บทที่๔...เจ็บแปลกๆ (๑)
บทที่๔...เจ็บแปลกๆ
ประโยคนั้นยังดังก้องอยู่ในหัวแม้จะผ่านมาแล้วสามวัน หญิงสาวถอนหายใจขณะที่ใช้วันหยุดอยู่กับลูกชายของตนเอง สอนลูกอ่านอักษรภาษาไทยก่อนจะปล่อยให้เล่นตัวต่อหรือหุ่นยนต์ตามใจชอบ ขณะที่ตนเองก็ปลีกมาปอกผลไม้ใส่ตู้เย็นเอาไว้
งานที่ทำไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เนื่องจากกระจายไปแต่ละแผนก หล่อนก็มีแค่นำเรื่องไปให้ท่านรองประธานเซ็นเท่านั้น
บรรยากาศระหว่างพวกเขาค่อนข้างอึมครึมพอสมควร แต่ละวันผ่านไปเหมือนใจจะขาด อยากจะให้ถึงเวลาเลิกงานโดยเร็ว เมื่อนาฬิกาบ่งบอกว่าหมดเวลางานหล่อนก็เก็บของกลับบ้านทันทีไม่แม้แต่จะเข้าไปลาเจ้านายตนเอง
“แม่ถองหายใจอีกแล้ว” ลูกชายเข้ามาเอาน้ำหวานไปดื่มก็เห็นมารดากำลังใจลอยแล้วเอาแต่ถอนหายใจหลายรอบ
“ต้นจะเอาอะไรครับ” เมินประโยคของลูกก่อนจะเอ่ยถาม
“ง้ำหวางหมด” เหนื่อยใจกับการพูดนอหนูของบุตรชายไม่ได้จนฟังแล้วแทบไม่ได้ศัพท์ เธอย่อตัวลงมาให้สายตาอยู่ระดับเดียวกัน
“น้ำหวาน ไหนลองพูดสิครับ” ต้นกล้าเกาศีรษะก่อนจะพูดตาม
“ง้ำหวาง” เธอส่ายหน้า
“น้ำหวาน”
“ง้ำหวาง” สุดท้ายก็ถอดใจ เชื่อว่าโตขึ้นมากกว่านี้เดี๋ยวก็คงพูดได้เอง หล่อนหยิบแก้วมาจากมือเล็กแล้วรินน้ำหวานใส่พร้อมน้ำแข็ง
“อย่ากินเยอะนะ เดี๋ยวฟันผุ” เด็กชายพยักหน้าแข็งขัน
“ต้งกิงแล้วจะแปงฟัง ไม่ให้แมงกิงฟังต้ง” ถึงจะฟังยากแต่เพราะอยู่ด้วยกันมานานทำให้คนเป็นแม่ฟังออก หล่อนลูบหัวลูกชายก่อนเด็กน้อยจะเดินไปนั่งวาดภาพระบายสีอยู่ห้องรับแขก พร้อมเปิดสารคดีสำรวจดวงจันทร์
มีอย่างที่ไหนเด็กคนอื่นเปิดการ์ตูน ลูกชายเธอกลับเลือกจะดูสารคดีเสียอย่างนั้น หรือถ้าเป็นการ์ตูนก็ชอบดูโคนันเสียเหลือเกิน
“ต้นอยู่คนเดียวได้ไหมครับ เดี๋ยวแม่จะลงไปซื้อโลชั่นที่มินิมาร์ทข้างล่าง” เห็นว่าครีมทาผิวของตนเองหมดจึงคิดจะไปซื้อ ที่จริงเมื่อวานหลังกลับจากทำงานจะแวะไปซื้อก็ลืมเสียสนิท หล่อนเป็นคนติดทาผิวก่อนเข้านอนเสียด้วย ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับ
“ได้คับ ต้งเก่ง อยู่คงเดียวได้” เห็นอย่างนั้นจึงยิ้มให้พลางหันไปหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วออกจากห้อง
“คุณดรีมจะไปไหนเหรอครับ” หนุ่มข้างห้องเปิดประตูออกมาพอดี ดูจากชุดแล้วน่าจะเพิ่งตื่นนอนเป็นแน่
“จะลงไปซื้อของที่มินิมาร์ทข้างล่างค่ะ คุณซีนล่ะคะ” อีกฝ่ายปิดปากหาวก่อนจะตอบทั้งที่ยังคงสะลึมสะลือ เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงห้องก็เกือบตีสาม นอนยังไม่ครบห้าชั่วโมงเพื่อนก็บอกจะมาห้องเขาเลยต้องลงไปซื้ออาหารแช่แข็งไว้ต้อนรับ
เพราะที่ห้องของตัวเองแทบไม่มีอะไรติดตู้เลย ถ้าจะสั่งออนไลน์ก็ไม่อยากเสียเงินค่าส่งอีก แพงกว่าอาหารจนต้องส่ายหัว
“ผมว่าจะไปมินิมาร์ทเหมือนกันครับ เพื่อนจะมาห้องไม่มีอะไรให้มันกินเลย” ระหว่างรอลิฟต์เลยได้พูดคุยกัน
“เดี๋ยวดรีมทำข้าวเที่ยงแล้วเอาไปให้นะคะ ว่าจะทำข้าวผัดแล้วก็ต้มยำทะเลให้ต้นกล้าพอดี” เข้าไปภายในลิฟต์ก่อนจะเอ่ยขึ้น เล่นเอาชายหนุ่มโบกมือปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ยังไงก็ได้ทำอยู่แล้วครั้งนี้เอาไปฝากเพื่อนบ้านด้วย ถือเป็นคำขอบคุณที่ช่วยดูแลต้นกล้าแล้วกันนะคะ” ใบหน้าหวานแย้มยิ้มให้เขาเล่นเอาหัวใจคนมองทำงานหนัก เธอคงไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้คิดไม่ซื่อ แอบหลงรักสาวข้างห้องตั้งแต่วันแรกที่เจอ
แสนเสียดายที่รู้ว่าหล่อนมีลูกแล้ว ใจมันห่อเหี่ยวจนกระทั่งรู้ว่าหล่อนเลิกกับพ่อของต้นกล้า ทำให้เริ่มมีแรงฮึดขึ้นมา อยากเข้าไปแทนที่ อยากปกป้องดูแล พยายามแสดงตัวทว่าเธอกลับไม่รู้เลย คิดว่าเขาแค่ใจดีเท่านั้น
ซึ่งความจริงคนอย่างชีวานนท์ไม่ได้เข้าใกล้คำว่าใจดีสักนิด เขาทำอะไรก็หวังผลทั้งนั้นแหละ
“ใจดีจังเลยนะครับ” ประตูลิฟต์เปิดหล่อนจึงไม่ได้ยินคำที่เขาพูด พอจะหันมาถามอีกฝ่ายก็เดินออกไปก่อนแล้ว
เข้าไปในมินิมาร์ทก่อนจะเลือกซื้อของจำเป็นแล้วนำใส่ถุงผ้าที่เตรียมมาด้วย พอหันไปมองชีวานนท์พบชายหนุ่มหอบหิ้วเต็มสองมือ ก็อดขำไม่ได้
“เพื่อนผมมาหลายคนน่ะครับ” หล่อนจ่ายเงินเรียบร้อยก็หลีกทางให้เขา พอจะเดินขึ้นห้องร่างสูงก็รั้งไว้ด้วยคำพูด
“รอด้วยครับ ผมไม่อยากขึ้นไปคนเดียวมันเหงา” จำต้องยืนรอเขา ไม่นานชายหนุ่มก็ถือถุงที่ใส่อาหารแช่แข็งพลางส่งยิ้มให้หล่อน พากันเดินขึ้นไปบนห้องแต่ก็เจอพี่เลี้ยงจำเป็นของน้องต้นกล้าเสียก่อน
“ลันจะไปไหนเหรอ” ลัลนาอาศัยอยู่คอนโดนี้เช่นเดียวกันแต่อยู่คนละชั้นกับเธอ เห็นเด็กสาวแต่งตัวเหมือนจะออกไปข้างนอก
“อ้อ จะไปหาต้นกล้าค่ะ” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันทันที
“ไปด้วยนะคะ” สาวน้อยวัยสิบแปดเดินมาแทรกกลางระหว่างชีวานนท์และคุณแม่คนสวยอย่างรวดเร็ว เล่นเอาร่างสูงหันมามองด้วยความไม่ชอบใจ แต่กลับโดนเด็กแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ไม่เกรงกลัวเลยสักนิด
ยายเด็กทโมน!
“พี่เห็นแต่งตัวนึกว่าจะออกไปข้างนอก” มองดูชุดแล้วไม่น่าจะอยู่บ้านสักนิด
“ชุดอยู่บ้านค่ะ อยู่บ้าน” ย้ำอีกครั้งพร้อมมองชุดเดรสสีหวานของตัวเอง ผมยาวมัดเป็นหางม้าแถมผูกโบว์เอาไว้อีกด้วย แต่งหน้าเหมือนไม่ได้แต่งทั้งที่จริงมีรายละเอียดเยอะมาก
รวิสุดาเห็นลัลนายืนยันแบบนั้นก็จำใจเชื่อ พากันเดินมากดลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องพัก ระหว่างนั้นหนุ่มสาวต่างวัยก็มองกันพลางส่งสายตาทะเลาะ ไม่อยากเอ่ยปากให้คนกลางรู้ว่าพวกเขาไม่ค่อยชอบกันสักเท่าไหร่
แน่ล่ะ ยายเด็กลัลนาที่ทุกคนเห็นว่าน่ารักเรียบร้อยแท้จริงไปเที่ยวคลับที่เขาทำงานอยู่บ่อยมาก เจอกันแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์ แล้วไหนบอกมาเป็นพี่เลี้ยงให้ต้นกล้า
นี่มันหลอกลวงชัดๆ
“โอ๊ย” เสียงทุ้มร้องขึ้นก่อนจะมองไปที่หญิงสาวที่เพิ่งเรียนจบมัธยมปลายและกำลังจะเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัยด้วยแววตาวาว
“ขอโทษค่ะพี่ซีน ลันไม่ได้ตั้งใจ” แสร้งทำเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนรู้สึกผิด แต่เขารู้ดีว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย คงสมน้ำหน้าเขาอยู่เป็นแน่
“ไม่เป็นไรเลยครับน้องลัน ไม่เป็นไรเลย” กัดฟันตอบกลับ พอดีกับที่ถึงจุดหมายพวกเขาเลยได้ออกจากลิฟต์ แยกย้ายกันเข้าห้องโดยลัลนาเข้ามาช่วยพี่สาวคนสวยทำอาหารมื้อเที่ยงให้ลูกชายและเผื่อคนข้างห้องด้วย
ลัลนาแอบมองคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวด้วยแววตาสงสัย หล่อนไม่กล้าถามถึงสามีของอีกฝ่ายแต่พอรู้มาบ้างว่าแยกทางกันแล้ว อยากรู้เหลือเกินทำไมชายคนนั้นถึงกล้าทิ้งผู้หญิงแสนดีแบบนี้ไปได้
“พี่ดรีมทำกับข้าวเก่งจังเลยค่ะ” เอ่ยชมเมื่อชิมต้มยำที่ทำใกล้เสร็จ
“พี่เรียนจากยูทูป แต่ก่อนทำไม่เป็นเลย แต่พอมีเจ้าตัวน้อยก็อยากให้เขาได้กินอาหารดีๆ อร่อยๆ ลองเข้าครัวแล้วเห็นว่ามันไม่ยาก พอทำก็เริ่มสนุกเลยกลายเป็นติดทำอาหารกินเอง” เมื่อก่อนหล่อนอาศัยกินข้าวข้างทางตลอด ไม่ค่อยอยากทำเองเพราะฝีมือไม่ได้เรื่อง
แต่วันที่เห็นเด็กชายต้นกล้าก็อยากให้ลูกได้รับสารอาหารดีๆ จึงเริ่มเรียนรู้ในการทำอาหารรับประทานเอง ชอบที่จะเห็นรอยยิ้มและคำชมจากลูก เพียงเท่านี้ใจของคนเป็นแม่ก็อิ่มเอมแล้ว
ส่วนพ่อของลูก...ดีแล้วที่เขาไม่รับรู้การมีอยู่ของเด็กน้อย เพราะเท่าที่คลุกคลีกันมาศรัณไม่ใคร่จะชอบเด็กสักเท่าไหร่
“เป็นอะไรของนาย เอาแต่ดื่มไม่พูดไม่จา” ณัชพลถามเพื่อนขณะที่ยกน้ำสีอำพันขึ้นดื่ม เป็นเวลากว่าสามวันที่ศรัณนัดพวกเขามาแฮงค์เอาท์ที่คลับของเจ้าตัว ซึ่งแต่ละวันก็ไม่มีประโยคสนทนาอะไรนอกจากดื่มอย่างเดียว
แบบนี้มันผิดปกติเกินไปจนคนชอบรู้เรื่องเพื่อนเริ่มสงสัย ลูกชายร้านทองหรี่ตาอย่างจับผิด เห็นออกอาการอย่างนี้ล่าสุดก็ตอนเลิกกับแฟนเก่าอย่างนีรัมพร หรือจะอกหัก
แต่เพื่อนเขามันรักใครวะ...
