่อเหลาสง่างามเหนือสามัญเท่านั้น แต่อำนาจล้นฟ้าขององค์ชายไยมิใช่สิ่งที่ไม่อาจตัดใจได้โดยง่าย
การผูกสัมพันธ์เอาไว้จึงจะดี ช่วยเสริมอำนาจบารมีสืบไป
คิดไปคิดมาพลันนึกถึงน้องสาวฝาแฝดของตน
ใช่แล้ว...นางยังมีตัวตายตัวแทนอยู่ทั้งคนนี่นา
ซือเร่อหรี่ตา ขบริมฝีปากจนเลือดซึม ครุ่นคิดหนักหน่วง
แผนการบางอย่างจึงถือกำเนิด ซือเร่อค่อยๆ ขบคิดอย่างละเอียดรอบคอบ
หลังจากคิดตกแล้ว ซือเร่อจึงใช้เงินทองและอำนาจที่มีแอบตามหาเฟิงลี่ผู้เป็นน้องสาวอย่างเงียบ ๆ มิให้ใครล่วงรู้