บทที่๒...เรียนรู้งาน (๒)
“หาอะไร” ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ที่นั่งค่ะ” ศรัณถึงกับถอนหายใจ ก่อนจะจ้องคนตัวเล็กอย่างเหลือเชื่อ
“ก็นั่งตรงข้ามผมเนี่ยแหละ จะหาที่นั่งตรงไหนอีก” ได้ฟังอย่างนั้นถึงกับตาโตด้วยความตกใจ นั่งตรงหน้าก็แสดงว่าแทบจะเห็นกันตลอดเวลาเลยน่ะสิ แล้วแบบนี้หล่อนจะมีสมาธิทำงานได้อย่างไร คิดหนักอย่างวิตกกังวล
“ทำไม นั่งตรงข้ามผมมันเป็นปัญหาสำหรับคุณมากเหรอครับ” พอจะสังเกตได้ว่าหล่อนกลัวเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองน่ากลัวตรงไหน หน้าตาออกจะหล่อเหลามีสาววิ่งเข้าหาเป็นพรวน แต่กับรวิสุดากลับพยายามที่จะหนีห่างให้ได้มากที่สุด
หรือเป็นการเรียกร้องความสนใจอีกแบบ...
“เปล่าค่ะ” จำต้องนั่งลงตรงข้ามเขา โต๊ะทำงานของชายหนุ่มค่อนข้างใหญ่จึงวางเอกสารและโน้ตบุ๊กได้โดยไม่เกะกะอีกฝ่าย
บนโต๊ะที่เธอคิดว่าต้องมีเอกสารมากมายกลับว่างเปล่า แทบไม่มีกระดาษสักแผ่นด้วยซ้ำ อาจเพราะเดี๋ยวนี้เป็นยุคดิจิทัล สามารถส่งเป็นไฟล์งานได้ จะมีแฟ้มก็ต่อเมื่องานเร่งด่วนจากแผนกต่างๆ ซึ่งมีนาจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว
“ถ้าเสร็จแล้วเหลืออีกสองฉบับ ยังไงก็เร่งหน่อยแล้วกัน” เมื่อเริ่มลงมือทำร่างสูงก็เอ่ยขึ้นทั้งที่ดวงตาคมจ้องหน้าจอแมคบุ๊คไม่คลาดเคลื่อน ปากจิ้มลิ้มเผยอเล็กน้อยแอบมองเอกสารแล้วถอนหายใจเสียงแผ่ว
แล้วแบบนี้หล่อนจะได้กลับบ้านตอนไหนกัน คิดถึงลูกชายตัวน้อยจะแย่แล้ว เหลือบมองคนต้นเหตุอย่างคาดโทษแล้วเร่งทำงานในส่วนของตัวเอง ทั้งห้องก็ต้องอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงแป้นพิมพ์และปากกาที่ขีดเขียนกระดาษเท่านั้น
นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มพอดีกับงานที่เสร็จเรียบร้อย รวิสุดาจึงรีบขอตัวกลับไม่ทันที่หัวหน้าจะได้บอกกล่าวอะไรด้วยซ้ำ เธอหยิบกระเป๋าแล้วโทรบุตรชายซึ่งได้ความว่ากำลังเล่นอย่างสนุกสนานอยู่ที่ห้องของมีนา
ค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอกหน่อย คุณรัณนะคุณรัณ...เล่นกันตั้งแต่ไม่กี่วันแรกที่เริ่มมาทำงานเลยนะ
ร่างสูงมองตามแผ่นหลังเล็กก่อนจะแอบยิ้มออกมา ระหว่างที่ทำงานเขาแอบสังเกตหล่อน เห็นว่ามีความตั้งใจค่อนข้างสูง แถมเนื้อหางานก็ถูกต้องต่างหาก มีความรอบคอบพอสมควร แต่คงต้องดูกันไปอีก ถ้าเธอทำงานดีบางทีเขาอาจจะต่อสัญญาแล้วมาให้ทำตำแหน่งผู้ช่วยของมีนาจริงๆ ก็ได้
“สวัสดีครับ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นร่างสูงจึงเอื้อมไปรับ
