สืบประวัติ
ตอนที่ 3
เจไดและคีตภัทรทั้งสองคนนั่งคุยกันต่อสักพัก ก่อนเจไดจะขอตัวกลับ เพราะไม่อยากจะอยู่เป็นก้างขวางคอเพื่อน เจไดเองพอจะดูออกว่าคีตภัทรเพื่อนของเขาก็รู้สึกสนใจแม่สาวน้อยคนทำความสะอาดคนนี้อยู่เหมือนกัน แต่แค่ฟร์อมเยอะไปหน่อยแค่นั้น
เมื่อเฟื่องฟ้าทำความสะอาดภายในห้องนอนและห้องน้ำเสร็จแล้ว เลยออกมาทำความสะอาดตรงบริเวณโซนห้องรับแขกและห้องครัวที่ทำค้างไว้ก่อนหน้านั้นต่อ โดยที่ไม่แม้แต่จะชายตาไปมองชายหนุ่มที่นั่งทำงานอยู่ เพราะเธอไม่อยากจะเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับคนบ้าไปมากกว่านี้ เธอเลยตั้งหน้าตั้งตารีบทำงานของตัวเองให้เสร็จจะได้รีบออกไปจากตรงนี้สักที
“นี่คุณ ฉันทำเสร็จหมดแล้ว!”
หญิงสาวพูดขึ้นเมื่องานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบได้เสร็จเรียบร้อยหมดทุกส่วนแล้ว
“อืม นี่เงินของเธอ ค่าทำความสะอาดวันนี้”
คีตภัทรยื่นเงินสดจำนานห้าพันบาทให้กับเธอเป็นค่าทำความสะอาด
“โห นี่ทำแค่นี้คุณให้ฉันตั้งห้าพันเลยหรอ”
เฟื่องฟ้าเบิกตาโพลงเมื่อเห็นจำนวนเงินที่ชายหนุ่มยื่นให้ สำหรับคนอื่นมันอาจจะแค่เล็กน้อย แต่สำหรับเธอมันใช้จุนเจือได้ทั้งเดือนเลยทีเดียว
“ถ้าเธอทำอะไรที่มันเยอะกว่าทำความสะอาด เธอก็จะได้เยอะกว่านี้ สนใจไหมล่ะ หื้ม?”
ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยสายตากรุ้มกริ่มที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์
“นี่คุณ! อย่ามาใช้คำพูดกำกวมและสายตาลามกมองฉันแบบนี้นะ!!”
“กำกวมอะไร เธอคิดว่าคนอย่างฉันจะชวนเธอขึ้นเตียงหรือไงห้ะ ยัยปีศาจปากเหม็น นี่เธอฝันอยู่หรือไง!”
“ไอ้คนทุเรศ ต่อให้คุณชวนฉันก็ไม่ยอมขึ้นเตียงกับคุณหรอก คุณก็อย่าฝันกลางวันและหลงตัวเองไปหน่อยเลย ฉันยอมเฉาตายดีกว่าที่ต้องร่วมเตียงกับคุณ”
“เหอะ! แค่ฉันอยู่เฉยๆก็มีสาวๆวิ่งแจ้นมาถวายตัวให้ฉันแทบจะทุกวันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องหลงตัวเองหรอก ปีศาจอย่างเธอฉันก็กินไม่ลง มีหวังได้ติดคอตาย!!”
“นี่คุณ!!”
“ทำไม?”
ทั้งสองคนต่างเล่นสงครามจ้องตากันอีกครั้งอย่างไม่มีใครยอมใครอยู่แบบนั้น ก่อนหญิงสาวจะหันหลังเดินหนีเพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับพวกคนรวย แต่ปากหมาอย่างผู้ชายตรงหน้านี้
“นั่นเธอจะไปไหน?”
คีตภัทรถามขึ้นเมื่อจู่ๆหญิงสาวก็เดินพรวดพราดออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“หมดหน้าที่ของฉันแล้วฉันก็จะกลับสิ จะให้ยืนบื้ออยู่ทำไมล่ะ จะถามอะไรก็ช่วยถามคำถามที่ดูฉลาดกว่านี้หน่อย”
[ แหม๋..ปากยัยนี่นี่นะ ปากดีแบบนี้เดี๋ยวพ่อจะสั่งสอนให้ปากเจ่อกันไปข้างเลยเป็นไง ] คีตภัทรคิดในใจคนเดียวอย่างนึกหมั่นไส้
“เธอต้องมาทำความสะอาดที่นี่ทุกวันพุธและวันอาทิตย์ ส่วนวันเสาร์เธอต้องไปทำความสะอาดที่เพ้นท์เฮาส์ของฉัน ป้าของเธอคงจะบอกรายละเอียดแล้วใช่ไหม”
“อะไรนะ? ทำไมป้าแมวไม่ได้แจ้งรายละเอียดฉันเลยล่ะ ฉันคิดว่าฉันมีหน้าที่มาทำความสะอาดที่นี่ทุกวันอาทิตย์แค่นั้น”
หญิงสาวพูดขึ้นด้วยความงุนงงที่ผู้เป็นป้าทำไมไม่บอกรายละเอียดเธอให้มันชัดเจนกว่านี้
“ในเมื่อป้าเธอไม่ได้แจ้ง แต่ฉันก็แจ้งเธอแล้ว ก็เอาตามนี้แล้วกัน!”
“แต่ฉันมีเรียนนะ ช่วงหลังเลิกเรียนฉันก็ต้องไปทำงานที่ร้านอาหารจนถึงเที่ยงคืน ถ้าไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์ แล้วฉันจะเอาเวลาไหนมาทำงานให้คุณล่ะ”
“เธอเลิกงานก็ค่อยมาทำสิ และฉันก็ไม่ไว้ใจใครให้ไปเพ้นเฮ้าส์ของฉันทั้งนั้นนอกจากป้าแมว แล้วก็เธอซึ่งเป็นหลานป้าแมว ฉันคิดว่าฉันสามารถไว้ใจเธอซึ่งเป็นหลานป้าแมวได้!!”
“หึ พวกเทาๆสินะ คนอย่างพวกคุณก็คงจะมีความลับเยอะสินะถึงได้ไว้ใจคนยากขนาดนี้ เพราะฉะนั้นคุณก็อย่ามาไว้ใจคนอย่างฉันนักเลย!” หญิงสาวพูดขึ้นด้วยความหมั่นไส้
“หรือเธอจะไม่ทำก็ได้นะ ทำความสะอาดแค่ไม่กี่ชั่วโมงได้ครั้งละห้าพันแบบนี้ คงหาที่ไหนไม่ได้หรอก จริงไหม!”
“จริงอยู่แล้ว เพราะไม่มีคนหน้าโง่ที่ไหนเขาจ้างทำความสะอาดครั้งล่ะห้าพันแบบนี้หรอก ถ้าไม่ใช่คุณ!”
“นี่เธอ!!”
คีตภัทรพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด เธอนี่มันปีศาจร้ายจริงๆ ปากร้ายๆแบบนี้ต้องกำราบให้อยู่หมัด
“งั้นก็ตามนี้ ทุกวันเสาร์เธอมาพบฉันที่นี่ และฉันจะพาเธอไปที่เพ้นท์เฮ้าส์ของฉันด้วยตัวเอง ส่วนวันพุธและอาทิตย์เธอต้องมาทำที่ผับนี้ ทั้งสามวันนี้เธอจะขาดวันไหนไม่ได้ เพราะฉันไม่ชอบความสกปรก!”
“โอเค ฉันเห็นว่าดีกว่าอยู่เฉยๆไม่มีอะไรทำหรอกนะ ไม่งั้นจ้างให้ฉันก็ไม่มาหรอก เพราะฉันไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน!!”
หญิงสาวพูดขึ้นพลันยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านอะไรกับคำพูดของตัวเอง จนชายหนุ่มเองก็แอบขำกับท่าทางของเธออยู่เหมือนกัน
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน!” พูดจบเฟื่องฟ้าก็หันหลังเพื่อจะเดินออกไปจากห้องก่อนเสียงทุ้มต่ำของคนตัวโตจะพูดขึ้น
“เดี๋ยว!”
“อะไรอีกล่ะ?”
“เธอชื่ออะไร?”
“ฉันชื่อเฟื่องฟ้า ..ไม่มีอะไรอีกใช่ไหมคะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณคีย์!”
“เชิญ!”
หลังพูดจบหญิงสาวก็เดินไปหยิบเอากระเป๋าสะพายข้างและเดินออกไปจากห้องของคีตภัทรทันทีด้วยความเร่งรีบ
แรมโบ้ลูกน้องมือขวาคนสนิทของคีตภัทรเดินขึ้นมาพบเจ้านายตามที่ถูกโทรเรียก ก่อนจะเอื้อมมือไปเคาะประตูห้องเพื่อขออนุญาตผู้เป็นเจ้านายก่อนเข้าไปข้างใน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!
“เข้ามา!”
“นายมีอะไรจะให้ผมรับใช้ครับ!”
“ไปสืบประวัติยัยนั่นมาให้กู”
“หลานป้าแมวน่ะหรอครับ?”
“เออ! กูขอภายในครึ่งชั่วโมง”
“ครับ”
หลังจากแรมโบ้ออกมาแล้วเขาก็รีบไปดำเนินการตามที่ผู้เป็นเจ้านายได้สั่งทันที ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แรมโบ้ลูกน้องคนสนิทของคีตภัทรก็เดินเข้ามาภายในห้องของผู้เป็นเจ้านายพร้อมกับเอกสารในมือ
“นี่ครับนาย ประวัติของเธอ”
คีตภัทรเอื้อมมือไปหยิบเอาเอกสารจากแรมโบ้มาเปิดดูอย่างละเอียด
“เฟื่องฟ้า ภิญญาพัชญ์ รักษ์โกศล อายุ21 ย่าง 22ปี กำลังเรียนปีสี่ ภูมิลำเนาเป็นคนอุบลราชธานี เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว พ่อมีอาชีพรับจ้างทั่วไปไม่ว่าจะเป็น ทำนา ทำไร่ ทำสวน และตอนนี้ก็กำลังเจ็บออดๆแอดๆ ส่วนแม่ทำขนมไทยขายเป็นอาชีพหลัก หึ!”
คีตภัทรพูดขึ้นพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อพอจะทราบรายละเอียดคร่าวๆของเฟื่องฟ้า
“ต้องเรียนอีกนานไหม ยัยนั่นถึงจะจบ”
ชายหนุ่มถามแรมโบ้ลูกน้องคนสนิทที่ยังยืนอยู่ที่เดิม พร้อมกับตวัดขาขึ้นไขว่ห้างและนั่งกอดอกเอนหลังตรงพนักพิงเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์
“คงจะอีกสองเทอมครับนาย เธอเรียนอยู่ปีสี่เทอมแรกคิดว่าน่าจะเรียนน้อยครับ แต่ถ้าเทอมสองเธอคงจะต้องออกฝึกงานครับนาย”
“ตอนนี้เธอพักอยู่ที่ไหน”
“เธอพักที่หอพักxxครับนาย พอเลิกเรียนเธอก็รับจ๊อบเสิร์ฟอาหารและล้างจาน ร้านอาหารxx เป็นร้านของรุ่นพี่ที่เธอสนิทด้วยครับนาย”
“รุ่นพี่ที่สนิท?..”
“ครับ!”
“ไอ้รุ่นพี่ที่ว่านี่ มันเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”
“ผู้ชายครับนาย”
“อืม”
คำตอบของแรมโบ้ไม่เป็นที่น่าพอใจให้กับชายหนุ่มยิ่งนัก
[รุ่นพี่ผู้ชายที่สนิทอย่างงั้นหรอ หวั่งว่าไอ้นั่นคงจะไม่ได้เป็นผัวเธอหรอกนะ ยัยปีศาจ!] คีตภัทรได้แต่คิดในใจคนเดียวอย่างหงุดหงิด
~เช้าวันต่อมา~
ร่างอรชรบอบบางของเฟื่องฟ้าได้เดินออกมาจากห้องพักในชุดนักศึกษา สองขาเรียวสวยเปลือยเปล่าเดินลงบันไดมาอย่างเร่งรีบ ก่อนจะเดินออกไปหน้าปากซอยเพื่อเรียกวินมอไซด์ให้ไปส่งที่มหาลัย เพราะรถมอเตอร์ไซด์คู่ใจยังซ่อมไม่เสร็จเนื่องจากอุบัติเหตุเมื่อคราวก่อนนั้น เงินที่มาเฟียหนุ่มให้เธอจำนวนสองแสนบาทถ้าเธอจะไปซื้อรถมอเตอร์ไซด์คันใหม่ก็สามารถซื้อได้ แต่เนื่องจากความงกและประหยัดของเธอ จึงไม่อยากจะเอาเงินส่วนนี้ออกมาใช้จ่ายอย่างเปล่าประโยชน์ เธอจึงเก็บเอาไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น
เฟื่องฟ้าเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นพร้อมกับยกมือเรียวขึ้นมาปาดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามกรอบหน้าอย่างลวกๆ ก่อนดวงตากลมโตจะเพ่งมองไปยังตึกสูงรอบๆมหาลัยอย่างคนที่เหนื่อยล้า เธอแทบอยากจะร้องตะโกนออกไปให้กับความเหนื่อยล้าในชีวิต แต่ทว่าหากเผลอพลั้งปากพูดประโยคที่สุดแสนจะบั่นทอนจิตใจตัวเองออกไป ร่างกายที่แสนจะเหนื่อยล้าของเธอและพลังงานทั้งหมดในร่างกายก็คงจะ Low Battery ลงไปกว่าเดิมทันที
“เฮ้อ! ถึงสักที!”
หญิงสาวร่างบางอรชรถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะเดินกรีดกรายไปหย่อนสะโพกนั่งพักตรงม้าหินอ่อนใต้ตึกของคณะบริหารที่เธอเรียนอยู่ ใบหน้าสวยหวานจิ้มลิ้มที่แต่งแต้มเครื่องสำอางค์เพียงบางเบาบนใบหน้า เพียงเท่านี้ความสวยของเธอก็สามารถดึงดูดให้เพศตรงข้ามต่างหันมามองทางหญิงสาวเป็นระยะๆ
~ ครืด ครืด ครืด ~
เสียงโทรศัพท์มือถือของเฟื่องฟ้าดังขึ้นก่อนหญิงสาวจะลนลานรีบล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง ก่อนมือเรียวจะรีบกดรับสายทันทีเมื่อหน้าจอปรากฎชื่อของเพชรกล้า
เฟื่องฟ้า : [ค่ะพี่เพชร]
เพชรกล้า : [ไง ไปถึงมหาลัยหรือยัง ตื่นสายอีกหรือเปล่าวันนี้]
เฟื่องฟ้า : [ฟ้าเพิ่งมาถึงเองค่ะพี่เพชร]
เฟื่องฟ้าพูดขึ้นในขณะที่มือเรียวรวบผมยาวสลวยเบี่ยงไปยังอีกข้าง เพื่อให้ลมใต้อาคารได้พัดโกรกใบหน้าและลำคอเพื่อดับความร้อน
เพชรกล้า : [คงจะไม่ได้ทานข้าวเช้าอีกตามเคยล่ะสิ ใช่ไหม]
เฟื่องฟ้า : [ฟ้ารีบค่ะ กะว่ารอกินตอนเที่ยงรอบเดียวก็ได้ ]
เพชรกล้า : [แล้วฟ้าเรียนเสร็จกี่โมงครับ เดี๋ยวพี่มารับ]
เฟื่องฟ้า : [วันนี้ฟ้าเรียนเสร็จบ่ายสามโมงค่ะพี่เพชร]
เพชรกล้า : [เดี๋ยวพี่ไปรับนะครับ จะได้ไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน]
เฟื่องฟ้า : [จะไม่รบกวนพี่เพชรหรอคะ ฟ้าเกรงใจค่ะ]
เพชรกล้า : [เกรงใจอะไรกัน ไหนๆฟ้าก็ต้องไปทำงานที่ร้านอยู่แล้ว จะได้ไปพร้อมกันเลย]
เฟื่องฟ้า : [งั้นก็ได้ค่ะพี่เพชร ไว้เจอกันนะคะ]
เพชรกล้า : [ครับ บ๊ายบาย]
หลังจากจบบทสนทนาแล้วเฟื่องฟ้าก็กดวางสายทันที ลึกๆแล้วเธอเองก็พอจะรู้ความรู้สึกของเพชรกล้าที่มีต่อเธอ ชายหนุ่มเองไม่ได้คิดกับเธอเพียงแค่น้องสาว เหมือนที่เธอคิดกับเขาเพียงแค่พี่ชาย แต่เพชรกล้าเองคิดกับเธอมากกว่านั้น เพราะการกระทำของชายหนุ่มเองฟ้องทุกอย่างที่แสดงออกกับเธอ แต่กลับเป็นเธอเองที่ไม่กล้าจะคิดอะไรกับเขามากไปกว่านั้น เพราะคนดีๆอย่างเพชรกล้า สมควรที่จะได้เจอผู้หญิงดีๆและเพียบพร้อมมากกว่าคนแบบเธอ