บทที่๑...เลขาชั่วคราว (๒)
“แม่ อยู่นั่น” ปล่อยมือจากมารดาแล้ววิ่งไปหยิบถุงของตน รวิสุดาเห็นอย่างนั้นก็นึกเอ็นดู ใครว่าหล่อนขี้ลืมกันบุตรชายก็ไม่ต่างสักเท่าไหร่
“ต้นรอแม่อยู่ที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวแม่ไปซื้อหนังสือคำศัพท์แปบเดียว” เพิ่งนึกได้ว่าต้องซื้อคำศัพท์กลับไปด้วย จึงหันมาบอกลูกชายซึ่งพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เห็นอย่างนั้นก็เบาใจแล้วเดินไปโซนหนังสืออย่างรวดเร็ว
เด็กชายนั่งรอพลางเปิดดูของข้างใน มีสมุดวาดภาพระบายสี และอุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆ เขาหลงใหลการวาดภาพมาก แค่มีสมุดและสีก็อยู่ได้เป็นวันแล้ว เลี้ยงง่ายจนคุณแม่หลายคนอิจฉารวิสุดาเหลือเกิน
“อ่ะ” กำลังเปิดกล่องสีแต่ดันเผลอทำหล่นพื้นซะอย่างนั้น เลยก้มลงไปเก็บแต่ไม่ทันจะได้เก็บหมดทุกอันก็เห็นว่ามีเท้าใหญ่มาเหยียบเอาไว้
“อยู่หน้าร้านหนังสือแล้ว กำลังจะไป” มือหนาถือโทรศัพท์พลางคุยกับปลายสายไม่ได้สนใจว่ากำลังทำใครบางคนเสียใจ
“คุงลุง!” ตกใจจนรีบชักเท้ากลับ มองเด็กน้อยที่จ้องตาแป๋วด้วยความโกรธ
“แค่นี้นะ” วางสายก่อนจะมาจ้องอีกฝ่าย
“คุงลุงเหยียบสีของต้ง” ตะโกนพลางทำหน้าเบะ เหมือนกำลังจะร้องไห้จนร่างสูงทำอะไรไม่ถูก เขามองซ้ายขวาหาผู้ปกครองของเด็กตรงหน้า
“ขอโทษแล้วกัน เดี๋ยวช่วยเก็บ” ว่าพลางเก็บสีเข้ากล่องจนหมด แล้วยืนขึ้นยื่นให้อีกฝ่าย
“ทีหลังก็ถือไว้ดีๆ สิคนอื่นจะได้ไม่เหยียบ” น้ำเสียงเข้มทำเอาต้นกล้ารู้สึกเหมือนตนเองถูกดุ กำลังจะร้องไห้แต่ไม่ทันเพราะชายคนนั้นเดินออกไปก่อนแล้ว
น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมาพลางร้องเสียงดัง ทำเอารวิสุดาที่เดินออกมาพอดีรีบเข้ากอดลูกชาย คนเดินผ่านไปมาก็มองด้วยความสงสัยก่อนจะเลิกสนใจ หล่อนหยิบอุปกรณ์ของลูกชายพาเดินมานั่งที่เก้าอี้ยาวของทางห้าง
“ต้นกล้าเป็นอะไรครับ” ถามด้วยความเป็นห่วง
“คุงลุงเหยียบสีต้ง” สะอื้นแล้วรีบฟ้องแม่
“ลุงที่ไหน” พยายามแต่ก็ไม่ได้คำตอบ
“ไม่รู้ ต้งไม่รู้ หน้าดุตัวใหญ่ ไม่ชอบเลย” ขนาดชื่อของตัวเองเด็กน้อยยังพูดไม่ชัด ทำเอาจากที่สงสารก็เริ่มขำแต่จำต้องเก็บอาการเอาไว้
“คราวหลังต้นก็ระวังนะครับ ถ้าเกิดเขาไม่น่าไว้ใจก็ให้รีบวิ่งมาบอกแม่นะ” เช็ดหน้าเช็ดตาให้บุตรชายก่อนจะหยิบของมาถือเอาไว้พลางจูงมือน้อย
“คับ” พยักหน้าแล้วเช็ดน้ำมูกที่ไหลออกมา พยายามเข้มแข็งเพื่อแม่ ทำเอารวิสุดาเอ็นดูเหลือเกิน เป็นเด็กที่มีอะไรให้ภูมิใจตลอด
“เรากลับบ้านกันดีกว่านะ วันนี้แม่จะทำสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับของโปรดต้นดีไหม” ฟังอย่างนั้นก็ดีใจจนพยักหน้า แทบจะอยากให้ไปถึงคอนโดเร็วๆ เพราะตอนนี้ท้องเริ่มร้องประท้วงเสียแล้ว
“ดีคับ เอาเยอะๆเลย ต้งอยากกิง ต้งชอบ” เดินนำหน้าแล้วจูงกึ่งลากแม่ให้ตาม จากใบหน้าบูดบึ้งกลายเป็นยิ้มแย้มมีความสุข ทำเอาหล่อนต้องส่ายศีรษะนึกขำคนตัวเล็ก จากที่เคยคิดว่าสวรรค์ช่างใจร้ายลงโทษหล่อนนักหนาเหลือเกิน
ต้องมาเปลี่ยนความคิดเมื่อมีลูกก้าวเข้ามาในชีวิต เปรียบเสมือนของขวัญที่ทำให้เธอดำเนินชีวิตต่อไปได้ในแต่ละวันที่แสนยากเย็น
ร่างสูงของรองประธานบริษัทน้ำดื่มยักษ์ใหญ่ก้าวเข้ามาในร้านอาหารญี่ปุ่นของห้างสรรพสินค้า ใบหน้าคมติดเรียบเฉยแต่ไม่ได้บดบังความน่ามองลงสักนิด เขาหล่อเหลาราวพระเอกละคร จนมีผู้จัดหลายคนทาบทามให้ไปโลดแล่นบนจอแก้ว
ทว่าก็ได้รับปฏิเสธกลับทุกครั้ง เขาไม่ต้องการมีชื่อเสียงโด่งดัง ทุกวันนี้งานก็ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาให้ตัวเองอยู่แล้ว พอเข้ามาในร้านก็มีพนักงานพาเดินเข้าไปในห้องที่จองไว้ เขาเห็นเพื่อนสนิทสองคนนั่งพูดคุยกันอย่างออกรส
“อ้าวท่านรองคนดังมาแล้ว” ส่ายศีรษะอย่างเอือมระอาก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างกัน
โอมากาเสะ (Omakase) เป็นอาหารญี่ปุ่นที่จะมีเชฟมาทำให้รับประทานโดยผ่านการเลือกสรรจากวัตถุดิบอย่างดี ราคาค่อนข้างแพงแต่ก็คุ้มกับของที่มีคุณภาพ และร้านค่อนข้างเป็นส่วนตัว
“ท่าทางเหนื่อยๆ นะครับ งานหนักหรือหนักไปทางงานอื่น” ชายร่างท้วมเอ่ยแซวด้วยแววตากรุ่มกริ่ม เล่นเอาอยากหลังแหวนใส่สักที
“อย่าไปว่าอย่างนั้นสิครับคุณณัช เดี๋ยวท่านรองเขาโมโหมากว้านซื้อทองร้านคุณจนหมดนะครับ มีข่าวออกมาว่าไตรมาสนี้ได้กำไรเพิ่มตั้งสามสิบเปอร์เซ็น” ชยินกล่าวอย่างหยอกล้อเพราะรู้มาว่าเพื่อนทุ่มเทกับงานมากแค่ไหน และผลลัพธ์ที่ออกมาก็ค่อนข้างน่าพอใจ อีกไม่นานบิดาคงวางมือแล้วให้ลูกชายเพียงคนเดียวขึ้นตำแหน่งประธานบริษัททั้งที่อายุยังน้อย
“พอเลยพวกนาย แล้วนี่เริ่มกินหรือยัง” เชฟเสิร์ฟออเดิร์ฟให้คนมาใหม่ เขาหยิบน้ำขึ้นจิบแล้วเริ่มกินอาหารญี่ปุ่น
ไม่เจอเพื่อนนานเพราะยุ่งกับงานจนต้องบอกปัดหลายครั้ง มาคราวนี้ทั้งสองคนไม่ยอมทำให้เขาต้องโผล่หน้ามาเจอบ้าง เรื่องที่นำมาคุยส่วนมากก็เกี่ยวกับชีวิตทั่วไป หรือชวนไปเที่ยวต่างประเทศซึ่งไม่มีใครว่างสักคน
ณัชพล ศิริธำรงลูกชายเจ้าของร้านทองมีสาขากว่าห้าสิบแห่งทั่วประเทศ ช่วยพ่อแม่บริหารธุรกิจและเปิดสนามแข่งรถจนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ตอนนี้ก็แต่งงานเรียบร้อยแล้วเหลือแค่มีทายาทให้ป๊ากับม้าภูมิใจ
ชยิน แสงสิรินทร์แยกตัวออกจากครอบครัวเพื่อมาทำธุรกิจของตนเอง เป็นบริษัทส่งอาหารรายใหญ่ที่มีแอพพลิเคชั่นของตนเอง ผู้คนกำลังให้ความสนใจหันมาใช้บริการมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน จนทำให้ธุรกิจที่ดูท่าจะไม่รอดกลับมาผงาด
“แล้วเป็นไงกับตี้ ได้คุยกันไหม” ถามถึงเพื่อนสนิทผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่ม ที่ตอนนี้ใครๆ ต่างก็รู้ว่ากำลังคบหาดูใจกับศรัณ
ตีรณา จันทรานนท์ทำธุรกิจส่งออกเพชรพลอยรายใหญ่อีกแห่งของประเทศ ทว่าตอนนี้ไปเรียนออกแบบอยู่ต่างประเทศไม่รู้จะกลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ พวกเขาสี่คนคบหากันมาตั้งแต่มัธยมจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย
แต่ช่วงเรียนปริญญาตรีศรัณเลือกจะไปต่อที่ต่างประเทศจนกระทั่งจบโท แล้วกลับมาบริหารธุรกิจที่บ้านทันที
“ก็คุยบ้าง” ตอบเพียงสั้นๆ ทำให้ไม่มีใครถามอะไรอีก พวกเขารู้เบื้องลึกเบื้องหลังว่าเป็นมาอย่างไร ต่างจากสิ่งที่คนนอกเห็นมากน้อยแค่ไหน
“เดี๋ยวตี้กลับมาแม่นายต้องจับให้แต่งงานแน่ เตรียมตัวเตรียมใจไว้หรือยัง” ณัชพลถามขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาค่อนข้างหนักใจพอสมควร
“ตอนนั้นมาถึงค่อยว่ากัน” ระหว่างนั้นก็รับประทานอาหารกันไปพลาง
“แล้วสาวๆ ในสต็อกของนายล่ะ จะไม่ร้องไห้คร่ำครวญกันเหรอ” เขาส่ายศีรษะทันทีเมื่อเพื่อนเอ่ยอย่างนั้นพลางหยิบข้าวปั้นชิ้นเล็กพอดีคำขึ้นมารับประทาน
“ไม่มีแล้ว ก็คุยทีละคน”
“แต่นอนทีละหลายคนใช่ไหม” อยากจะขว้างตะเกียบใส่คนปากมากอย่างณัชพลเหลือเกิน สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วพาเปลี่ยนเรื่องทันที
เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ ถ้าคบใครก็ซื่อสัตย์กับคนนั้นแต่ในกรณีที่เป็นตอนนี้มันไม่ใช่ เรื่องราวค่อนข้างซับซ้อนและเป็นปมที่ยังไม่อยากจะแก้ในตอนนี้...
