บทที่๒...เรียนรู้งาน (๑)
บทที่๒...เรียนรู้งาน
หล่อนนั่งตัวแข็งทื่อไม่ขยับไปไหน มือไม้กุมกันแน่นที่หน้าตัก ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เพิ่งเดินเข้าไปในห้องของรองประธานบริษัทจะเป็นคนเดียวกับที่พรากพรหมจรรย์ของหล่อนเมื่อสี่ปีก่อน บิดาที่แท้จริงของเด็กชายต้นกล้า
ลมหายใจติดขัดเล่นเอามีนาที่นั่งข้างกันหันมามอง ก่อนจะแตะร่างบางจนอีกฝ่ายสะดุ้งตัวโยนทำให้คนท้องตกใจไปด้วย
“ตกใจอะไรน่ะดรีม” ถามด้วยความสงสัยแต่หล่อนกลับส่ายศีรษะจนผมหางม้าสะบัดไปมา
“ปะ เปล่าค่ะพี่มีน ไม่มีอะไรค่ะ” ปฏิเสธลิ้นแทบจะพันกัน รุ่นพี่ลุกขึ้นแล้วหยิบเอกสารที่อยู่ในลิ้นชักออกมา
“นี่เป็นวาระการประชุมสามเดือนก่อน ดรีมก็อ่านทำความเข้าใจนะ แต่เดี๋ยวพี่พาเข้าไปทำความรู้จักกับคุณรัณ ป่ะ” เกือบจะส่ายหน้าเพราะยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับเขา คิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วใครเล่าจะรู้ว่าโลกจะเหวี่ยงให้กลับมาพบกันอีกครั้ง
ในฐานะเจ้านายลูกน้อง...
หนีอย่างไรได้เล่า กัดริมฝีปากอย่างคิดหนักสุดท้ายจำต้องเดินตามรุ่นพี่เข้าไปภายในห้องทำงาน เปิดประตูไม้บานใหญ่ก่อนจะพบว่าข้างในแสนกว้างขวาง ฝั่งซ้ายมีตู้หนังสือขนาดใหญ่ตั้งไว้ พร้อมทั้งเอกสารสำคัญเกี่ยวกับงานของเขา
ข้างกันนั้นคือชุดโซฟารับแขกขนาดยาว พร้อมทั้งจอโทรทัศน์กว่าสี่สิบนิ้ว ทั้งห้องมีกลิ่นหอมของดอกไม้ราวเดินอยู่ในสวนไม้ประดับ แต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจสักนิด เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามมีนาเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนตัวสูงที่เพิ่งเปิดแมคบุ๊คพร้อมสำหรับทำงาน
“ว่าไงครับ มีเอกสารอะไรให้ผมเซ็นหรือเปล่า” มองนาฬิกาข้างผนังก็เห็นว่ายังเช้า จำได้ว่าช่วงบ่ายมีประชุมกับฝ่ายการตลาด ส่งออกน้ำหวานไปสู่ต่างประเทศ
“ยังไม่มีค่ะ แต่ฉันพาผู้ช่วยเลขามาแนะนำให้คุณรัณรู้จัก” ดวงตาคมหันมองผู้หญิงที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา เขาสำรวจลักษณะภายนอกของคนที่ต้องทำงานร่วมกันอีกสามเดือน
หล่อนเป็นคนรูปร่างสมส่วน ไม่ได้สูงเก้งก้างทว่ากำลังพอดี แต่งกายเรียบร้อยอาจจะดูเชยไปสักหน่อยในความคิดของเขา ผมยาวสีน้ำตาลอมแดงถูกรวบอย่างเป็นระเบียบแถมติดกิ๊บเก็บผมที่ตกลงมาบดบังใบหน้าอีก
เขานึกว่าหล่อนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้วพี่ระเบียบตรวจเครื่องแต่งกายเสียอีก...อะไรจะเรียบร้อยปานนั้น
“ผู้ช่วยคุณก้มเก็บเหรียญเหรอ ไม่เงยหน้าขึ้นมาสักที” รวิสุดาได้ยินก็เม้มปากแน่น ไม่กล้าสู้หน้าเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะจำตนได้หรือเปล่า
ในเมื่อเคยผ่านค่ำคืนที่แสนหฤหรรษ์ด้วยกันมา แต่เขาคงจำไม่ได้หรอกเพราะเธอรีบออกมาจากห้องนั้นก่อนอีกฝ่ายจะตื่น พยายามหลบกล้องวงจรปิดสุดฤทธิ์กลัวเขาจะตามหา ซึ่งเธอก็คิดเข้าข้างตัวเองเกินไป คนที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมแบบนี้หรือจะตามหาหญิงใจง่ายยอมพลีกายให้ผู้ชายทั้งที่ไม่รู้จักกัน
“ดรีม” เรียกเสียงเบาจนในที่สุดเธอจำต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อรวิสุดา เรียกว่าดรีมก็ได้ค่ะ” ยกมือขึ้นไหว้แล้วพยายามสบสายตาเจ้านายที่มองมาเช่นกัน
เขาสำรวจใบหน้าหวานที่มีเครื่องสำอางแต่งแต้มเพียงเล็กน้อย เหมือนจะเป็นคนขี้อายไร้ซึ่งมารยาอย่างที่นึกกลัว คนแบบนี้คงไม่มีทางเข้ามาทำงานเพื่อหวังผลประโยชน์ในตำแหน่งคุณผู้หญิงของตระกูลวิมานมรกตหรอก
แต่ก็ต้องดูกันอีกที คนเราจะให้ดูเพียงครั้งแรกก็คงตัดสินอะไรไม่ได้...
