บทที่ 12 ฝันประหลาด
คืนนี้เจียงยิ่งหลีจัดการยืดเส้นยืดสายก่อนนอนเสร็จ ก็จัดการบาดแผลต่อ
ตอนนั้นบาดแผลดูน่าตกใจอยู่ แต่ระยะนี้นางทั้งกินยาแก้อักเสบ และเปลี่ยนยาทุกวัน บวกกับร่างนี้ยังสาว กระบวนการเก่าไปใหม่มาก็ดี บาดแผลเลยค่อยๆตกสะเก็ดแล้ว
พรุ่งนี้นางจะออกจากบ้านไปทำธุระ ไม่สามารถออกไปทั้งๆบาดแผลแบบนี้ได้ พรุ่งนี้ดูท่าน่าจะแกะผ้าพันแผลได้แล้ว
นางพันผ้าพันแผล และใส่ยากลับเข้าพื้นที่มิติการรักษา ก่อนมุดเข้าใต้ผ้าห่ม ตอนกลางวันทั้งขึ้นเขาทั้งหาของ นางเองก็เหนื่อยมาก แทบจะหัวถึงหมอนก็หลับเลย
จากนั้นนางก็ฝันประหลาด
ในฝันยู่ฉีกวางนั่นก็มาตามเสิ่นจวิ้นอี้ไปเข้าร่วมการสอบ และเพราะเสิ่นจวิ้นอี้ยืนกรานปฏิเสธ การพยายามเกลี้ยกล่อมของยู่ฉีกวางสะเทือนไปถึงแม่เสิ่นที่อยู่ในห้อง
แม่เสิ่นขู่จะฆ่าตัวตาย ในที่สุดเสิ่นจวิ้นอี้เลยรับปากไปลองเข้าสอบที่สำนักศึกษาหยุนลู่ดู
สุดท้ายสำนักศึกษาหยุนลู่มีนักศึกษามาไม่น้อย แถวต่อกันยาวมาก มีรถม้าของลูกขุนนางคนหนึ่งนั่งมาเกิดหลุดการควบคุม วิ่งเตลิดใส่กลุ่มฝูงชน จึงเกิดเหตุเหยียบกัน
เดิมเสิ่นจวิ้นอี้ขามีข้างเดียวก็ยืนไม่มั่นคงอยู่แล้ว ถึงจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ทำเอาแขนขวาหัก บาดแผลที่เท้าก็สาหัสยิ่งขึ้น สุดท้ายเพราะมือได้รับบาดเจ็บไม่อาจเข้าสอบได้ ได้แต่กลับไปอย่างน่าเสียดาย
พอแม่เสิ่นรู้เรื่องนี้ก็เสียใจหนักมาก และคิดว่าตนให้ร้ายลูกชาย เลยยิ่งป่วยหนักมากขึ้น ไม่นานก็ลาจากโลกไป
เจียงยิ่งหลีพลันสะดุ้งตื่น
ภาพในความฝันหมุนวนไปมาในหัวนางไม่หยุด แต่ละรายละเอียดชัดเจนมาก
เจียงยิ่งหลีมองดูท้องฟ้านอกหน้าต่างที่ใสกระจ่าง ไม่มีอารมณ์นอนต่อละ
นางลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ล้างหน้า และบอกตนเองว่ามันคือความฝัน ถึงได้สติกลับมา
นางแกะผ้าพันแผลออก และฉีดยาฉีดของหยุนหนานไป๋เหยาอย่างลวกๆ เอาหน้าม้าปิดเอาบาดแผลเอาไว้
พอเจียงยิ่งหลีล้างหน้าเสร็จแล้ว นางครุ่นคิด ก่อนหมักแป้ง ระหว่างการหมัก นางเลยจัดการเห็ดและผักป่าที่เมื่อวานเก็บกลับมา ผสมกับกากหมูที่เหลือจากการเคี่ยว ทำเป็นซาลาเปากากหมูเห็ดกับซาลาเปาเห็ดผักป่า
และยังต้มไข่ไก่เพิ่มอีกสี่ฟอง
นางยัดไม้ฟืนกองหนึ่งใส่เตาไฟ เอาฝาปิดเตานึ่ง จากนั้นเอาเห็ดหูหนูที่เหลือในตะกร้าออกมาตากแดดใต้ชายคา
ตอนนี้เองเสิ่นจวิ้นอี้ก็ตื่นนอนแล้ว พอเขาเห็นร่างอวบอ้วนที่กำลังยุ่งงานที่หน้าประตู ก็อึ้งไปเล็กน้อย และสังเกตเห็นหน้าผากนาง “...แผลเจ้าหายดีแล้วรึ?”
“อ๋า ใช่” เจียงยิ่งหลีได้สติกลับมา และปัดฝุ่นบนมือออกให้สะอาด “แค่ดูอาการหนัก ที่จริงแล้วมิเป็นอะไร ข้ายังสาวไง ความสามารถในการฟื้นฟูเลยดีหน่อย!”
เสิ่นจวิ้นอี้ขมวดคิ้ว ทนไม่ไหวเหลือบมองนางเสียหลายที
ไม่ควรนี่นา!
ตอนนั้นที่ท่านหมอให้มาเป็นแค่ผงยาห้ามเลือดธรรมดา มิได้เป็นยาจินชวงชั้นดีอะไร ยังไงก็ต้องพักฟื้นเสียครึ่งเดือน ทำไมหายเร็วเพียงนี้?
เจียงยิ่งหลีไม่อยากพูดคุยเรื่องนี้ต่อ “จริงสิ ในเตามีน้ำร้อนอยู่ เจ้าไปบ้วนปากล้างหน้าเถอะ!ข้าวเสร็จแล้ว พอกินข้าวเสร็จ เราก็จะไปนั่งรถลากวัวที่หน้าหมู่บ้านกัน”
เสิ่นจวิ้นอี้สงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรมาก เขาเม้มปากเดินกะเผลกไปบ้วนปากล้างหน้า แล้วเลยยกน้ำเข้าไปให้แม่เสิ่นในห้องด้วย
พอเขากลับมา เจียงยิ่งหลีก็จัดอาหารเช้าเสร็จ
นางลดความอ้วนเลยกินแค่ซาลาเปาอันเดียว
อันที่จริงซาลาเปาก็ไม่เล็ก ใหญ่เท่ากำปั้นนางเลยทีเดียว พลังงานเพียงพอสำหรับครึ่งวันของคนโตเต็มวัยแล้ว
นางมองดูหุ่นบอบบางของเสิ่นจวิ้นอี้แล้วลังเลครู่หนึ่ง ให้ซาลาเปาเนื้อกับเขาอีกอันละกัน
“นั่นให้แม่เจ้า เจ้าเอาเข้าไปเถอะ!” นางชี้ไปที่อีกชุด
เสิ่นจวิ้นอี้เห็นน้ำแกงไข่ดอกแล้วอดแปลกใจไม่ได้ “นี่มัน....”
“แม่เจ้าล้มป่วยต้องการสารอาหาร ข้าซื้อไข่ไก่พวกนี้กับป้าเลี่ยว และเอามาทำน้ำแกงไข่ดอกตั้งแต่เช้า จะได้กินกับซาลาเปา เจ้ารีบยกเข้าไปเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน!” เจียงยิ่งหลีเร่งเร้า
เสิ่นจวิ้นอี้มุมปากกระตุก สุดท้ายได้แต่ยกเข้าไปอย่างว่าง่าย
เจียงยิ่งหลีเห็นในห้องไม่มีเสียงอะไร ก็นั่งกินซาลาเปาผักและเห็ดกับไข่ไก่ส่วนของตนจนหมดอย่างพอใจ
พอกินเสร็จ นางเอาโสมป่าชั้นดีนั่นห่อผ้าอย่างระมัดระวัง เริ่มห่อสัมภาระให้เสิ่นจวิ้นอี้
เพราะว่าจะไปในเมือง พอคิดถึงแถวยาวในฝัน หลังจากนางใส่น้ำลงในกระบอกไม้ไผ่เสร็จ ยังใส่ซาลาเปาเพิ่มลงไปอีกสองลูก สุดท้ายก็ยัดไข่ไก่อีกสองฟองลงไป
เสิ่นจวิ้นอี้ออกมาเห็นภาพนี้เข้าพอดี สายตาเขากลิ้งกลอกไปมา และเอาเงินสองตำลึงที่เจียงยิ่งหลีให้ออกมา
“เงินนี่เจ้าเอาคืนไปนะ”
เจียงยิ่งหลีอึ้งเล็กน้อย แต่ยื่นมือดันเงินกลับไป “ข้าไม่ต้องใช้หรอก เจ้าเก็บไว้เองเถอะ อีกเดี๋ยวจะเช่ารถแล้วยังรายงานตัวล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้นไม่ใช่รึ? อีกครู่ข้าจะเอาโสมไปขายก็มีเงินแล้ว เอาล่ะเอาล่ะ อย่ามัวพิรี้พิไรเลย นี่ก็สายมากแล้ว ไปเถอะ”
เสิ่นจวิ้นอี้โดนเร่งรัดให้เก็บสัมภาระอย่างง่ายๆ เลยคว้าไม้เท้าเดินกะเผลกออกไป
เจียงยิ่งหลีถือห่อสัมภาระเล็กใหญ่อย่างละใบเดินไปข้างหน้า กว่าจะถึงหน้าหมู่บ้าน รถวัวลากจอดรออยู่แล้ว บนรถมีชาวบ้านนั่งอยู่ไม่น้อย ข้าวของวางไปครึ่งรถ ต่างกำลังนั่งสัปหงกกัน
พอเห็นบนรถวัวลากมีที่ว่างไม่มากแล้ว เจียงยิ่งหลีรีบพุ่งขึ้นรถทันที พอจองได้สองที่ นางรีบหันไปกวักมือเรียกเสิ่นจวิ้นอี้ไวๆ
“เสิ่นจวิ้นอี้ รีบมาเร็ว”
คนในหมู่บ้านพอเห็นเจียงยิ่งหลีก็มีสีหน้าไม่ดี พอเห็นเสิ่นจวิ้นอี้ก็ยิ่งหนักเลย
ถึงเสิ่นจวิ้นอี้จะหน้าตาดี นอกจากนิสัยเย็นชาไม่ชอบพูดจาแล้ว ทุกอย่างล้วนดีมาก บวกกับเป็นบัณฑิต ปกติหากขอให้เขาช่วยเขียนคำอวยพรหรือจดหมายอะไรพวกนี้เขาก็ยินดีช่วยอย่างมาก เป็นคนดีที่คนในหมู่บ้านพากันชื่นชม
แต่มันช่วยอะไรไม่ได้กับความเป็นคนดวงซวยของเขาเลย!
