บทที่ 4 เซียวลิ่งเยว่ตายแล้ว
เซียวลิ่งเยว่หอบลูกวิ่งออกจากอีกด้านหนึ่งของถ้ำ และวิ่งเข้าไปในป่า
นางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใต้ตีนเขามาเก้าเดือน นางมักจะมาเก็บยาสมุนไพรอยู่บนภูเขาเป็นประจำ นางจึงรู้เส้นทางลักษณะของภูเขาอย่างดีแล้ว
ห่างจากถ้ำนี้ไปหนึ่งร้อยเมตร และวิ่งผ่านป่านี้ไปก็จะเป็นหน้าผาแล้ว
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
จ้านเป่ยหานรีบวิ่งตามอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาจะตามนางทันแล้ว
เซียวลิ่งเยว่หันกลับมามอง คบไฟจำนวนมากส่องสะท้อนมาราวกับแมงมุมแดงอย่างไรอย่างนั้น
ดีมาก ทหารตามกันมาหมดเลย
นางอาศัยความมืดและความได้เปรียบทางภูมิประเทศวิ่งในป่าอย่างราบรื่น
ข้างหน้าเป็นหน้าผา มีเสียงลมกระโชกมาอย่างรุนแรง
เขาเห็นผู้หญิงร่างบอบบางวิ่งไปทางหน้าผาโดยไม่หันหน้ากลับมา จ้านเป่ยหานสีหน้าเปลี่ยน ตะโกนพูดว่า“เซียวลิ่งเยว่ เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“เฮือก…”
เซียวลิ่งเยว่หยุดอยู่บริเวณหน้าผา เท้าครึ่งหนึ่งของนางเหยียบอยู่ตรงขอบ และเม็ดทรายล่วงลงหน้าผา
“หยุดเดี๋ยวนี้ ถ้าเข้ามาใกล้อีกแม้แต่ก้าวเดียว หม่อมฉันจะกระโดดลงไป!”
ใบหน้าของนางซีดเผือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง อ้อมกอดโอบทารกแรกเกิดไว้อยู่
จ้านเป่ยหานชะงักฝีเท้า ยกมือขึ้นให้หยุด
ทหารมากมายที่อยู่ด้านหลังพากันทยอยหยุดตามคำสั่ง
“เจ้าอยากตายหรือ?”จ้านเป่ยหานจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา
ไม่เจอกันเก้าเดือน เหมือนผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปเยอะเลย นางเพิ่งจะคลอดลูก ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้ารูปไข่ซีดเผือด
เซียวลิ่งเยว่มองจ้านเป่ยหายด้วยนัยน์ตาสุกสกาว“จ้านเป่ยหาน ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หม่อมฉันไม่เคยคิดร้ายต่อท่านเลยเพคะ”
จ้านเป่ยหานยิ้มอย่างเยือกเย็น ตอบกลับเพียงสายตาเหยียดหยาม
ในสายตาของเขา นางเป็นเพียงเซียวลิ่งเยว่ผู้หญิงไร้ยางอาย โง่เขลา น่าเกลียดน่าชังคนหนึ่ง
“ร่างกายหม่อมฉันได้รับพิษอย่างรุนแรง เหลือเวลาไม่มากแล้ว ต่อให้ท่านอ๋องไม่เชื่อหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่จำเป็นต้องหลอกลวงอะไรท่านอ๋องอีกต่อไปแล้ว”
เซียวลิ่งเยว่น้ำเสียงเศร้าโศก นางก้มหน้ามองทารกที่อยู่ในอ้อมกอด นัยน์ตามีความอาลัยและจนปัญญาแฉลบผ่าน
“ไม่ว่าหม่อมฉันกับท่านอ๋องจะมีความแค้นกับมากแค่ไหน ถึงยังไงลูกก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอ๋อง ก่อนตาย หม่อมฉันมีเรื่องจะขอท่านอ๋องเพียงเรื่องเดียวเพคะ ท่านอ๋องช่วยดูแลเขาจนเติบใหญ่ อย่าให้ใครรังแกเขานะเพคะ”
จ้านเป่ยหานขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า“เจ้าพูดจบหรือยัง?”
