บทที่๔...เจ็บแปลกๆ (๒)
“เขาเลิกกับสามีแล้ว” เท่าที่ดูในประวัติของหญิงสาวก็มีเท่านี้ หย่าร้างกับสามีเลยเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
“ฉันขอถามนายคำเดียวเลย ที่มาถามพวกฉันแบบนี้คือมีใจให้เขาแล้วใช่ไหม” สองหนุ่มจ้องรองประธานเป็นตาเดียว ซึ่งคนถูกมองก็ทำตัวไม่ถูกเพราะขนาดตนเองยังตอบคำถามไม่ได้เลย
สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำโดยไม่ยอมตอบคำถาม ทำให้ชยินและณัชพลรู้คำตอบแน่ชัดแล้วจึงส่งยิ้มให้กัน
แบบนี้ไม่เหลือ...มีใจให้แล้วแน่นอน
“อุ้ย ขอโทษค่ะ” ขณะที่กำลังจะเข้าห้องน้ำชายก็เดินชนกับคนที่ออกจากห้องน้ำหญิง พอมองแล้วก็พบว่าเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันตอนปริญญาโท
“รัณใช่ไหม” หล่อนทักทายด้วยน้ำเสียงดีใจ ซึ่งต่างจากเขาที่พยายามนึกชื่อหล่อน
“เราซันนี่ไง จำกันไม่ได้เหรอน่าน้อยใจจังเลย” แนะนำตัวเองก่อนที่ร่างสูงจะนึกชื่อออกพอดี จำต้องพยักหน้าพลางยิ้มให้เล็กน้อย
“จำได้” สาวสวยพอได้ยินก็ยิ้มอย่างดีใจ
“พรุ่งนี้ว่างไหมเราจะเข้าไปหาที่บริษัท” ถามอย่างมีความหวัง และเขาก็พยักหน้าทั้งที่ไม่รู้ตารางงานของตนเอง หล่อนยิ้มกว้างแล้วค่อยผละออกไปเมื่อเพื่อนกวักมือเรียก ร่างสูงเดินเข้าห้องน้ำพลางคิดถึงเรื่องที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจมาหลายวัน
เรื่องแค่นี้เหรอ การเสียตัวของเธอมันเป็นเรื่องแค่นี้อย่างนั้นเหรอ เป็นผู้หญิงยังไงกันแน่นะรวิสุดา...
เธอมาทำงานตามปกติถึงภายในใจจะว้าวุ่นมากแค่ไหนก็ต้องทำเป็นนิ่ง ปฏิบัติเหมือนเดิมทุกเช้าด้วยการไปซื้อกาแฟของโปรดเจ้านายมาไว้ห้องทำงาน เสนอเอกสารที่เขาต้องเซ็นก่อนจะบอกตารางในแต่ละวัน
“ช่วงบ่าย..” ขณะที่กำลังจะบอกว่าต้องทำอะไรร่างสูงก็ขัดเสียก่อน
“ตอนบ่ายฉันไม่ว่างแล้ว มีนัดอะไรก็ยกเลิกไปเลย” แทรกขึ้นทันที เล่นเอาคิ้วสวยขมวดเข้าหากัน อยากถามแต่ก็คิดว่าไม่ใช่ธุระของตนเองจึงทำเพียงรับคำเท่านั้น อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนจ่ายเงินเดือนให้ตนเอง ไม่ใช่แฟนที่จะสามารถจ้ำจี้จ้ำไชได้
“ค่ะ” ดวงหน้าคมเงยขึ้นเมื่อได้ยินหญิงสาวรับคำโดยไม่ถามอะไรอีก
