3. พวกเราก็แค่คนที่ขี้แพ้ทั้งคู่【2】
“หรือว่าเป็นลูกครึ่ง”
“ไม่ใช่ทั้งสองครับ”
“หือ” คนขับรถขมวดคิ้ว
“ไม่ได้มีเมียเป็นคนไทย และไม่ใช่ลูกครึ่ง”
“ถ้างั้นทำไมถึง...”
“ผมเคยตกหลุมรักสาวไทยน่ะ” อีริคตอบด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ สีหน้าและแววตาส่งผ่านความเศร้าในใจออกมาอย่างชัดเจน
เขามองออกไปนอกรถผ่านกระจก แม้แสงสีสวยงามที่เห็นตอนรถขับผ่านจะน่าสนใจ แต่มันก็ไม่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
“แปลว่าไม่สมหวังเหรอ”
“ครับ” อีริคพยักหน้าและยิ้มบาง ๆ
“เธอมีคนที่เธอรักอยู่แล้วน่ะ”
“ลืมเธอได้หรือยัง”
“ไม่เลย เธอยังวนเวียนอยู่ในความคิดของผมตลอดเวลา” อีริคหัวเราะออกมา
เขารู้สึกสมเพชตัวเองอยู่ไม่น้อยจนคนขับรถยังรู้สึกได้
“ผมก็เคยรักใครบางคนเหมือนกัน”
“หือ” อีริคหันมามองคนขับรถ คิ้วเลิกสูงด้วยความประหลาดใจ
“จริงเหรอครับ”
“จริงสิ ผมจะโกหกทำไม”
“แล้วสมหวังไหม”
“ไม่อ่ะ” คนขับรถหัวเราะแล้วส่ายหน้า
“ผมเป็นแค่คนขับรถแท็กซี่ หาเช้ากินค่ำ ครอบครัวเขาเลยไม่ปลื้มเท่าไรน่ะ”
“คุณคงพยายามที่สุดแล้ว”
“ใช่” คนขับรถพยักหน้า
“แต่ความพยายามใช้ไม่ได้กับความรักหรอก มันยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง สิ่งที่คนขี้แพ้อย่างพวกเราทำได้ก็คือยอมรับและก้าวต่อไปข้างหน้า”
“...”
“แล้วสักวัน คุณก็จะเจอความรักที่ดีเอง”
“จริงของคุณนะ” อีริคยิ้มกว้าง รู้สึกดีขึ้นเมื่อเจอคนหัวอกเดียวกัน
ทั้งสองคุยกันเพลินจนไม่ทันได้มองความสวยงามของเมืองภูเก็ตในยามค่ำคืน ไม่นานนักรถแท็กซี่ก็จอดลง ณ ถนนคนเดินที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
“ที่นี่แหละ”
“คึกคักกว่าที่คิดนะ”
“เมืองท่องเที่ยวก็แบบนี้แหละ”
“ขอบคุณนะครับ”
“แค่จ่ายค่าโดยสารก็พอ ผมไม่ต้องการคำขอบคุณหรอก” คนขับรถพูดติดตลก พลอยทำให้อีริคหัวเราะตามไปด้วย
เขาควักธนบัตรใบสีเทาออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้คนขับรถอย่างเต็มใจ
“ขอบคุณที่ลุงคุยเป็นเพื่อนผมระหว่างทางต่างหาก” อีริคว่า
“ค่าโดยสารแค่ร้อยกว่าบาท ผมไม่มีทอนหรอกนะ”
“ไม่ต้องทอนหรอกครับ ผมให้”
“จริงเหรอ”
“จริงสิครับ”
“แบงก์ปลอมหรือเปล่าเนี่ย” คนขับรถคว้าธนบัตรจากมือของอีริคมาส่องกับไฟทันที เพื่อหาจุดสังเกตว่าเป็นของปลอมหรือไม่ อีริคเห็นแบบนั้นถึงกับหัวเราะออกมา
“ของจริงแน่นอนครับ”
“ขอบคุณครับ” คนขับรถยิ้มกว้างก่อนจะเก็บธนบัตรใส่กระเป๋าเสื้อ
“ขอให้เจอรักแท้เร็ว ๆ ล่ะ”
“คุณก็เช่นกัน” อีริคโบกมือลาก่อนจะก้าวลงจากรถและมองเขาขับออกไป
เมื่อรถแท็กซี่ลับสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงมองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าควรจะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร้านอาหารร้านหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ลูกค้าที่เยอะเป็นพิเศษทำให้สะดุดตาเขาไม่น้อย
“ร้านนั้นดูขายดีแฮะ ลองไปดูดีกว่า” อีริคพูดกับตัวเอง เขาเดินล้วงกระเป๋าและกำลังจะข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้า สายตาของชายหนุ่มเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งสะดุดตาขึ้นมา
ร่างเล็กเจ้าของผมยาวสีดำ มัดผมขึ้นเป็นดังโงะเผยให้เห็นต้นคอขาวเนียนสูงระหง ดวงตากลมโต แก้มแดงปลั่ง ริมฝีปากเป็นกระจับสวยงาม แม้ใบหน้าจะเปื้อนไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่ไม่ทำให้ความสวยของเธอลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว เธอกำลังผัดอะไรบางอย่างอยู่ที่กระทะตรงหน้า
สวย อีริคคิดในใจ
เขาหยุดมองเธอโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งชายหนุ่มเห็นเด็กคนหนึ่งวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางของทั้งสองเหมือนแม่กับลูกเล่นด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น มันทำให้ชายหนุ่มคิดถึงเซลีนขึ้นมาอีกแล้ว
“เซลีน เธอจะกวนใจฉันตลอดเวลาเลยหรือไงกัน” อีริคพึมพำกับตัวเองและพยายามส่ายศีรษะเพื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป เขาหยุดมองหญิงสาวและเด็กคนนั้นก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปที่ถนนคนเดินแทน
อีกฝั่งหนึ่งของถนนคนเดิน
“แม่ครับ มาเล่นกันไหม” กล้าหาญร้องเรียกนาราที่เพิ่งจะปิดเตาแก๊สไปเมื่อสักครู่ เธอยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อและหันมาอุ้มกล้าหาญเอาไว้
“แม่ยังทำงานไม่เสร็จเลยครับ ไปเล่นกับคุณยายก่อนไหม”
“ยายก็ไม่ว่างครับ”
“งั้นกล้าหาญต้องเล่นคนเดียวไปก่อนนะจ๊ะ”
“ไม่เอา กล้าหาญอยากเล่นกับแม่” เด็กชายลากเสียงยาวอย่างเอาแต่ใจ
“กล้าหาญ ลูกเห็นไหมครับว่าแม่น่ะงานยุ่งขนาดไหน” นาราเริ่มทำเสียงดุขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้เด็กชายวัยสี่ขวบกลัว ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลเสียด้วย เมื่อกล้าหาญหยุดงอแงและพยักหน้าเชื่อฟังแต่โดยดี
“เก่งมาก” นารายิ้มกว้าง
เธอปล่อยกล้าหาญลงก่อนที่เขาจะวิ่งกลับเข้าไปในห้อง เธอถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นและมองออกไปหน้าร้าน สายตาของเธอมองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งจากฝั่งตรงข้าม เหมือนเขากำลังมองมาที่เธอก่อนจะหันหลังกลับและเดินไปทางถนนคนเดินแทน
“เมื่อกี้รู้สึกเหมือนถูกมองอยู่เลยแฮะ” เธอบ่นพึมพำ ก่อนจะเลิกคิดแล้วหันไปทำงานที่คั่งค้างต่อ