เขาไม่เชื่อว่านางได้รับพิษรุนแรง และมีเวลาเหลืออีกไม่นาน คำพูดเลอะเทอะแบบนี้เอามาหลอกคนชัดๆ
คนแผนการเยอะอย่างนาง ปลิ้นปล้อนกะล่อนอย่างนาง จะตายง่ายๆที่ไหน!
นางคิดจะทำอะไรกันแน่?
จ้านเป่ยหานจ้องเขม็งมองนาง เขายกมือขึ้นช้าๆพูดว่า“เซียวลิ่งเยว่ ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะ อย่ามาตุกติก รีบยอมให้จับเสียดีๆ!”
ทหารค่อยๆขยับเข้าใกล้ ในมือของพวกเขามีดาบ มีมีด มีคบเพลิง มีแม้กระทั่งเชือกป่านกับแหจับคนโดยเฉพาะ
แบบนี้คือคิดจะจับเป็นนาง!
ถ้านางถูกเขาจับได้ นางจะต้องตายทั้งเป็นหรือเปล่า และลูกสองคนก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่เย็นเป็นสุข…..
นางจำเป็นต้องเลือก
เซียวลิ่งเยว่สีหน้าซีดเผือด ยิ้มเจื่อนๆพูดว่า“หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องไม่เชื่อ”
“แต่ครั้งนี้ หม่อมฉันเอาจริง”
นางโอบกอดลูก จากนั้นก็โยนลูกไปทางจ้านเป่ยหาน
เมื่อเห็นว่าเด็กกำลังจะตกพื้น
จ้านเป่ยหานตกใจ สัญชาตญาณของร่างกายไวกว่าความรู้สึก เขารีบโผเข้าไปรับเด็กและตะคอกใส่ว่า“เซียวลิ่งเยว่! เจ้าเป็นบ้า……”
เสียงตะคอกยังไม่จบ เซียวลิ่งเยว่ที่อยู่อยู่บริเวณหน้าผายิ้มจางๆ จากนั้นก็กระโดดลงไปอย่างไม่ลังเลใจ
ผมดำขลับลอยลม ค่อยๆหายไปจากบริเวณหน้าผา
นางกระโดดลงไปแล้ว!
จ้านเป่ยหานเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ คนทั้งคนยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
ทารกในอ้อมแขนเหมือนรับรู้ถึงการจากไปของนาง จู่ๆก็ร้องไห้ดังลั่น“แงๆๆ ——”
เสียงร้องไห้ดังทั่วหุบเขา
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
เซียวลิ่งเยว่เดินโซเซด้วยความอิดโรยอุ้มทารกอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากป่าเขา
ฟ้ามืดมน นางหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองทางภูเขา
คบไฟจำนวนมากส่องสะท้อนในหุบเขา เหมือนดวงไฟเหล่านั้นกำลังค้นหาตรงตำแหน่งที่นาง“กระโดดหน้าผา”ลงมา เหมือนกำลังหา“ศพ”ของนางอยู่
เซียวลิ่งเยว่เหม่อลอยเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกโล่งใจ
ไม่ใครรู้ว่านางมีลูกแฝด
นาง“กระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย”ต่อหน้าผู้คน ก่อนตายนางได้เอาลูกที่เพิ่งจะคลอดให้จ้านเป่ยหานคนหนึ่ง เป็นหลักฐานที่แน่นหนาแล้ว
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป“เซียวลิ่งเยว่”ตายไปแล้ว
และนางก็จะสามารถเปลี่ยนฐานะได้ นางกับลูกก็จะเป็นอิสระ และตัดขาดกับเขาได้สักที
……
ห้าปีต่อมา
ท้องถนนเล็กๆบริเวณชานเมือง มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาช้าๆ
ไม่ไกลมาก มีชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งจนตรอกออกมาจากป่า พวกเขาโซซัดโซเซ ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด
หญิงสาวผมยุ่งเหยิง ประคองฝ่ายชายด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อเห็นว่ามีรถม้าแล่นมา นางก็ลุกลี้ลุกลนตะโกนว่า“ช่วยด้วย! ช่วยพวกเราด้วย……”
นางทั้งวิ่งทั้งตะโกน พอไม่ทันระวังก็สะดุดล้ม ฝ่ายชายที่นางประคองก็ล้มลงไปด้วย บาดแผลเต็มตัวเลือดไหลไม่หยุด
“ช่วยด้วย! มีคนอยู่ไหม ช่วยพวกเราด้วย…..”