“ไม่เบื่อเหรอถามประโยคเดิมมาสามวันแล้วมันตอบไหม” ชยินเอ่ยขึ้นบ้าง เขาแค่นั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไรแล้วสอดส่ายสายตามองสาวสวยที่เพลิดเพลินอยู่บนฟลอร์
“ไม่ ฉันจะถามจนกว่าจะรู้คำตอบนั่นแหละ เล่นนัดกันมาทุกวันกลับบ้านไปเมียฉันบ่นหูชา” ลืมเสียสนิทว่าเพื่อนคนนี้แต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์ออกมาเที่ยวกลางคืนได้ตามที่ขอไม่มีบ่น
“นายว่ามันเป็นอะไร” จากที่นั่งสามคนกลายเป็นว่าถามกันสองคน
“ไม่รู้ ง้างปากยากจะตาย” เป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว มีเรื่องอะไรกลุ้มใจก็เก็บไว้คนเดียว ถ้าพวกเขาไม่รู้เองอย่าหวังเลยว่าคนอย่างศรัณจะเอ่ยขึ้นมาก่อน
“พวกนายว่าผู้หญิงที่เรามีอะไรด้วยแบบไม่ได้ตั้งใจ แล้วเขาปฏิเสธการรับผิดชอบนี่ เป็นคนยังไงวะ” แทบจะโห่ร้องด้วยความดีใจที่ท่านรองประธานเป็นคนพูดขึ้นมาทำให้พอจะเดาเรื่องได้ สำหรับพวกเขาแล้วการสมมตินั่นแหละคือเรื่องจริง
“เป็นคนรักสนุกไม่อยากผูกพัน” ชยินตอบ ทว่าได้รับสายตาดุกลับมา
อะไรวะ ถามแล้วพอตอบไม่พอใจก็เป็นแบบนี้เหรอ
“แล้วถ้าภายนอกเรียบร้อยล่ะ” พวกเขาหันมามองหน้ากัน
“ก็อาจจะแรดเงียบมั้ง จะใช้คำว่าอะไรให้มันซอฟกว่านี้” หนุ่มร่างท้วมหันไปถามเพื่อนอีกคนแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ
“ถ้า ถ้าเขามีลูกแล้วล่ะ” คนถามเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ แต่เพื่อนต่างหันมามองหน้าศรัณด้วยความอึ้ง
“นี่นายเป็นชู้เหรอ” ดวงตาคมตวัดมามองด้วยความไม่พอใจทันที คำนั้นถือเป็นคำต้องห้ามของเขาเลยก็ว่าได้ เพราะที่เลิกกับแฟนเก่าก็เนื่องจากมารู้ว่าตนเองเป็นคนมาทีหลัง แล้วเจ้าหล่อนคบซ้อนเนี่ยแหละ
ถูกหยิบยื่นสถานะชู้ให้โดยไม่รู้ตัวสักนิด