5. น่าสงสัย
ด้านนอก
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง” มู่หยางเอ่ยถามสหาย ซึ่งบังคับม้าคู่กัน
“ไม่ข้าไม่เป็นอันใด ว่าแต่นายท่านล่ะขอรับ บาดเจ็บหรือไม่” จางฟู่เอ่ยถามผู้ที่บังคับม้าอยู่ด้านหน้า หรือบุรุษที่ไปแจ้งข่าวเรื่องรับเจ้าสาวที่จวนนายอำเภอพร้อมมู่หยางนั่นเอง
เขาคือไป่จิ้งโหว หรือว่าที่สามีของสตรีบนรถม้าด้านหลัง และยังเป็นผู้รับนางขึ้นเกี้ยวเอง ไม่คิดว่าการมาในครานี้จะมีคนรู้ จนคิดลงมือลอบสังหาร ทว่าเขาก็ได้รับรู้เรื่องราวดีดีเกี่ยวกับเจ้าสาวตน เรียกได้ว่าไม่เสียเที่ยวเลย
ขบวนเดินทางมุ่งหน้ามาถึงเมืองเฉิน ก่อนจะหยุดพักที่โรงเตี๊ยมในเมือง ซูหลินถูกจัดให้พักห้องติดกันกับท่านโหว ซึ่งยามนี้เขาใช้ฐานะคนสนิทของตนเองอยู่ อันที่จริงการแต่งงานครานี้มันก็แค่ฉากบังหน้า คนเช่นเขาไหนเลยจะต้องมาแต่งกับสตรีต่างเมือง
ทั้งที่มีบุตรขุนนางหน้าตางดงามมากมายในเมืองหลวงให้เลือกเยอะแยะ แต่ละสกุลต่างก็อยากเกี่ยวดองผูกอำนาจกับเขา ทว่าเป็นเพราะท่านโหวผู้นี้มีแผนอยู่ในใจต่างหาก จึงยอมรับข้อเสนอของพี่สาวอย่างฮองเฮา
“นายท่านคนของเรารายงานว่ามือสังหาร ยังมีแอบซุ่มตามทางที่จะต้องผ่านอีกขอรับ ดูท่ามันคงหมายจะกำจัดพวกข้าน้อยแล้วโยนความผิดให้โจรป่าแถบนี้เป็นแน่”
มู่หยางเอ่ยเช่นนี้ก็เพราะการมาของไป่จิ้งโหวไม่มีผู้ใดรู้ เขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นต้องหมายตัดกำลังของผู้เป็นนาย
“ในหน่วยของเราอาจมีหนอนบ่อนไส้ก็ได้” จางฟู่เอ่ยเสียงรอดไรฟัน นึกเจ็บใจที่ถูกลอบกัดเช่นนี้
“เอาไว้กลับไปค่อยสืบ ยามนี้ข้าอยากรู้เรื่องคุณหนูรองสกุลหรงมากกว่า สตรีอัปลักษณ์ผู้นั้นไยถึงเก่งนัก เจ้าว่านางไปเรียนวิชาต่อสู้นั้นมาจากที่ใด” อดไม่ได้จึงเงยหน้าเอ่ยถามคนสนิท เพราะเขาพึ่งเคยเห็นสตรีเก่งกาจเพียงนี้ ภาพการต่อสู้ของนางเขายังจำได้ติดตา ตัวก็สูงแค่ไหล่ เหตุใดจึงมีแรงเตะแรงถีบมากมายนัก
“เรื่องนี้ก็แปลกขอรับ จากข่าวที่ได้รับรายงาน คุณหนูรองผู้นี้ควรจะตายไปตั้งแต่สองปีก่อน เพราะเกิดอุบัติเหตุในป่า และสิ้นลมไปถึงหนึ่งก้านธูปแล้ว ทว่านางกลับฟื้นขึ้นมา จากนั้นก็ได้ยินว่านิสัยต่างออกไปจากแต่ก่อนมาก มิหนำซ้ำยังมีปัญหากับผู้ใดไม่รู้ จนถูกลอบสังหารอยู่หลายครา ทว่าก็ไม่สำเร็จขอรับ” จางฟู่กล่าวถึงสตรีที่อยู่อีกห้อง ดูท่ายามนี้คงจะหลับไปแล้วด้วยซ้ำ
“หึ! ครอบครัวนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ” ไป่จิ้งยกยิ้ม ก่อนจะยกจอกชาขึ้นจิบ ทว่าความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา แต่คนสนิทกลับเอ่ยออกมาเสียก่อน
“ข้าน้อยไม่ไว้ใจนาง คุณหนูรองอาจเป็นสายอีกคนของชินอ๋องก็ได้นะขอรับ” จางฟู่เอ่ยสิ่งที่ตนคิด เพราะแม้แต่สาวใช้ในจวนที่อยู่กันมานานยังเป็นสายเลย เมื่อเห็นสตรีเก่งกาจ เขาจึงมองว่านางเป็นมือสังหารมากกว่า
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร เจ้าก็เห็นว่าคนพวกนั้นลงมือกับนางหนักเพียงนั้น ทั้งนางก็สังหารไปตั้งหลายคนด้วย”
“แล้วเจ้าไม่คิดหรือว่า คุณหนูที่ไม่เคยออกจากจวนผู้นั้น เหตุใดถึงได้เก่งวรยุทธ์เพียงนี้ ฝีมือเราเทียบชั้นนางไม่ได้ด้วยซ้ำ และยังมีความรู้เรื่องยาอีก หรือเจ้าไม่สงสัยข้อนี้เลย” สองสหายต่างก็ยกเหตุผลมาถกเถียงกัน
“ระ…เรื่องนี้” มู่หยางไม่อาจเถียงได้ จริงเช่นที่สหายเอ่ย คุณหนูหรงรอบรู้เรื่องยาไม่แปลกนัก เพราะสตรีบางนางก็ใฝ่เรียนเรื่องสมุนไพร ทว่านางไม่น่าจะมีวรยุทธ์ด้วยนี่สิ มิหนำซ้ำยังเก่งกาจสังหารคนได้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ผู้นั้น ซึ่งดูตื่นกลัวในคราแรก แต่ไปๆ มาๆ นางก็ตวัดดาบสังหารคนไปไม่น้อยเช่นกัน
จะว่าเป็นเพราะต้องเอาตัวรอดมันก็อาจจะใช่ เพียงแต่นางดูเก่งเกินไปนี่สิ ไม่รู้พากันไปร่ำเรียนมาจากที่ใด ถึงได้ต่อสู้เก่งเกินบุรุษนัก
“เอาเถอะ เรื่องนี้พวกเจ้าก็คอยจับตาดู ต่อไปนางก็ต้องอยู่ในจวนข้า ไม่ยากหรอกที่จะสืบว่าคุณหนูหรงเป็นสายของชินอ๋องหรือไม่ ไปพักกันได้แล้ว วันพรุ่งต้องเดินทางแต่เช้า” ไป่จิ้งเอ่ยกับคนของตนพร้อมกับโบกมือไล่
อีกห้อง
ซูหลินอาบน้ำล้างเนื้อตัวเรียบร้อยแล้ว นางยังคงนั่งอยู่กับสาวใช้ กำลังคิดหาวิธีรับมือกับคำถามในวันรุ่งขึ้น
“คุณหนู หากคนสนิทท่านโหวอยากรู้จะทำเช่นใดเจ้าคะ” ความกังวลนั้นมีมากจนอดไม่ได้ที่จะถามผู้เป็นนาย
“ข้าเองก็คิดไม่ออก จะโกหกหรือบอกความจริงดี”
“บะ…บอกความจริง ความจริงที่ว่าคุณหนูมาจากอีกยุคเลยเก่งกาจเพียงนี้หรือเจ้าคะ” สาวใช้ขยับเข้ามาใกล้
“เปล่า…ใครจะไปพูดเรื่องนั้นกัน ประเดี๋ยวก็หาว่าบ้ากันพอดีน่ะสิ ข้าจะบอกเรื่องที่แอบเรียนวรยุทธ์”
“หา…แล้วคิดหรือเจ้าคะว่าพวกเขาจะเชื่อ” เสี่ยวมี่ท้วงทันที เพราะคนเรียนวรยุทธ์ล้วนแต่ต้องมีอาจารย์สอน ทว่าผู้เป็นนายนั้นรอบรู้ด้วยตนเอง พลบค่ำยามที่ผู้คนเข้าเรือน ซูหลินจะแอบออกไปฝึกที่ป่าด้านหลังของจวนทุกคืน ตลอดสองปีมานี้ โดยมีตนคอยอยู่เป็นเพื่อน จนสามารถเรียนรู้วิธีป้องกันตัวไปด้วย
“ข้าก็ไม่รู้ คงต้องลองดู แต่ถึงอย่างไร คนของท่านโหวก็คงไม่เชื่อเรา” บอกไปอย่างที่คิด
“เราหนีกันดีหรือไม่เจ้าคะ พี่ไม่อยากให้คุณหนูต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เลย ออกจากจวนยังไม่ทันไรก็เกือบตายแล้ว” สีหน้าเสี่ยวมี่ดูเป็นกังวลมาก นางอดสงสารผู้เป็นนายไม่ได้ ตั้งแต่เป็นซูหลินก็เจอแต่เรื่องแย่ๆ พอเปลี่ยนเป็นอีกคนก็เจอแต่การฆ่าฟันอยู่ตลอด
“หนีตอนนี้ไม่ได้หรอก เอาไว้ผ่านงานแต่งไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน มีคนลอบสังหารเช่นนี้ก็ดี เราอาจจะหายสาบสูญได้ง่ายขึ้น พี่ว่าดีหรือไม่” เกริ่นแผนการณ์ที่คิด
“คุณหนูจะแกล้งตายหรือเจ้าคะ เป็นเช่นนั้นแผ่นดินนี้ก็ไม่มีซูหลินแล้ว” บอกไปอย่างที่คิด ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มกริ่ม เมื่อนึกถึงแผนที่วางเอาไว้ซึ่งไม่รู้มันจะง่ายเช่นที่คิดหรือไม่ รอให้ผ่านพ้นงานแต่งไปแล้ว หากมีการลอบสังหารเกิดขึ้นอีก ซูหลินก็จะแกล้งตายเสีย
จากนั้นก็จะได้เป็นอิสระจากทุกอย่างไม่ต้องห่วงอันใด คนสกุลหรงก็จะไม่ต้องรับผลกระทบกับเรื่องนี้ นั่นถือว่าตนได้ตอบแทนที่ท่านนายอำเภอดีด้วยแล้ว
“นอนเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้คงต้องออกเดินทางแต่เช้า” สาวใช้เตือนแล้วก็ลุกไปดับเทียน ก่อนจะกลับมานอนบนเตียงกับผู้เป็นนาย สำหรับซูหลิน เสี่ยวมี่ก็เหมือนญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวแล้ว ทั้งสองปิดเปลือกตาลงเพื่อพักผ่อนไม่นานก็หลับ