หันหลังเดินกลับไปยังโต๊ะของตนเอง ปล่อยร่างสูงมองตามพลางเข่นเขี้ยวด้วยความขัดใจ ไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายถึงได้นิ่งขนาดนี้ ราวกับไม่รู้สึกอะไรสักนิดเดียว มีเพียงเขาใช่ไหมที่คิดไปเอง ถอนหายใจเสียงดังพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
ตอนเช้ารวิสุดาต้องไปแจ้งแผนเกี่ยวกับการจำหน่ายเครื่องดื่มช่วงเทศกาลให้ฝ่ายการตลาดได้รับทราบ คุยกันจนถึงเที่ยงจึงได้ผละออกมา เธอโทรสั่งอาหารเที่ยงให้เจ้านายเรียบร้อยก่อนจะขึ้นมายังชั้นที่ศรัณจับจอง เคาะประตูสองสามครั้งจนได้ยินเสียงที่บอกรับจึงได้เปิดประตูเข้าไป
“คุณรัณคะ ฉันสั่ง..” พูดไม่ทันจบดวงตากลมโตเหลือบไปเห็นหญิงสาวแปลกหน้านั่งอยู่ที่โซฟาสำหรับรับแขกก็เงียบเสียงทันที
“เที่ยงนี้ฉันจะออกไปกินข้าวข้างนอก ถ้าเธอสั่งอาหารมาแล้วก็เอาไปกินเลยแล้วกัน ไปกันเถอะซันนี่” เพียงเท่านั้นหญิงใบหน้าสะสวยก็เดินเข้ามาหาเขาพลางกอดแขนหนาเอาไว้ ยิ้มให้กันราวโลกใบนี้มีเพียงสองคน ปล่อยให้เธอกลายเป็นส่วนเกิน
“ซันอยากกินอะไร” เดินผ่านไปเหมือนหล่อนเป็นอากาศ เล่นเอาเลขาสาวเผลอกำมือแน่น
“แล้วแต่รัณเลย อะไรก็ได้ขอแค่เลี้ยงเราก็พอ” ประตูปิดหลงเหลือเพียงร่างบางอยู่ในห้องเพียงคนเดียว มือเรียวยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาออกเมื่อเห็นว่ามันกำลังไหลลงมาเปื้อนใบหน้า ไม่อยากประจานตัวเองให้ใครมาสงสาร
เดินออกจากห้องทำงานของศรัณมาได้ก็เริ่มพิมพ์งานที่คั่งค้าง ก่อนอาหารจะมาส่งแล้วหล่อนก็นั่งกินเพียงลำพังเหมือนทุกวัน เพียงแต่วันนี้คนที่ควรกินข้าวอยู่ในห้องกลับไปร่วมโต๊ะกับหญิงอื่นซึ่งเธอก็ไม่อาจทราบว่าเป็นใคร
พยายามระวังใจของตัวเองแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้ หัวใจไม่รักดีเสียเลยคอยแต่จะลอยไปหาใครอีกคน
ร่างสูงคืออดีตที่หล่อนต้องการจะลืม แต่ใครจะรู้เล่าว่าเขาจะมาอยู่ในปัจจุบันพร้อมฝังรากลึกจนไม่อาจลืมได้ต่อให้พยายามเท่าไหร่ก็ตาม แถมมีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนมาผูกไว้อีก เพียงแค่คิดก็ปวดหัวแล้ว คงต้องตกอยู่ในวังวนนี้ไปอีกแสนนาน
กลับบ้านมาก็ทำอาหารให้ลูกชายกิน แต่ดูเหมือนว่าภายในจิตใจของเธอจะไม่ปกติสักเท่าไหร่เพราะช่วงบ่ายเจ้านายโทรมาบอกว่าติดธุระให้เธอยกเลิกนัดทั้งหมด อาการกระวนกระวายเป็นเช่นไรรวิสุดาก็เพิ่งได้รู้เดี๋ยวนี้เอง
เขาไปทำอะไรนะ อยู่กับผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า...