“แม่เป็นยังไงบ้างครับ” เช้าวันต่อมาที่ต้องไปทำงานเป็นครั้งแรกหล่อนก็ส่องกระจกอยู่หลายนาที พลางหันมามองลูกชายที่กอดตุ๊กตากล้วยหอมนั่งอยู่โซฟากว้างกลางห้องรับแขก สูดลมหายใจเข้าพลางยิ้มหวาน
“สวยคับ” ชื่นชมทั้งที่ยังไม่ตื่นเต็มตา
“จริงนะ ไม่โกหกแม่นะ” ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ หล่อนเลือกใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงทรงเอเข้ารูป ผมยาวรวบเป็นหางม้าเรียบร้อย เหมือนไปสอบสัมภาษณ์ไม่มีผิดทั้งที่จริงคือต้องเริ่มงานครั้งแรก โดยมีพี่มีนาเป็นคนสอนงาน
ติ้งน่อง ติ้งน่อง
เสียงออดหน้าประตูดังขึ้นทั้งที่ลูกชายยังไม่ได้ตอบ หล่อนรีบเดินไปเปิดก็พบเด็กสาวอายุ 18 ปีที่เธอจ้างให้มาดูแลลูกชายในวันที่ตนเองต้องไปทำงานหรือเลิกค่ำ
ตอนนี้เช้ามากโรงเรียนเตรียมอนุบาลขนาดเล็กของลูกชายยังไม่เปิด จึงได้ไหว้วานลัลนามาช่วยดูแลพร้อมไปส่งที่โรงเรียน ทั้งไปรับกลับมาห้องจนกว่าหล่อนจะเลิกงาน ซึ่งมีค่าตอบแทนให้อย่างแน่นอน
อีกฝ่ายก็ว่างเพราะอยู่ในช่วงปิดเทอมจึงรับปากทันที ทั้งเอ็นดูเด็กน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่จริงจะมาดูแลให้ฟรีแต่คนเป็นแม่ไม่ยอม อย่างไรก็ต้องจ่ายเงินสุดท้ายก็ต้องตามใจรวิสุดา
“เข้ามาก่อนสิ ลันกินข้าวเช้ามาหรือยัง พี่ทำข้าวผัดไว้ให้น่ะ” คนมาใหม่ยกมือไหว้พลางตอบเสียงสดใส
“กินแล้วค่ะพี่ดรีม”
“ถ้าอย่างนั้นฝากเจ้าตัวเล็กด้วยนะ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย นี่กุญแจสำรองจ้ะ ถ้ามีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดเลย” พูดกับลัลนาเสร็จก็เดินมาหอมแก้มลูกชายก่อนจะยื่นแก้มให้เด็กน้อยหอมกลับ ต้นกล้าก็จุ๊บแก้มมารดาทั้งสองข้างพลางโบกมือบ้ายบาย
“แม่ตั้งใจทำงานนะ” เมื่อหล่อนสะพายกระเป๋าพร้อมออกจากห้องก็หันกลับมายิ้มกับคำบอกกล่าวของลูก
“ต้นก็ตั้งใจเรียนเหมือนกันนะคับ” พยักหน้าก่อนจะล้มตัวลงนอน หล่อนปิดประตูแล้วมาเคาะห้องของพี่สาวคนสนิท มีนาเปิดออกมาพร้อมสามีก่อนจะชวนกันไปขึ้นรถเพื่อมุ่งสู่บริษัทดริ้งสยาม จำกัด
ถือเป็นบริษัทที่หลายคนใฝ่ฝันอยากเข้าทำงาน นอกจากจะได้พัฒนาฝีมือแล้วสวัสดิการยังดีอีกด้วย มีโบนัสทุกปีไม่เคยขาดยิ่งตอนนี้ที่ได้กำไร พนักงานหลายคนก็วาดฝันว่าเงินจะเข้าบัญชีเท่าไหร่ ให้สมกับความเหนื่อยที่ทุ่มเท
“ตื่นเต้นเหรอ” ขณะที่รถจอดเทียบหน้าบริษัทมีนาจึงเอ่ยขึ้น คนนั่งหลังพยักหน้า ถือเป็นครั้งแรกที่มาทำงานนอกสถานที่ ปกติจะคลุกตัวอยู่ในห้องทำงานกับจอคอมเท่านั้น พอได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็เริ่มกังวล
หากไม่ใช่เพราะต้องหาเงินจ่ายค่าเช่าก็คงไม่มาทำงานนี้หรอก
“ไปก่อนนะคุณ” คนท้องหันไปลาสามีก่อนจะพาหญิงสาวก้าวเข้าสู่บริษัทชั้นนำ พนักงานหลายคนหันมาทักทายพี่มีนเพราะรู้ว่าเป็นเลขาของท่านรอง
สาวน้อยใหญ่หวังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งภรรยาของศรัณกันทั้งนั้น แต่ชายหนุ่มถือคติสมภารไม่กินไก่วัดหลายคนเลยต้องกินแห้วกันไป
อ่อยอย่างไรก็ไม่ได้เสียที...