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่มีข่าวลือเกิดขึ้นในหมู่บ้านว่า หากผู้ใดเข้าใกล้เสิ่นจวิ้นอี้ก็จะซวยไปด้วย บวกกับมีคนไม่น้อยโดนเข้าแล้ว นานวันเข้า เสิ่นจวิ้นอี้ก็กลายเป็นร่างอวตารกลับชาติมาเกิดของตัวซวยในหมู่บ้านไปเลย ทุกคนต่างพากันหลีกเร้นเขาให้ไกล ไม่มีใครยอมคบค้ากับเขาเลย
เสิ่นจวิ้นอี้สังเกตเห็นเช่นกัน เขาเดินกะเผลกอยู่ ด้านข้างเขาพลันมีเงาร่างคนผ่านไปยืนตรงหน้าเขา อีกฝ่ายยังหันมาร้องบอกเสียงดังว่า “รีบหน่อย อาหรง ยังมีที่ว่างอยู่”
คนที่มาคืออาสะใภ้สามเจียง ยังมีป้าใหญ่เจียงกับเจียงชิงหรงซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆของนาง
เจียงชิงหรงเป็นชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปร่างสูงโปร่ง เขาแบกถุงหนังสือ เหงื่อไหล่เต็มหน้า ก้าวเท้ายาวรวดเร็ว คิดจะขึ้นรถ
เจียงยิ่งหลีไม่พอใจ เลยถีบเข้าให้หนึ่งที “ใครมาก่อนได้ก่อน เข้าใจไหม?”
เจียงชิงหรงขมวดคิ้วร้องบอก “เจียงยิ่งหลี เจ้าทำอะไรน่ะ?”
ป้าใหญ่เจียงรีบตามหลังมาติดๆ สายตาทอประกายโกรธขึ้ง พูดอย่างเดือดดาลว่า “อาหลี พี่ชายของเจ้าจะไปรายงานตัวเข้าสอบที่สำนักศึกษาหยุนลู่ นี่มันเกี่ยวพันกับอนาคตของเขาเลยนะ เจ้าอย่าดื้ออีกเลย รีบเอาที่มาเร็วๆ”
เจียงยิ่งหลีชี้ไปที่เสิ่นจวิ้นอี้ “ขอโทษด้วยนะ สามีข้าก็จะไป พวกเราไม่ยกที่ให้ ท่านพี่ ขึ้นมาเร็ว”
พอได้ยินดังนั้น อาสะใภ้สามเจียงเหมือนได้ยินเรื่องตลกอะไรหนักหนา นางชี้ไปที่เสิ่นจวิ้นอี้ด้วยสายตาเย็นชา พลางหัวเราะเสียงดังว่า “เสิ่นจวิ้นอี้ไปสอบ? มันยังขาพิการอยู่เลย! ไปสอบบ้าอะไรกัน!”
“อีกอย่าง ใครไม่รู้กันว่าเสิ่นจวิ้นอี้น่ะดวงซวย ถ้ามันสอบติด แม่หมูก็ขึ้นต้นไม้ได้แล้ว! ทุกคนว่าจริงไหมเล่า?”
“ไหนเลยจะเหมือนพี่ชายเจ้า เป็นถงเซิงแล้ว นี่ก็ใกล้จะได้เป็นจอหงวนแล้ว! ถ้าเจ้ามาขวางล่ะก็ ปู่กับย่าเจ้าต้องตีขาเจ้าจนหักแน่!”