ทั้งที่เคยบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องคิดมากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่เป็นหล่อนเองที่ตัดขาดจากวันนั้นไม่ได้สักที ไหนจะเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนที่มีร่วมกันจนเกิดพยานตัวน้อย
“แม่คับ ไข่จะไหม้แล้ว” สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงบุตรชายตะโกนบอก พอมองไข่ในกระทะก็รีบพลิกกลับอย่างรวดเร็ว ดีที่ยังไม่ไหม้มากเท่าไหร่จึงถอนหายใจโล่งอก
“เดี๋ยวจานนี้แม่กินเอง ของต้นรอก่อนนะครับ ไปวาดรูปรอก็ได้” บอกอย่างรู้สึกผิด เด็กน้อยพยักหน้าแล้ววิ่งไปยังห้องรับแขก ปล่อยมารดาตั้งสติอีกครั้งแล้วเริ่มลงมือทำอาหาร
ลบใบหน้าของชายผู้นั้นออกไป สนใจเพียงแค่อาหารของตนก็พอแล้ว
ต้นกล้านั่งวาดรูปรอรับประทานอาหารเย็นอยู่ห้องรับแขก แสนจะมีความสุขเมื่อมองรูปโลกที่นั่งวาดและระบายสีอยู่นานพอสมควร
“โลกที่เราอยู่ เป็งกลมๆ มีดิงแล้วก็ง้ำ” เจื้อยแจ้วไปเรื่อยเปื่อย พลันได้ยินเสียงสั่นในกระเป๋าของมารดาที่วางเอาไว้บนโซฟา
เห็นอย่างนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบออกมาดู อ่านชื่อไม่ออกเป็นเห็นมีตัวรอเรือด้วย จะเอาไปให้แม่ก็กำลังทำอาหารเย็นนี้เดี๋ยวเสียสมาธิแล้วจะไม่อร่อย เด็กน้อยจึงตัดสินใจกดรับสายแล้วเอาเครื่องมือสื่อสารแนบหู
“สวัสดีคับ” ปลายสายเงียบไปสักพัก
‘ขอสายดรีมหน่อย’ เสียงเข้มนั้นดุจนน่ากลัว เล่นเอาเด็กชายไม่อยากให้แม่คุยด้วยสักเท่าไหร่ คุณคนนี้ดูไม่น่าไว้ใจเลย
“แม่ทำกับข้าวให้ต้ง แม่ไม่ว่าง” ได้ยินเสียงถอนหายใจเสียงดัง เพราะเหตุนี้แหละเขาถึงไม่ชอบเด็ก จะพูดจะสั่งอะไรก็ยากเหลือเกิน
‘คุยกันแปบเดียวไม่เป็นไรหรอก’ เห็นว่าอีกฝ่ายอ่อนลงเด็กสามขวบจึงนิ่งคิด
“คุงเป็งใคร” คำพูดที่ไม่ชัดถ้อยชัดคำเล่นเอาเขาถึงกับขมวดคิ้ว
‘พูดว่าอะไรนะเมื่อกี้’
“ต้งถามว่าคุงเป็งใคร” เด็กน้อยเกาศีรษะเริ่มโมโหแล้วนะที่คุณคนปลายสายไม่ยอมบอกสักที แถมทำเหมือนต้นพูดไม่ชัดอีก
‘พูดไม่รู้เรื่องก็ไปตามแม่มาคุยสิ’ สุดจะทนจึงได้บอกอย่างเหลืออด คนที่เขาต้องการคุยด้วยไม่ใช่เด็กคนนี้สักหน่อย รวิสุดาอยู่ไหนถึงปล่อยให้ลูกชายเล่นมือถือตนเองแบบนี้
“ต้งพูดรู้เรื่อง คุงแหละพูดไม่รู้เรื่อง” กลายเป็นว่าหนุ่มวัยสามสิบสองต้องมาทะเลาะกับเด็กน้อยสามขวบเสียอย่างนั้น
“ต้นครับ มากินข้าวครับ” เมื่อทำอาหารเสร็จก็เดินออกมาตามลูกชาย เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจับโทรศัพท์ตนแนบหู พร้อมทำเบ้หน้าเหมือนจะร้องไห้ก็พุ่งเข้าไปหาทันที หยิบโทรศัพท์ออกมาดูพบว่าเป็นเจ้านายของตนเอง
คุณรัณ!
“ฮือ แม่ คุงคงงี้บอกต้งพูดไม่รู้เรื่อง ฮืออออ” ร้องเสียงดังลั่นห้องทำเอาหล่อนต้องกอดปลอบ เมื่อได้อ้อมกอดของมารดายิ่งร้องหนักกว่าเดิมหล่อนจึงต้องตัดสายจากศรัณแล้วมาปลอบลูกน้อยเสียก่อน
ดูสิขนาดตัวไม่อยู่ยังสร้างปัญหาให้เธอได้เลย
“โอ๋ๆๆ คุณลุงไม่ตั้งใจว่าต้นหรอกครับ” เด็กน้อยส่ายหน้ากอดแม่แน่นจนต้องนั่งปลอบกันนาน ขณะที่โทรศัพท์ก็สั่นไม่หยุดเช่นกัน จนรอลูกชายหยุดร้องเหลือเพียงอาการสะอื้นจึงได้หยิบมากดรับสายจากคนที่เป็นต้นเหตุให้น้องต้นกล้าต้องสะอึกสะอื่น
‘ใครให้คุณวางสายผม!’ ถามเสียงดังด้วยความโมโห ตัดสายไม่พอยังโทรไปไม่รับอีก เขาต้องข่มใจระหว่างรอมากแค่ไหนจนกว่าหล่อนจะรับสายรู้บ้างไหม
“ขอโทษค่ะ ฉันปลอบลูกอยู่ แกร้องไห้น่ะค่ะ” อยากโทษเขาแต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป อย่างไรตำแหน่งหัวหน้าลูกน้องก็ค้ำคอ ถ้าเป็นในเวลาปกติคงได้ติบ้างแล้วว่าเขาเป็นคนทำให้ลูกร้องไห้
ลูกชายที่อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าได้ให้กำเนิด...
‘เพราะลูกเธอนั่นแหละพูดไม่รู้เรื่อง ฉันบอกให้ไปตามเธอมาคุยก็เอาแต่ถามอะไรก็ไม่รู้’ บ่นเด็กน้อยจนคนเป็นแม่หน้าตึง ถามกลับเสียงเรียบ
“คุณรัณมีธุระอะไรกับฉันคะ” เหมือนเขาจะรู้ว่าทำให้เธอโมโหเข้าให้แล้ว ชายหนุ่มจึงเงียบไปสักพักแล้วค่อยตอบ
‘พรุ่งนี้เย็นฉันนัดลูกค้าจากญี่ปุ่นไปคลับ เธอก็หาชุดมาเปลี่ยนด้วยแล้วกัน’ คุยงานตอนเย็นอีกแล้วเหรอ แถมคราวนี้เป็นคลับไม่ใช่ร้านอาหารหรือห้องประชุมเหมือนที่ผ่านมา คิ้วสวยขมวดเข้าหากันไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่
ลูกชายเมื่อหายจากอาการสะอื้นก็ลงจากตักแม่แล้วเดินไปล้างหน้าโดยไม่ต้องให้บอก ช่างเป็นลูกชายที่น่ารักเสียเหลือเกิน ผิดกับคนเป็นพ่อราวฟ้ากับเหว
“ต้องเอาไปเปลี่ยนด้วยเหรอคะ”
‘ถ้าไม่เปลี่ยนก็ใส่ชุดทำงานที่สามารถเข้าคลับได้ ไม่ใช่ชุดแม่ชีที่เธอใส่มาทุกวัน เข้าใจไหม’ แล้วหล่อนปฏิเสธอะไรได้ด้วยหรือไงเล่า
ก็จำต้องรับคำทั้งที่คิดไม่ตกว่าจะใส่ชุดอะไรไปทำงานดี
“ค่ะ” แล้วก็วางสายไป เธอลอบถอนหายใจแล้วจ้องมองโทรศัพท์พลันยกมือขึ้นตีอย่างหงุดหงิด ถือว่าเป็นตัวแทนของคุณรัณแล้วกัน
ผู้ชายอะไรเผด็จการชะมัด!