“เรียกผมว่ารัณก็ได้ ทำงานด้วยกันตั้งสามเดือนจะได้รู้สึกสนิท นะครับคุณดรีม” ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาเรียกชื่อตนเอง
“ค่ะคุณรัณ” รับปากเสียงแผ่ว
“ถ้าอย่างนั้นเริ่มงานแรกเลยแล้วกัน ไปเอากาแฟมาให้หน่อย” งานแรกทำเอาเธองงเป็นไก่ตาแตก ไม่คิดว่าจะถูกไล่ให้ไปชงกาแฟ
“คะ กาแฟเหรอคะ” ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ กลัวว่าตนเองจะฟังผิด และศรัณก็พยักหน้าพลางบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ใช่ครับ ผมต้องการกาแฟ หรือคุณได้ยินเป็นอย่างอื่น” เลิกคิ้วถามจ้องหน้าคนมาใหม่ ดูเหมือนหล่อนจะกลัวเขาเข้าให้เสียแล้ว จึงได้พยักหน้ากำลังจะเดินออกจากห้องทั้งที่ยังไม่ถามอะไรด้วยซ้ำ
“รู้เหรอว่าผมชอบกาแฟแบบไหน” มีนาที่มองเหตุการณ์ลอบถอนหายใจ รู้สึกเหมือนว่าเจ้านายตนเองกำลังกลับไปเป็นเด็กน้อยอีกครั้งที่เอาแต่แกล้งคนมาใหม่ แล้วรวิสุดาก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าตนกำลังถูกแกล้ง
“คุณรัณต้องการกาแฟแบบไหนคะ” คนโดนถามแสร้งยกมือขึ้นประสานกันพลางขบคิด จนสุดท้ายเลขาคนสนิทก็ทนไม่ไหว
“เดี๋ยวพี่พาลงไปซื้อข้างล่าง คุณรัณต้องการอะไรอีกไหมคะ” จากที่คิดจะแกล้งอีกสักหน่อยเจอมีนาเบรคแบบนี้เขาจะทำอะไรได้
“ไม่ครับ แค่กาแฟก็พอ” สองสาวเลยพากันค้อมศีรษะออกจากห้องของรองประธาน ปล่อยเขาเอาไว้คนเดียว ไม่ทันเห็นมุมปากที่แอบยกยิ้มยามมองท่าทีเงอะงะของอีกฝ่าย เขาคิดว่าสามเดือนต่อจากนี้คงจะสนุกแน่
หลังจากนั้นรวิสุดาก็เรียนรู้งานเลขานุการฉบับเร่งด่วน อาจเพราะจบอักษรศาสตร์เอกภาษามาโดยเฉพาะ ทั้งยังทำงานแปลทำให้เอกสารภาษาอังกฤษที่ต้องแปลเป็นไทยให้เจ้านายอ่านเสร็จอย่างรวดเร็ว ไหนจะเอกสารประชุมกับทีมประชาสัมพันธ์อีก
วันนี้หล่อนได้เข้านั่งประชุมกับทีมการตลาด ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะพูดคุยและปรับปรุงแต่ละจุด ยอมรับว่าเวลางานเขาค่อนข้างเนี้ยบพอสมควร ผิดนิดหน่อยก็ไม่ยอมปล่อย ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ ไม่แปลกใจที่ได้ดำรงตำแหน่งรองประธานทั้งที่อายุยังน้อย
แต่เธอก็ยังไม่กล้าจะอยู่กับเขาเพียงลำพัง เนื่องจากชนักติดหลังเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน เชื่อว่าเขาคงจำตนเองไม่ได้
จะจำได้อย่างไรในเมื่อคืนนั้นชายหนุ่มยังคิดว่าหล่อนคือแฟนที่ทิ้งเขาไปอยู่เลย พร่ำเรียกชื่อหญิงสาวคนนั้นข้างหูตลอดเวลาที่ทำกิจกรรมร่วมกัน และมันไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว แต่มากถึงสามครั้งเล่นเอาแทบลุกไม่ขึ้น
และเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้สร้อยจันทร์เสี้ยวของหล่อนหายไป สร้อยที่สำคัญกับจิตใจเพราะมันคือของขวัญวันเกิดปีสุดท้ายที่ฉลองกับบิดามารดาก่อนท่านจะจากไปตลอดกาล...
“เป็นยังไงบ้าง ทำงานมาสองวันแล้วโอเคไหม” เหมือนเวลาผ่านไปเร็วแต่ในความรู้สึกของเธอช่างช้าเหลือเกิน ยิ่งตอนไหนที่อยู่ต่อหน้าศรัณคิดว่าหนึ่งวินาทีคือหนึ่งปีด้วยซ้ำ ดวงตาคมที่มองมาเล่นเอาขนลุกชันไปทั้งร่าง
“เอ่อ ก็ดีค่ะ” ตอบเสียงเบา ตอนนี้เลิกงานแล้วพวกเขากำลังจะกลับบ้าน ตอนแรกก็นึกว่าต้องรอผู้บริหารกลับก่อนแต่มีนาบอกว่าไม่ต้อง เพราะบางครั้งศรัณก็นอนที่บริษัท งานเสร็จตอนไหนก็กลับไม่ต้องรอ หรือบางครั้งถ้าถึงเวลาเลิกแล้วก็กลับเลย หากมีงานด่วนเดี๋ยวเขาจะเรียกเอง
ดีที่มีคุณภูธรเลขาอีกคนเตรียมพร้อมรับใช้ชายหนุ่มตลอดเวลา จะดึกดื่นเที่ยงคืนหากโทรหาก็ต้องมา ทำให้มีนาไม่ต้องยุ่งยาก หล่อนแค่จัดการเอกสารเท่านั้น ไม่เหมือนเพื่อนของตนที่ทำงานเลขาทั้งกลางวันกลางคืน
บางคนก็เป็นเมียน้อยเจ้านายตนเอง หรือบางคนก็ต้องเป็นกระโถนท้องพระโรง จะดึกดื่นแค่ไหนหากนายเรียกก็ต้องไปหา เธอจึงขอบคุณศรัณเหลือเกินที่ยังมีความปรานีให้กันอยู่บ้าง
“แล้วใครอยู่กับต้นเหรอ” ระหว่างเก็บของก็ถามขึ้น
“ลันค่ะ” เด็กสาวคนนั้นช่วยดูแลลูกชายเธออย่างดี ต้นกล้าเล่าให้ฟังตลอดว่าพี่ลันแสนดีมาก ระบายสีเป็นเพื่อน เล่นเป็นเพื่อนระหว่างรอแม่กลับบ้าน สร้างฐานทัพด้วยกันซึ่งก็คือการนำผ้ามาคลุมเป็นถ้ำขนาดเล็กตามจินตนาการของเด็กสามขวบ
โชคดีเหลือเกินที่มีหญิงสาวอยู่เป็นเพื่อนกับลูก ไม่อย่างนั้นคงกังวลมากกว่านี้ในการออกมาทำงานแต่ละวัน
“คุณมีนกลับก่อนเลย ส่วนคุณมาช่วยผมเคลียร์เอกสารภาษาอังกฤษก่อน” เจ้านายเปิดประตูออกมาพลางสั่งเสียงเรียบ เล่นเอารวิสุดาหันมามองอย่างขอความช่วยเหลือ ทว่ามีนาทำอะไรไม่ได้ในเมื่อเป็นประกาศิตจากคนมีอำนาจสูงสุด
เสียงประตูปิดลงเหมือนใจของหล่อนกำลังหลุดออกจากร่าง ทั้งที่จะได้กลับไปกอดลูกชาย ทำอาหารเย็นกินด้วยกันแท้ๆ
“เดี๋ยวพี่ไปช่วยดูแลต้นกล้านะ” ตบบ่าน้องสาวห้องตรงข้าม แล้วเดินออกจากที่ทำงานหลงเหลือเพียงหญิงสาวที่ยืนหมดอาลัยตายอยาก จำต้องวางกระเป๋าลงบนโต๊ะค่อยเดินเข้าไปหาเขาภายในห้อง
ถือเป็นครั้งแรกที่ต้องอยู่ด้วยกันเพียงสองคน ไม่นับที่มาเสิร์ฟกาแฟเพราะตอนนั้นแค่วางเครื่องดื่มไว้บนโต๊ะแล้วออกไป แต่ตอนนี้ต้องมานั่งทำงานด้วยกัน ใจเธอแทบหลุดออกจากอกเสียให้ได้ มันเต้นแรงและดังกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
“นั่งสิ คุณแปลชุดนี้แล้วกัน” รับเอกสารมาเปิดดู เห็นว่ามีห้าแผ่นก็เบาใจ ไม่นานเสร็จ
“เดี๋ยวฉันออกไป...” กำลังจะขอออกไปนั่งแปลข้างนอกเพราะไม่อยากทำงานกับเขาในห้องนี้ลำพังก็โดนขัดเสียก่อน
“พิมพ์ในนี้แหละ เอาเครื่องนี้ไปพิมพ์” เธอรับโน้ตบุ๊กมาจากเขาก่อนจะเหลียวซ้ายขวาเพื่อหาที่นั่ง จนเจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมามอง