บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 หมายตา 1

ศาลากลางลานอันร่มรื่นของพุ่มไม้

เหล่าสาวใช้ให้รู้สึกว่าชีวิตมีความหมายขึ้นมากโขก็วันนี้ เพื่อได้มีโอกาสได้ยลโฉมบุรุษที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ ตายไปย่อมไม่เสียชาติเกิด พวกนางต่างจับจ้องชายผู้มีเครื่องหน้าคมคายไร้ที่ติตรงหน้าไม่วางตา ร่างกายสูงใหญ่ของเขาสง่างามอย่างยากจะพบเจอในหมู่บุรุษทั่วไป

ยามพิศมองก็ให้รู้สึกหลงใหลคลั่งใคล้ยากต้านทานเสน่ห์อันร้อนแรงนั้น

กล้ามเนื้อแข็งแกร่งที่อยู่ภายใต้อาภรณ์สีม่วงรัดกุมมองแล้วให้รู้สึกถึงขุมพลังอันมากมายมหาศาลทรงเสน่ห์ล้นเหลือ ทว่ากลับรับรู้ได้ว่ามิอาจเอื้อมแม้ชายอาภรณ์

เนื่องจากสังเกตุจากเรือนผมสีดำสนิทที่ถูกม้วนอย่างดีครอบด้วยกวานทองและชุดม่วงรัดกุมนั้นเป็นผ้าไหมปักดิ้นทองลายมังกรสี่เล็บ ทั่วร่างเปล่งประกายเจิดจรัสปานนั้น ราศีของเขาล้วนบ่งบอกถึงฐานะอันสูงศักดิ์เป็นอย่างดี

เช่นนี้ผู้ใดจักหาญกล้าคิดไม่ซื่อกับเขาได้เล่า

บุรุษหนุ่มผู้นี้กำลังนั่งอยู่กับเจ้าของวังฝูอ๋องภายในศาลา นั่นยิ่งตอกย้ำถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาต่อเจ้าของวังแห่งนี้

ชินอ๋องเจิ้งเทียนฉีกำลังนั่งจิบชาหอมกรุ่นชั้นเลิศพร้อมเล่นหมากล้อมกับหลานชายสุดที่รักผู้นี้ที่มีนามว่าเจิ้งเซียวเล่อ

เจิ้งเซียวเล่อคือโอรสลำดับที่สองของฮ่องเต้เจิ้งเทียนหมิง เป็นองค์ชายรูปงามรักอิสระ หญิงสาวที่เคยเห็นเขาล้วนเกิดความรักใคร่ลุ่มหลงในตัวเขาอย่างยากจะยั้งใจ

ตั้งแต่ชายแดนเหนือจรดใต้ไม่รู้มีหญิงสาวจำนวนเท่าใดที่เฝ้าฝันถึง

หากแต่ตัวเขากลับมีนิสัยวู่วามบุ่มบ่ามกล้าได้กล้าเสีย เจ้าเล่ห์มากแผนการ ทั้งยังใจร้อนและเอาแต่ใจ ไม่ไว้หน้าใครจึงทำให้ไม่มีสตรีใดกล้าเข้าใกล้ ถึงขั้นดับฝันตนเองอย่างชอกช้ำ

เขาถูกผู้คนตั้งฉายาว่าอสูรร้ายในคราบมนุษย์ที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรกเพื่อคอยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ศัตรูผู้รุกรานให้แว่นแคว้น เป็นมัจจุราชอำมหิตฆ่าล้างเมืองเป็นตัวหายนะแห่งดินแดน

ด้วยเหตุนี้เจิ้งเซียวเล่อจึงเป็นถึงนักรบคู่แผ่นดิน เขามีตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ในทุกการศึก

ในอดีต สมัยที่เจิ้งเทียนฉียังคงเป็นอ๋องหนุ่มแน่นแข็งแรง ส่วนเจิ้งเซียวเล่อยังเป็นองค์ชายน้อย ทั้งสองมักจะออกศึกร่วมกัน

เจิ้งเทียนฉีมีเจิ้งเซียวเล่อคอยระวังหลังให้ทุกสมรภูมิรบ เขาจึงคอยชี้แนะชั้นเชิงและกลยุทธ์การสู้รบจนอีกฝ่ายเก่งกาจ เป็นนักรบหนุ่มน้อยมากความสามารถจวบจนทุกวันนี้

หลังจากเดินทางไปประจำการตามด่านต่างๆ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามสมรภูมิรบยาวนานหลายปี โดยละทิ้งตำแหน่งองค์ชายสูงศักดิ์ในวังหรูหรา ล่าสุดสิ้นศึกชายแดนทางตอนเหนือซึ่งกินเวลาเนิ่นนาน เจิ้งเซียวเล่อต้องเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อนำหัวของผู้นำฝ่ายศัตรูมาวางบนแท่นบูชามังกรและรับความดีความชอบต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดา เขาจึงไม่ลืมแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนทักทายชินอ๋องเจิ้งเทียนฉี

“เสี่ยวเล่อน้อยของลุง เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้ว”

เสี่ยวเล่อ เป็นนามที่ชินอ๋องเรียกหลานชายด้วยความเอ็นดูไม่ต่างจากครั้งที่อีกฝ่ายเป็นเพียงองค์ชายตัวน้อยผู้คอยวิ่งตามเบื้องหลัง

น้ำเสียงของอ๋องเฒ่ายิ่งทุ้มนุ่ม แววตาแฝงความคาดหวังบางอย่าง “ปีนี้สมควรคิดแต่งชายาได้แล้วกระมัง”

เจิ้งเซียวเล่อได้ยินเช่นนั้น จึงหัวเราะเบาๆ ในลำคอแม้มิได้ตอบรับ แต่ก็มิได้ปฏิเสธ เขาเพียงวางหมากสีดำตัวหนึ่งลงไปบนกระดานด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พลางเอ่ยเสียงเรียบ

“เสด็จลุงคงมีสตรีผู้เพียบพร้อมรอหลานอย่างข้าแล้ว?”

เจิ้งเทียนฉีเอื้อมมือวางหมากสีขาวเพื่อต่อสู้หมากสีดำอย่างเต็มกำลัง ก่อนเอ่ย “เจ้าคงจำเรื่องเมื่อหกปีที่แล้วได้”

ชายหนุ่มพยักหน้าวางหมากดำลงไปโดยไม่ต้องคิดอันใด “เด็กหญิงผู้มีพระคุณตัวน้อย ผู้ช่วยยื้อชีวิตของเสด็จลุงกลางหิมะในหุบเขาเหลิ่งซาน ยามนี้คงกลายเป็นสาวงามพร้อมออกเรือน”

อ๋องเฒ่ายกยิ้มบางพลางเอ่ย “ยามนี้นางมีอายุสิบห้าปี มีเวลาเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวอีกหนึ่งปี เจ้ายินดีรับนางหรือไม่?”

แม้หลานชายผู้นี้จะมีนิสัยร้ายกาจและก้าวร้าวไปบ้าง ทว่ากลับเป็นบุรุษหนักแน่นปานศิลาเหล็กกล้าผู้หนึ่ง เจิ้งเทียนฉีมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าองค์ชายผู้นี้ย่อมมีรักมั่นคงต่อชายาของเขา และนั่นคือเหตุผลที่อ๋องเฒ่าผู้เปรียบประดุจไม้ใกล้ฝั่งต้องเตรียมฝากฝังบุตรสาวบุญธรรมของตนไว้กับอีกคนที่ไว้ใจได้

เจิ้งเซียวเล่อรับฟังนิ่งๆ พลางวางหมากสีดำแค่หนึ่งตัว ทว่ากลับกินรวบหมดทั้งกระดาน เขาเอ่ยขึ้นว่า “หากเสด็จลุงไว้ใจฝากผู้มีพระคุณเอาไว้กับข้าเช่นนี้ ตัวข้ายังจะมีเหตุผลอันใดให้ปฏิเสธได้ ในเมื่อท่านเองก็เป็นผู้มีพระคุณของข้า”

การแต่งงานสำหรับสตรีนับเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าสำหรับบุรุษแล้วเขากลับเอ่ยได้อย่างไม่ใส่ใจ

จะแต่งแล้วแต่งอีกหรือแต่งกับสตรีหลายคนก็ยังได้

แค่ต้องแต่งกับบุตรสาวบุญธรรมของผู้อาวุโสตรงหน้าจึงไม่นับว่าเป็นอะไรทั้งสิ้นสำหรับเจิ้งเซียวเล่อ

เขาเพียงแค่รับน้องสาวมาดูแลเพิ่มหนึ่งคนผ่านพิธีแต่งงานก็เท่านั้น

เพราะหลายปีก่อน เขาเกือบก้าวเท้าเข้าประตูผีมาแล้ว หากไม่มีชายชราตรงหน้า เกรงว่าคงไม่มีเจิ้งเซียวเล่อในวันนี้

เมื่ออีกฝ่ายไว้ใจฝากคนสำคัญ เจิ้งเซียวเล่อจึงไม่มีทางไม่รับเอาไว้

เจิ้งเทียนฉียกยิ้ม “ย่อมดี”

ชายทั้งสองผู้เป็นลุงกับหลานชายคุยกันเรื่องสำคัญจบลงก็ยังคงคุยเรื่องอื่นตามวิสัย ด้วยมิใช่คนอื่นคนไกล ทั้งสองเปิดอกคุยกันได้ทุกเรื่องราว

“เสด็จลุงคงทราบแล้ว ข้ามีความดีความชอบปานนั้นทำให้บ้านเมืองสงบสุขแท้ๆ แต่เสด็จพ่อทรงนำมาเป็นเหตุผลในการเรียกกองกำลังคืนห้าส่วนก่อนอวยยศข้าเป็นเจี้ยนอ๋อง พระราชทานวังหรูหรานอกเมืองพร้อมสาวงามจำนวนมาก เพื่อให้ข้าใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ ร่ำสุรานารี ปรารถนาให้ข้าทำตัวเสเพลทุกค่ำคืน ไม่ต้องคิดเข้าไปเล่นเล่ห์ในราชสำนักให้ปวดหัว อยู่อย่างไร้ตัวตนไปวันๆ”

เจิ้งเทียนฉีหรี่ตานิ่งฟัง เพราะแพ้ทั้งกระดานแล้ว หลานชายผู้นี้ไม่เคยยั้งมือไว้ไมตรีไม่ว่าผู้เฒ่าคนชราจริงๆ เขาจึงเลิกเล่นหมากล้อม เพียงยกถ้วยชาขึ้นเป่าเบาๆ แล้วจิบคำหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงขรึม

“เมื่อมีความสามารถ มีความดีความชอบมากมาย ในสายพระเนตรย่อมหมายถึงมีดาบสองคมอันตรายข้างวรกาย”

เขารู้ดีถึงนิสัยของฮ่องเต้ผู้เป็นน้องชาย

นิสัยหยาบกระด้างแต่น่าเกรงขามไม่เห็นหัวใครเฉกเช่นเจิ้งเซียวเล่อ ไม่เคยมีใครโหดเหี้ยมเท่าเขา มีแต่คนเกรงกลัวเขา พระบิดาจึงเกรงว่าเขาจะเหิมเกริมไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

คงกลัวถึงขั้นคิดว่าเขาอาจก่อกบฏยึดบัลลังก์พระบิดา จึงมอบตำแหน่งเจี้ยนอ๋องพร้อมวังกับสาวงาม

แต่กลับไม่มอบที่ดินศักดินาและกองกำลังให้ปกครองเอง

เห็นได้ชัดว่าต้องการให้โอรสองค์นี้อยู่ในอาณาเขตจำกัด ไม่อาจขับออกจากเมืองหลวงให้อยู่ไกลสายพระเนตรพระกรรณ ทั้งคิดให้เป็นเขี้ยวเล็บที่แหลมคมที่สุดในพระหัตถ์ยามฉุกเฉิน

เจิ้งเทียนฉีเข้าใจน้องชายของตนดี และยิ่งรู้จักหลานชายตัวเองอย่างลึกซึ้ง เพราะเจิ้งเซียวเล่อมากฝีมือมีความสามารถถึงขั้นก่อกบฏยึดบัลลังก์และตำแหน่งอันควรได้จริง ๆ

แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำ!

ไม่ว่าตำแหน่งรัชทายาทหรือตำแหน่งเจ้าแห่งแผ่นดิน เจิ้งเซียวเล่อไม่สนใจทั้งสิ้น

นั่นล่ะ! หลานรักของเขา ซึ่งมีนิสัยคล้ายคลึงกับเขา

เจิ้งเทียนฉีกล่าวกับชายหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอีกว่า “แล้วโอรสสุดที่รักอย่างองค์ชายใหญ่เจิ้งซงหยวนเล่า?”

เจิ้งซงหยวนเป็นองค์ชายลำดับที่หนึ่ง ได้ครองตำแหน่งรัชทายาท ทั้งหล่อเหลาสง่างาม อุปนิสัยเยือกเย็นสุภาพอ่อนโยน เป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้และฮองเฮา เป็นองค์ชายรูปงามที่สุดในเหล่าโอรสทั้งสี่ เป็นที่สนใจและหมายปองของหญิงสาวทั่วเมือง

เจิ้งเซียวเล่อเอ่ยถึงพี่ชายด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พี่ใหญ่ยังช่วยส่งสาวงามเพิ่มให้ข้าอีกจำนวนหนึ่งปะไร ยามนี้วังของข้ามีแต่สาวงามเต็มไปหมด”

ได้ฟังน้ำเสียงขึ้นจมูกของอีกฝ่าย อ๋องเฒ่าถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เขามิได้ใส่ใจกับการมีสาวงามเต็มวังเช่นนั้น เพราะมันมิได้เป็นอุปสรรคต่อการแต่งพระชายาแต่อย่างใด

บุรุษผู้เป็นถึงราชนิกุล มีใครบ้างไม่มีสาวงามอุ่นเตียง พวกเขามีจนใช้งานไม่หวาดไม่ไหว ยังไม่นับรวมอนุชายาอีกหลายตำแหน่ง การที่เสี่ยวเล่อหลานรักจะมีสาวงามหลายสิบคนจึงไม่นับเป็นอะไรทั้งสิ้น

เพราะเขายังไม่มีกระทั่งอนุชายาสักคนเดียว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel