บทที่๑...เลขาชั่วคราว (๑)
ดวงตาคมราวกับเหยี่ยวจ้องมองตัวหนังสืออย่างละเอียด เขาอ่านพร้อมทำความเข้าใจก่อนจะจรดปลายปากการาคาหลายพันเซ็นชื่อตนเอง เป็นอันเสร็จสิ้นโครงการพร้อมดำเนินงาน มือหนาปิดแฟ้มลงเมื่ออ่านแผ่นสุดท้ายจบแล้ว
ยื่นให้คนตรงหน้าที่ยืนรอรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มีนา ประมวลการณ์ เลขาที่ทำงานกับเขามากว่าสามปี หล่อนทำทุกอย่างได้แบบไร้ที่ติ อาจเพราะเรียนมาทางด้านนี้โดยตรงพร้อมทั้งประสบการณ์อีกหลายปี จึงไม่นึกแปลกใจสักนิด
ทว่าอีกไม่นานเขาก็ต้องคิดหนักเมื่อมองที่หน้าท้องซึ่งเคยแบนราบบัดนี้กลับนูนขึ้นมาเห็นได้ชัด หล่อนท้องได้แปดเดือนแล้วอีกไม่นานคงใกล้จะคลอด
นั่นคือปัญหาของเขา...
“จะคลอดวันไหนนะ” ขณะที่เธอกำลังจะหมุนกายกลับไปโต๊ะของตนเองเจ้านายก็ถามขึ้นเสียงเรียบ
“สัปดาห์หน้าค่ะ” คนฟังคิดหนัก เคาะปากกาลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ
“แต่คุณรัณไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันหาคนมาทำหน้าที่นี้แทนเรียบร้อยแล้ว” นั่นคือสิ่งที่เขากังวล มีนามาขอลาคลอดพร้อมทั้งเลี้ยงลูกอีกสามเดือน ซึ่งเป็นสวัสดิการของบริษัทอยู่แล้ว
บิดาของเขาเห็นถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัว จึงได้ให้พนักงานหญิงหากคลอดลูกสามารถลางานได้ไม่เกิน 90 วัน และผู้ชายเองก็สามารถลางานหากภรรยาคลอดได้ไม่เกิน 60 วัน โดยจะให้เงินครึ่งหนึ่งทั้งยังมีเงินรับขวัญบุตรให้อีกด้วย
ใจดีจนเขาคิดว่าเป็นองค์กรช่วยเหลือพนักงาน เพราะเหตุนี้จึงมีแต่คนอยากเข้าทำงานที่ดริ้งสยาม จำกัด จนเปิดสมัครแต่ละครั้งคนก็แห่มาเป็นพันทั้งที่บางครั้งรับเพียงสองตำแหน่ง
“เขาไว้ใจได้เหรอ” ยังคงกังวล เขาเข้ากับคนอื่นยากยิ่งถ้าเป็นเรื่องการทำงานที่ค่อนข้างใกล้ชิด มันจะไม่เป็นปัญหาอย่างนี้เลยถ้าเลขาคนสนิทของเขาอีกคนอย่าง ภูธร วรรณวิโรจน์ จะไม่ไปต่างประเทศเพื่อเลี้ยงหลาน ขอลางานสองเดือนเต็ม
แล้วไปช่วงเดียวกันอีก ชายหนุ่มแทบกุมขมับ
“ได้ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาจะมาเรียนรู้งาน คุณรัณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะคนนี้ถึงจะสวยแต่มีครอบครัวแล้ว ไม่จ้องจับคุณแน่ๆ ค่ะ” บอกถึงความกังวลของชายหนุ่ม
คนฟังพยักหน้าไม่ต่อความอะไร หล่อนจึงได้กลับไปประจำที่ตนเองปล่อยเขานั่งทำงานที่คั่งค้างเพียงลำพัง