‘คิดถึงจังเลยค่ะ’ ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้จะโต้ตอบอะไรกลับไป หล่อนเป็นเพียงผู้หญิงที่เขาควงเล่นเท่านั้น ไม่ได้มีสำคัญทางความรู้สึกแม้แต่น้อย
“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ถามย้ำ
‘ตอนไหนคุณรัณจะมาหานุชคะ รอตั้งหลายวันแล้ว’ นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะอย่างขบคิด แล้วยกมาคลึงศีรษะ งานตรงหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจึงปิดแมคบุ๊ค
“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องรอเพราะผมคงไม่ไปหาคุณอีก เรื่องระหว่างเราก็จบแค่นี้แล้วกัน” กดตัดสายไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดคุยหรือรั้งเอาไว้ เขาจัดการบล็อกเบอร์ทันที อาจจะดูใจร้ายแต่ในเมื่อตกลงกันแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามีเพียงความต้องการทางร่างกายเท่านั้น
และเขาไม่ชอบให้เธอโทรมาหา ถ้าอยากเจอจะไปหาเอง ช่างเป็นผู้ชายที่ใจร้ายเสียเหลือเกิน ทว่าเขาก็บอกกับหล่อนก่อนแล้ว ในเมื่อตกลงจะอยู่ในสถานะนี้เองก็ช่วยไม่ได้
ลุกขึ้นกำลังจะกลับบ้าน ช่วงนี้เขานอนที่บริษัทบ่อยจนมารดาแทบจะลืมหน้าแล้ว ท่านจึงได้โทรมาบอกว่าให้กลับไปนอนที่บ้านบ้าง ไม่ต้องรักการทำงานมากขนาดนั้นก็ได้ ลูกชายเพียงคนเดียวจึงไม่ขัดขับรถกลับบ้านหลังใหญ่ทันที
พอร์ชสีดำเคลื่อนผ่านประตูของหมู่บ้าน ผ่านทะเลสาบขนาดใหญ่ก่อนจะผ่อนความเร็วเมื่อถึงบ้านหลังใหญ่ซึ่งอยู่ท้ายซอย กดเปิดรั้วอัลลอยด์อัตโนมัติค่อยขับเข้าไปจอดในโรงรถชั้นใต้ดินที่มีซุปเปอร์คาร์และรถซีดานอยู่หลายคันตามความชอบลูกชายเจ้าของบ้าน
เดินไปขึ้นลิฟต์แล้วกดชั้นสามไม่นานก็ถึงพื้นที่ส่วนตัวของตนเอง บ้านหลังนี้มีทั้งหมดสี่ชั้นโดยแบ่งชั้นหนึ่งสำหรับรับแขก ชั้นสองเป็นส่วนกลางของครอบครัว ชั้นสามของศรัณและชั้นสี่ครอบครองโดยประมุขแห่งบ้าน
เขาจัดการอาบน้ำชำระร่างกายก่อนจะลงไปที่ชั้นสอง เห็นบิดามารดากำลังนั่งดูละครกันอย่างสนุกสนาน
“อ้าว มาตอนไหนล่ะ” คุณธรณ์เทพเอ่ยถามบุตรชาย ถึงจะอายุหกสิบเอ็ดแต่ยังดูหนุ่มแน่นเพราะออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ดูแลอาหารการกินเป็นอย่างดีไม่อยากเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา อีกทั้งภรรยายังสาวยังสวย ก็ต้องทำตัวให้หนุ่มตลอดเวลา
“เมื่อกี้ครับ พ่อกับแม่กินข้าวหรือยัง” ว่าแล้วก็หยิบผลไม้ที่ปอกไว้อย่างดีขึ้นมากัด