“คุณรัณไม่ดุหรอก ทำใจดีๆ เข้าไว้” ถึงจะปลอบอย่างนั้นแต่หล่อนก็ยังไม่หายตื่นเต้น มือเท้าเย็นเชียบราวเอาไปแช่ในช่องฟรีซ
เริ่มกลัวว่าหากทำงานกับเขาเพียงสองคนจะเป็นเช่นไร หันมองมีนาก็เห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีกังวลสักนิด แน่นอนอยู่แล้วในเมื่อทำงานที่นี่มาหลายปี ต่างจากเธอที่เพิ่งมาครั้งแรก แค่ความใหญ่โตก็ทำเอาลอบกลืนน้ำลายแล้ว
อาคารสูงกว่าสิบชั้นถูกออกแบบโดยสถาปนิกมากฝีมือ ภายในอาคารค่อนข้างสว่างเพราะกรุด้วยกระจก และเพดานทำเป็นโดมให้แสงส่องลงมา ทว่าไม่ได้ร้อนเหมือนอยู่กลางแจ้ง บรรยากาศเย็นสบายอีกทั้งยังมีห้องอำนวยความสะดวกอีกมากมาย ถือว่าผู้บริหารค่อนข้างมีวิสัยทัศน์พอสมควร
ขึ้นลิฟต์มายังชั้นเกือบข้างบนสุด ทั้งฟลอร์ค่อนข้างเงียบแต่กลิ่นที่เตะจมูกนั้นหอมจนเผลอสูดดมแล้วอมยิ้ม เป็นกลิ่นของดอกลิลลี่ที่เธอชอบ
“ชั้นนี้เป็นของคุณศรัณทั้งหมด มีห้องทำงาน ห้องนอน ห้องฟิตเนต ห้องอาหาร” มองตามประตูทั้งสี่บานก็พยักหน้า สะดวกสบายเสียเหลือเกินจนหล่อนอดอิจฉาไม่ได้ ในขณะที่คนอื่นทำงานด้วยระยะเวลาเท่านั้น แต่กลับไม่มีทรัพย์สินมากมายขนาดนี้
อยู่ที่วาสนาซึ่งชาติที่แล้วหล่อนคงทำบุญมาน้อย...
“แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้หรอกช่วงนี้ ส่วนมากจะอยู่ช่วงทำโปรเจค” หน้าห้องเป็นโต๊ะของเลขานุการ นึกว่าจะมีเอกสารมากมายแต่ความจริงค่อนข้างโล่ง
“ทำไมโล่งจังคะ” หล่อนเดินมานั่งข้างมีนา พลางถามด้วยความสงสัย
“เอกสารบางส่วนก็แสกนเป็นไฟล์บันทึกในคอม แล้วก็มีเอกสารที่เก็บอยู่ห้องข้างล่างน่ะ หน้าที่เราส่วนมากก็แค่คัดแยกแฟ้มของแต่ละแผนก สรุปย่อรายละเอียดก่อนนำไปให้คุณศรัณเซ็นจะได้ย่นเวลาให้เขา เดี๋ยววันนี้พี่สอน” ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันจบประตูลิฟต์ก็เปิดออก
รวิสุดาหัวใจเต้นรัวเป็นครั้งแรกที่จะได้เจอกับเจ้านายของตนเอง หล่อนไม่ได้ลุกขึ้นเพราะมีนาก็ยังนั่งอยู่กับที่พลางเปิดแมคบุ๊คเพื่อเริ่มทำงาน เสียงรองเท้ากระทบพื้นเดินมาทางห้องทำงานก่อนที่โลกทั้งใบของเธอจะหยุดหมุนเมื่อพบว่าชายตรงหน้า...
“สวัสดีครับ” รอยยิ้มนั้นถูกมอบให้หล่อนก่อนเขาจะเดินเข้าห้องไป
มือไม้เย็นกว่าเดิม จำเขาได้ขึ้นใจไม่เคยลืม ใบหน้าคมสันที่ยังคงตราตรึงอยู่ทุกวันพยายามลืมเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้สักที
ผู้ชายคนนี้คือพ่อของลูกชายหล่อน!