หญิงสาวร้องไห้ตะโกนด้วยความสิ้นหวัง นางล้มลุกคลุกคลานรีบไปประคองฝ่ายชาย
“หยุดรถ”เสียงผู้หญิงที่อยู่ด้านในรถม้าดังขึ้น
คนขับรถม้าดึงเชือก และหยุดรถม้าช้าๆ
เซียวลิ่งเยว่เปิดประตูรถม้าออกมา นางลงมาจากรถ ใบหน้ามีผ้าคลุมปิดอยู่ ตอนนี้เห็นแค่เพียงดวงตาเท่านั้น
“ท่านแม่ แค็กๆๆ….”เสียงเด็กผู้ชายไออยู่ด้านในรถม้า
“แม่จะไปดู เดี๋ยวแม่มานะ ด้านนอกลมแรง เจ้ารอแม่อยู่ในนี้ อย่าออกมานะ”เซียวลิ่งเยว่สั่งกำชับ
“ขอรับ ~”เด็กผู้ชายตอบรับอย่างว่าง่าย
เซียวลิ่งเยว่ปิดประตูแน่น นางเดินไปหาชายหญิงคู่นั้น และมองพิจารณาพวกเขาอยู่แวบหนึ่ง“พวกเจ้าเป็นใคร? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หญิงสาวร่ำไห้น้ำตาอาบแก้ม เงยหน้าพูดว่า“ข้าเป็นคุณหนูสามของจวนโหวหนานหยาง เขาเป็นผู้คุ้มกันคนสนิทของข้า ระหว่างทางกลับเมืองหลวงพวกเราเจอเข้ากับโจร เขาปกป้องข้าจนได้รับบาดเจ็บ แม่นางช่วยเขาด้วยนะ ข้าขอร้อง!”
จวนโหวหนานหยาง?
เซียวลิ่งเยว่เลิกคิ้วขึ้น บังเอิญจริงๆ
นั่นไม่ใช่ครอบครัวแม่เลี้ยงของนางหรือ?
ผู้ชายที่ล้มอยู่ตรงหน้าบาดเจ็บไม่น้อย ตอนนี้สลบไปแล้ว
เซียวลิ่งเยว่นั่งยองๆ จับแมะชีพของฝ่ายชาย“บาดเจ็บภายนอก เขาเสียเลือดเยอะ”
“แม่นางคือ….”หญิงสาวมองนางด้วยความตื่นตะลึง
“ข้าเป็นหมอ”เซียวลิ่งเยว่เอาขวดยาข้างเอวออกมาสองขวด แล้วยื่นให้นาง
“ขวดหนึ่งเป็นยาใช้ภายนอก อีกขวดหนึ่งเป็นยากิน ไม่นานเขาก็ฟื้นแล้ว”
“ขอบคุณมาก! ขอบคุณมากแม่นาง โชคดีจริงๆ!”ฝ่ายหญิงดีใจ นางรับยามาแล้วรีบป้อนให้ฝ่ายชาย
เซียวลิ่งเยว่มองด้วยความสนใจ และถามขึ้นว่า“เจ้าเป็นลูกสาวภรรยาเอกของตระกูลเสิ่น เจ้าถูกเลี้ยงในหมู่บ้านตั้งแต่เด็ก จะเอาผู้พิทักษ์ข้างกายมาจากไหน?”
หญิงสาวสั่นระริก มองนางด้วยความหวาดกลัว“ท่าน….รู้จักข้าหรือ?”
“ข้าไม่รู้จักหรอก แต่เคยได้ยิน”
คุณหนูสามของจวนโหวหนานหยาง ถ้านางจำไม่ผิดล่ะก็ เหมือนสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก แถมยังถูกตราหน้าว่าเป็นลูกที่ข่มพ่อข่มแม่ นางถูกเลี้ยงดูที่ชนบทตั้งแต่เด็ก ไม่เคยกลับมาเมืองหลวงเลย