“นี่มันกี่ทุ่มแล้วพ่อคุณ เรียบร้อยแล้วสิ เราน่ะถ้ายังไม่กินก็ลงไปข้างล่าง แม่ให้แจ่มทำอาหารไว้เพื่อเราโดยเฉพาะ” ได้ยินดังนั้นจึงเดินลงไปยังห้องอาหาร ไม่นานบนโต๊ะที่เคยว่างก็มีกับข้าวมาวางไว้เต็มไปหมด
แต่เป็นสเต็กเนื้อริบอาย และไวน์ราคาแพง ที่บ้านของเขามีห้องเก็บไวน์โดยเฉพาะ ทั้งจากบิดาซื้อมาและคนรู้จักนำมาฝาก เป็นโชคดีของเขาที่ได้ชิมน้ำเลิศรสตลอดเวลาที่ต้องการ หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยก็เดินขึ้นไปหาบุพการี
ท่านเปลี่ยนมาดูหนังฆาตกรรมเลือดสาด เล่นเอาคนกลัวเลือดอย่างศรัณต้องเบนหน้าหลบ ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่ชอบเหลือเกิน
“เห็นว่าได้เลขาใหม่เหรอ” บิดาถามขึ้นขณะที่หนังกำลังอยู่ในช่วงน่าเบื่อ
“ครับ มาทำแทนคุณมีนที่จะลาไปคลอดสามเดือน” บอกเสียงเรียบไม่ได้ใส่ใจ แต่พอคิดถึงใบหน้าหวานที่มักทำตาโตด้วยความตกใจยามถูกเขาเรียกก็ยกมุมปากอย่างนึกขัน
“เขาโอเคไหม” คุณนาราภัทรถามขึ้นบ้าง หล่อนเป็นห่วงลูกชายกลัวจะเจอพวกที่มาปอกลอก แต่ก็ได้รับรอยยิ้มกลับคืน
“โอเคครับ คนนี้ผมว่าไม่มีพิษภัยอะไร แถมทำงานเก่งอีกด้วยแม่ไม่ต้องห่วงหรอก” พูดเพื่อให้ท่านสบายใจ จนคุณผู้หญิงของบ้านคลายกังวลมาบ้าง
“แม่รับแค่หนูตี้เป็นลูกสะใภ้นะ คนอื่นแม่ยังไม่อนุญาต” ดักทางพ่อลูกชายเอาไว้ ได้ยินข่าวมาว่าพอแฟนไม่อยู่ก็ร่าเริงควงสาวเป็นว่าเล่น อยากหยิกเนื้อเขียวเสียเหลือเกิน แต่จับไม่ได้สักทีไม่อย่างนั้นคงบอกให้เลิกเด็ดขาด
“ผมกับตี้ยังไม่คิดถึงขั้นนั้นเลยครับแม่” โอดครวญทันที
“ต้องคิดได้แล้ว อายุไม่ใช่น้อยเดี๋ยวก็มีลูกไม่ทันพอดี” พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็ยาว เขาไม่เคยชนะมารดาได้สักที
“ผมบอกแล้วว่าไม่อยากมีลูก ผมไม่ชอบเด็ก” ตอบตามความจริง เขาไม่ค่อยชอบเด็กเท่าไหร่ เสียงดังเจี้ยวจ้าว พูดอะไรก็ไม่ฟัง ขัดใจหน่อยชอบร้องไห้โวยวาย แค่คิดก็ขยาดแล้ว นึกไปถึงเด็กที่เจออยู่ห้างสรรพสินค้า แค่เห็นอีกฝ่ายทำท่าจะร้องไห้ศรัณก็รีบเดินหนีอย่างรวดเร็ว
“แกแค่ทำหลานให้ เดี๋ยวหน้าที่เลี้ยงแม่จัดการเอง” ร่างสูงส่ายศีรษะทันทีก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ผมไม่คุยกับแม่แล้ว ขอตัวนะครับ” กลับมาบ้านทีไรก็ไม่พ้นเรื่องนี้สักที ตะล่อมเรื่องแต่งงานและปิดท้ายเรื่องลูก เขาเข้าใจว่าท่านคงอยากเลี้ยงหลาน เพื่อนคนอื่นก็มีหลานกันแล้วแถมชอบเอามาอวดอีก มารดาก็คงเหงา
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาคาดคั้นเขาสักหน่อย ตอนนี้ยังสนุกกับการใช้ชีวิตอิสระนี่นา ถ้าอยากสละโสดหรือมีลูกตอนไหนเขาก็ทำเองนั่นแหละไม่ต้องให้ใครมาบอกหรอก
และวันที่หล่อนไม่อยากให้มาถึงก็มาถึงจนได้ รุ่นพี่ห้องตรงข้ามลาพักกว่าสามเดือนเพื่อคลอดบุตร ปล่อยเธอเอาไว้กับเจ้านายเพียงลำพัง ซึ่งวันนี้คือวันแรกที่งานต่างๆ ถูกโยกให้รวิสุดาตัดสินใจในฐานะเลขานุการ
“กาแฟค่ะ” วางเอสเพรสโซ่ไว้ให้เขา ชายหนุ่มจมอยู่กับเอกสารเลยทำเพียงพยักหน้า
“วันนี้ผมมีงานอะไรบ้าง” เงยหน้าขึ้นมามองหล่อนเพื่อรอฟังรายงานประจำวัน ร่างบางรีบร่ายให้ฟังทันทีเพราะจำได้ขึ้นใจ
“ช่วงเช้ามีคุยงานกับหัวหน้าการผลิตค่ะ ส่วนตอนบ่ายทางบริษัทคู่ค้าจะเข้ามาเจรจาเกี่ยวกับส่งออกน้ำผลไม้ไปไต้หวันแล้วก็ฮ่องกงค่ะ” เขาพยักหน้ามองจนกระทั่งหล่อนรายงานจบ ทั้งสองจ้องตากันก่อนที่ร่างบางจะหลบตาแล้วก้มมองพื้น
“มีเท่านี้ใช่ไหม” พยักหน้าทันที
“ใช่ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวนะคะ” หมุนกลับออกไปข้างนอกไม่รอให้เขาอนุญาต การเดินของเธอค่อนข้างลำบากหน่อยเพราะกระโปรงทรงเอที่สวมนั้นคับกว่าปกติ ตัวนี้เธอใส่ตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย น้ำหนักเพียงสี่สิบสองเท่านั้น ต่างจากตอนนี้ที่ขึ้นมาหลายกิโลกรัมจนถึงสี่สิบเจ็ดแล้ว
ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้มานั่งข้างนอกประจำที่ของตนเอง ไม่รู้ทำไมถึงไม่อาจสู้สายตาคมนั้นได้สักที หล่อนมักจะแพ้แล้วเผลอหลบ ส่วนลึกในใจก็บอกว่ากลัวเขาจะจำตนเองได้ แต่บางทีก็กังวลว่าจะตกหลุมรักเขา...
คนที่เป็นพ่อของลูกซึ่งเธอเองก็ไม่เคยลืมเขาได้เลย
“คุณคะ เข้าไม่ได้นะคะ” ขณะที่กำลังเหม่อก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินดุ่มเข้ามาและกำลังจะตรงไปที่ห้องของท่านรองประธานจึงรีบลุกขึ้นไปขวางทางเอาไว้
“หลีกไป ฉันจะเข้าไปหาคุณรัณ” บอกเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ ชั้นนี้ไม่มีใครนอกจากร่างสูง เพราะฉะนั้นถึงเสียงดังไปคนอื่นก็ไม่ได้ยิน
“ไม่ได้ค่ะ คุณต้องรอให้ฉันแจ้งคุณรัณก่อน” คนมาใหม่ถึงกับจิ๊ปากด้วยความขัดใจ ถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อให้เลขาคนใหม่ได้ทำหน้าที่
รวิสุดากำลังจะเดินไปโทรหาเจ้านายทว่าคนหัวหมอกลับใช้จังหวะนั้นเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนถูกหลอกอ้าปากค้างก่อนเดินตามไม่ห่าง จนหยุดเมื่อเห็นดวงตาคมกำลังมองด้วยความไม่พอใจ
ซวยแล้วไอ้ดรีม...
“ผมว่าเราคุยกันชัดแล้วนะ” ว่าเสียงเข้ม
“คุยอะไรกันคะ คุณรัณพูดคนเดียวทั้งนั้น นุชไม่เลิกนะคะ ยังไงก็ไม่เลิกเด็ดขาด” โวยวายพลางแสร้งบีบน้ำตาแต่ใช่กับเขาไม่ได้ผลหรอก ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะย้ำเป็นครั้งสุดท้าย
“ถ้าคุณยังไม่ออกไปผมจะยึดของที่เคยให้คุณกลับ แล้วงานแสดงที่เคยคุยกับผู้กำกับไว้ก็คงไม่สำคัญแล้ว” ดาราสาวได้ฟังอย่างนั้นก็เริ่มกลัว เห็นท่าทางของเขาเอาจริง แต่จะให้ปล่อยมือเขาก็คิดยาก ใช่ว่าจะเจอคนรวยที่หล่อและกล้าเปย์ขนาดนี้ง่ายเสียเมื่อไหร่
“ส่งแขกด้วย” หันไปสั่งเลขาที่ยืนเอ๋อ ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากเดินมาจับแขนของสาวรูปร่างสูงโปร่งราวนางแบบ ทว่ากลับได้รับการสะบัดกลับมา
“ฉันเดินเองได้” หันหลังเตรียมจะเดินกลับโดยมีรวิสุดาประกบไม่ห่าง และด้วยความที่กระโปรงของหล่อนค่อนข้างรัด ทั้งส้นสูงที่ใส่อีก จึงเสียหลักสะดุดเท้าตัวเองจนต้องรีบคว้าคนข้างหน้าเอาไว้กลัวว่าจะล้ม
“ว้าย!” ศรัณที่กำลังจะก้มหน้าทำหน้าก็รีบเงยขึ้นมาดูเหตุการณ์ตรงหน้า พลางลุกขึ้นยืนแล้วต้องรีบกลั้นขำเมื่อพบว่าตอนนี้เลขาจำเป็นของเขาได้ดึงเสื้อเกาะอกของดาราสาวลงมากองที่เอวจนเห็นบราปีกนกที่อีกฝ่ายสวม
“กรี๊ด!!!” ร้องลั่นห้องก่อนจะรีบดึงเสื้อขึ้นมาปกปิดกายอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษ ขอโทษนะคะฉันไม่ได้ตั้งใจ” สีหน้าสำนึกผิดทว่าหล่อนอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี จึงทำเพียงเข่นเคี้ยวอยู่ในใจก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
หลงเหลือเพียงคนซุ่มซ่ามและเจ้านายที่เอาแต่กลั้นยิ้ม เขาพอจะรู้ว่าเลขาตนเองเป็นคนเงอะงะ ชอบเดินชนโต๊ะหรือเก้าอี้ทั้งที่มันก็อยู่ของมันดีๆ หรือบางครั้งก็สะดุดขาตัวเองบ้างดีที่ไม่ล้ม ทว่าครั้งนี้ก็ก่อเรื่องไปดึงเสื้อคนอื่นเสียอย่างนั้น
“ขอโทษนะคะคุณรัณ” หันมาบอกเจ้านาย ซึ่งเขาก็ได้แต่โบกมือ
“ไม่เป็นไรหรอก” หล่อนเม้มปากแน่นอย่างรู้สึกผิด ทั้งเรื่องที่ปล่อยหญิงสาวเข้ามาในห้อง แล้วยังไปทำร้ายจิตใจแขกของเขาอีก
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ใจมันกลับเจ็บแปลกๆ ที่ได้ยินว่าทั้งสองเคยมีความสัมพันธ์กัน ผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่ มีค่าแค่ข้ามคืนเท่านั้น
“ขอตัวนะคะ” โค้งศีรษะกำลังจะออกไปทำงาน ทว่าต้องชะงักเมื่อได้ยินเขาพูดตามหลัง
“คราวหน้าไม่ต้องใส่กระโปรงมาแล้วนะ ใส่กางเกงมาก็ได้ผมไม่ว่าอะไรหรอก” หันมาค้อมศีรษะรับคำแล้วออกจากห้องทำงานของเขา
หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้ของตนพลางจับหน้าอกข้างซ้ายที่เต้นแทบจะทะลุออกมาข้างนอกอยู่แล้ว
แค่ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนถึงกับไปไม่เป็นเลยเหรอ...