ศรัณ วิมานมรกต บุตรชายเพียงคนเดียวของคุณธรณ์เทพและ คุณนาราภัทร วิมานมรกต เจ้าของบริษัทจำหน่ายเครื่องดื่มขนาดใหญ่ของประเทศ ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหาร ผู้มากด้วยความสามารถและมีใบหน้าอันหล่อเหลา
สาวน้อยใหญ่ต่างหมายปอง มีหลายคนที่เข้ามาทำงานตำแหน่งเลขาเพื่อหวังจับเขา ชายหนุ่มจึงค่อนข้างเลือกเป็นพิเศษ ที่มีนาผ่านเข้ามาได้ก็เพราะแต่งงานมีครอบครัว ทั้งยังทำงานเก่งมีประสบการณ์ ซึ่งข้อหลังเขาไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เนื่องจากแต่ละคนที่มาสมัครโปรไฟล์ก็ไม่ด้อยกว่ากันเลย
ที่เขาต้องการมีเพียงอีกฝ่ายไม่คิดจะจับตนเท่านั้น
ไม่รู้ว่าคนที่มาใหม่จะเป็นเช่นไร แต่เขาก็ไม่สนใจเพราะหล่อนแค่ทำงานแทน อยู่ไม่เกินสามเดือนก็ต้องออกแล้ว
คอนโดขนาดใหญ่ใจกลางมหานครถูกจับจองด้วยนักธุรกิจและชาวต่างชาติที่ปล่อยให้ได้เช่าห้องในราคาถูก มีนาเดินจับมือสามีกลับห้องของตนเอง ขณะที่จะเข้าลิฟต์ก็ได้ยินเสียงวิ่งพร้อมบอกให้รอจึงได้กดเปิดประตูค้างเอาไว้
“อ้าวพี่มีน สวัสดีค่ะ” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยทักพร้อมยกมือไหว้จนหล่อนรับไหว้แทบไม่ทัน
“คุงป้า หวัดดีคับ” เด็กชายที่มาพร้อมกันยกมือไหว้อย่างสวยงามจนนึกเอ็นดู พวกเขากดไปยังชั้นที่พักอาศัยของตนเอง
“พากันไปไหนมาเหรอ” เห็นถือข้าวของพะรุงพะรังจึงถามด้วยความสงสัย
“ไปซื้อของเข้าบ้านค่ะ เพิ่งมีเวลาว่างเลยต้องรีบไปไม่อย่างนั้นเจ้าตัวแสบไม่มีสบู่ใช้แน่เลยค่ะ” ลูบศีรษะบุตรชายพลางอมยิ้มให้รุ่นพี่ห้องตรงข้าม
ติ้ง
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่พักอาศัย พวกเขาเดินไปด้วยกันขณะที่สามีของมีนาก็แยกเข้าห้องเพราะภรรยามีเรื่องจะคุยกับรุ่นน้องคนนี้
“เชิญค่ะพี่มีน ห้องรกหน่อยนะคะยังไม่ได้เก็บกวาดเลย” ไขกุญแจเข้ามาก่อนจะถอดรองเท้าวางไว้ที่ตู้เล็กด้านซ้าย สวมสลิปเปอร์แล้วปล่อยลูกชายให้เดินถือของเข้าไปข้างใน
“ไม่เห็นรกเลย” ภายในห้องค่อนข้างจัดเป็นสัดส่วน มีโถงกลางก่อนจะเป็นโซนรับแขกโดยมีโทรทัศน์จอใหญ่วางไว้ตรงหน้า
รวิสุดา พรหมพันธ์ เช่าห้องของชาวต่างชาติเพราะอยู่ใจกลางเมือง ทั้งยังใกล้สำนักพิมพ์ที่หล่อนส่งต้นฉบับให้อีกด้วย หากมีอะไรผิดพลาดก็สามารถขึ้นรถไฟฟ้าแค่สี่สถานีก็ถึงจุดหมาย ประหยัดเงินและประหยัดเวลา
อีกอย่างก็ใกล้โรงเรียนเตรียมอนุบาลของบุตรชาย ตัดสินใจไม่ยากเลยที่จะขอเช่า ราคาไม่ได้สูงมากนักเทียบกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้ของคอนโดมิเนียมแห่งนี้ ยังได้รู้จักพี่สาวใจดีที่อยู่ห้องตรงข้ามจนหางานให้ตนอีก
“พรุ่งนี้ไปเรียนรู้งานกับพี่เลยนะ บอกเจ้านายไว้แล้ว” นั่งลงยังโซฟากว้างก่อนจะคุยธุระของตน
ใบหน้าหวานมีความวิตกกังวล การเป็นเลขาชั่วคราวถือเป็นงานแรกของเธอที่ต้องออกจากเซฟโซนของตนเองก็ว่าได้
ตั้งแต่เรียนจบคณะอักษรศาสตร์เอกภาษาอังกฤษมาก็ทำงานอยู่บ้านมาตลอด ทั้งแปลหนังสือ รับจ้างเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ(essay) ซึ่งเป็นงานที่หล่อนทำมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว เงินค่อนข้างดีทั้งไม่ต้องออกไปไหนด้วย
เธอติดปัญหาเรื่องลูก ต้องเลี้ยงคนเดียวเพราะญาติที่เหลืออยู่ก็ย้ายไปอาศัยที่ต่างประเทศเป็นการถาวร ส่วนบิดามารดาท่านเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุตั้งแต่หล่อนอายุเพียงสิบหกปี
“ไม่ต้องคิดมาก เจ้านายพี่เขาไม่ดุหรอก” ถึงจะพูดแบบนั้นก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี
“ดรีมไม่เคยทำงานเลขามาก่อน กลัวว่าจะพลาด” บอกตามความรู้สึกส่วนลึก งานนี้ค่อนข้างท้าทายความสามารถพอสมควร
“งานส่วนมากจะเป็นงานเอกสาร แล้วก็จดวาระการประชุม บอกตารางเจ้านายแค่นั้น ไม่มีอะไรยากหรอก ช่วงสองสามเดือนนี้ไม่ค่อยมีงานเพราะจัดการเคลียร์ไปก่อนหน้าแล้ว ไม่ต้องกังวลนะ ถือซะว่าเอาประสบการณ์สักสามเดือน ไม่มีอะไรยากหรอก” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ใบหน้าของหล่อนก็ยังไม่คลายกังวล
ที่ตอบรับเป็นเลขาแทนมีนาก็เพราะช่วงนี้งานไม่ค่อยเข้า เงินค่าเช่าห้องก็ต้องจ่าย ไหนจะค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายต่างๆ อีก แล้วลำพังเงินของหล่อนก็ไม่เพียงพอ พี่สาวห้องใกล้เคียงจึงได้มาชวนเนื่องจากกำลังหาคนพอดี
ถึงหล่อนไม่มีประสบการณ์แต่มีความสามารถก็เพียงพอแล้ว ที่จริงจะหาจากคนในบริษัทแต่ทุกตำแหน่งก็ไม่มีใครว่างพอจะมาช่วยเป็นเลขาชั่วคราวเลย ครั้นจะเปิดรับสมัครก็ดูจะไม่เหมาะเนื่องจากทำเพียงชั่วคราว
แถมเจ้านายก็ไม่มีเวลาว่างสัมภาษณ์ด้วย เขาให้เธอเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง
“คุงป้าน้ำคับ” เด็กตัวน้อยเดินถือน้ำเปล่ามาวางตรงหน้า เล่นเอาคนที่กำลังจะเป็นแม่ยิ้มปลาบปลื้ม จากที่เอ็นดูอยู่แล้วยิ่งรักมากกว่าเดิม
น้องต้นกล้า เด็กชายไรวินทร์ พรหมพันธ์ ลูกของรวิสุดาที่นอกจากหน้าตาจะน่ารักน่าชังแล้วมารยาทยังดีอีกต่างหาก พูดจาไพเราะช่วยเหลือมารดาทุกอย่าง ดูแลตัวเองไม่ต้องให้แม่คอยกำกับ อยากให้ลูกที่ออกมาเป็นเหมือนเด็กคนนี้เหลือเกิน
“น่ารักจริงลูก ขอป้ากอดหน่อยสิ” เข้าไปหาท่านแล้วยอมให้กอด พลางมองหน้าท้องขนาดใหญ่
“อยากทักทายน้องไหม” ดวงตาเรียวมีแววลังเล หันไปมองมารดาเป็นการขออนุญาต พอเห็นท่านพยักหน้าจึงยิ้มสดใส
“อยากคับ” มีนาจับมือหลานชายมาวางไว้บนหน้าท้องตนเอง เพียงเท่านั้นก็รับรู้ถึงแรงดิ้นของลูกน้อย
“โอ้โห น้องท่าจะชอบพี่ต้นกล้านะ ดูสิทักทายใหญ่เลย” ฟังอย่างนั้นก็อมยิ้ม
“น้องไม่อึดอัดเหรอคับ” ถามประสาซื่อ ทำเอาคนฟังหัวเราะออกมาแล้วลูบหัวต้นกล้าพลางอธิบายเท่าที่เด็กอายุสามขวบจะเข้าใจ
“ไม่อึดอัดครับ น้องยังตัวเล็กเลยอยู่ได้ แต่อีกไม่นานน้องก็ออกมาแล้ว พี่ต้นกล้าอย่าลืมมาเล่นกับน้องนะ” พยักหน้าทันที ก่อนจะลูบน้องน้อยด้วยใบหน้าอมยิ้ม ไม่นานมีนาก็ขอตัวกลับห้องปล่อยแม่ลูกอยู่ด้วยกันสองคน
หล่อนจึงไปจัดการนำของสดเข้าตู้เย็น ส่วนพวกเครื่องใช้เอาไปไว้ในห้องน้ำ ทว่าไม่นานลูกชายตัวน้อยก็เดินแกมวิ่งมาด้วยใบหน้าแตกตื่น
“แม่คับ ไม่เห็นมีกล่องดิงสอของต้งเลย” พูดนอหนูยังไม่ชัดถึงจะพยายามฝึกให้เท่าไหร่ ทว่าก็สามารถจับใจความได้
“ลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่าลูก” ส่ายหน้าทันทีพลางเริ่มเบะปาก แต่ก็พยายามฮึบเอาไว้ไม่อยากร้องไห้ถึงใจจะกระวนกระวายมากแค่ไหน รวิสุดาเห็นอย่างนั้นจึงเดินมาหาพลางนั่งลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
“งั้นเราไปดูที่ห้างดีไหม เผื่อต้นลืมไว้ที่นั่น” พอได้ยินก็ใจชื้น ยอมพยักหน้าก่อนจะไปหยิบกระเป๋าสะพายของตนเอง
เด็กชายมักจะมีกระเป๋าสะพายใบเล็กไปด้วยเสมอหากออกไปข้างนอก ภายในมีเบอร์โทรศัพท์ของผู้ปกครองและเงินเพียงเล็กน้อย หากฉุกเฉินหรือหลงกับแม่จะได้ติดต่อกัน
สองแม่ลูกพากันเดินออกมาจากซอยแล้วไปขึ้นรถไฟฟ้า นั่งไปไม่กี่สถานีก็ถึงห้างสรรพสินค้า พวกเขาเดินไปยังร้านขายเครื่องเขียนที่เพิ่งจากมาไม่นาน ต้นกล้าเดินแกมวิ่งไปที่โซนเด็กเล่นเห็นถุงอุปกรณ์เครื่องเขียนของตนก็อมยิ้ม