เมื่อเราได้เจอกันอีกครั้ง
ตอนที่ 4
เมื่อเราได้เจอกันอีกครั้ง
ม่านไหมเดินทางมาถึงโรงแรมแต่เช้า แต่เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์เธอจึงได้พาลูกทั้งสองไปฝากเลี้ยงที่เนิร์สเซอรี่ใกล้บ้าน ม่านไหมเห็นว่าผู้ดูแลเด็กนั้นดูเป็นคนจิตใจดี ทั้งยังอ่อนโยน ทำให้เธอวางใจที่จะฝากฝังอีกฝ่ายให้ดูแลลูกสาวฝาแฝด
“เข้ามานี่สิ”
นุสบาเป็นพนักงานแผนกต้อนรับ ทำงานที่นี่มานานกว่าห้าปีแล้ว เธอเรียกม่านไหมเข้าไปในห้องเล็กๆก่อนจะยื่นแบบฟอร์มของที่นี่ให้อีกฝ่ายเปลี่ยน
“ชุดของฉันเอง เห็นว่าตัวเท่าๆกัน เธอน่าจะใส่ได้”
“ขอบคุณนะคะ”
หญิงสาวรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า โชคดีที่ใส่ได้โดย ไม่หลวมหรือคับจนเกินไป ยูนิฟอร์มไวน์แดงดูเรียบหรูและดูดี ยิ่งนุสบาช่วยทำผมให้ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวนั้นดูสวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์
“ทำไมถึงสวยแบบนี้”
ม่านไหมยกยิ้มเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากชม นุสบาที่เป็นผู้หญิงยังอดเคลิบเคลิ้มไม่ได้เมื่อจับจ้องใบหน้ารุ่ นน้องสาวนานๆ
“พี่นุสเองก็สวยนะคะ ตรงนี้ไหมไม่ได้สวยคนเดียวหรอก”
“ฉันสวยน้อยกว่าเธอไงล่ะ”
ว่าแล้วอีกฝ่ายก็หัวเราะออกมา ทั้งสองเข้ากันได้ดี ยิ่งเมื่อนุสบารู้ว่าม่านไหมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกันกับเธอก็ยิ่งคุยกันถูกคอ โดยเฉพาะเรื่องลูก
“สามีพี่เขาไปติดผู้หญิงที่คาราโอเกะ ปกติเขาเป็นเด็กเรียนนะ ไม่เคยเที่ยวเลย พอไปครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ใจแตก”
เล่าไปก็หัวเราะไป แต่ม่านไหมสังเกตเห็นว่าในดวงตาของอีกฝ่ายนั้นมีประกายความเศร้าพาดผ่าน แม้เพียงเสี้ยววินาทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่านุสบายังคงเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“แต่เชื่อไหม หลังจากที่พี่ฟ้องหย่า เขาก็ตามตื๊อพี่นะ สองปีแล้วพี่ยังไม่ให้อภัยเลย”
“ใจแข็งมากเลยค่ะ”
อีกฝ่ายพยักหน้าพลางสูดลมหายใจลึก แต่กว่าจะใจแข็งแบบนี้ได้เธอเสียน้ำตามาไม่รู้เท่าไหร่ ถึงแม้ว่าสามีจะพยายามง้องอนและปรับปรุงตัว แต่บาดแผลในใจที่เขาฝากไว้มันก็ไม่ลบเลือนหายไปง่ายๆ
“บางครั้งพี่ก็อยากกลับไปนะ แต่พี่ก็ยังกลัว”
เธอรู้ว่าสามีแค่หลงผิดไปชั่วขณะ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถให้อภัยเขาได้ ผู้ชายที่ขยี้หัวใจเธอจนแหลกคามือ ทั้งยังอ่อนแอไม่สามารถคุมผู้หญิงของตัวเอง ปล่อยให้มาระรานเธอกับลูกนานเป็นเดือน จนนุสบาทนไม่ไหวต้องแจ้งความ แม้สามีจะรู้สึกผิดแต่เธอก็ยังไม่ให้อภัย
นุสบาเคยอยากทำร้ายเขาให้เจ็บปวดเหมือนที่เธอเคยเจ็บ ช่วงเวลาสั้นๆเธอลองเปิดใจคบหากับชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ตามจีบ แต่ทว่าเมื่ออีกฝ่ายบินกลับประเทศไปก็ขาดการติดต่อโดยปริยาย ซึ่งเธอก็ไม่ได้ดิ้นรนอยากที่จะตามหาเขาหรือพยายามติดต่อไป เพราะคิดว่าหากเขารักเธอจริงคงไม่หายไปแบบนี้
“ถ้าเป็นเธอจะกลับไปไหมล่ะ”
ม่านไหมชะงักไม่กล้าออกความเห็น เพราะเรื่องของเธอก็ไม่ค่อยต่างจากอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก เพียงแต่เธอนั้นไม่ได้มีสถานะที่จะออกความเห็นได้ เพราะบางทีเธออาจเป็นคนจำพวกเดียวกับผู้หญิงของสามีนุสบา
“แล้วสามีเธอไปไหน”
“เอ่อ เขาน่าจะหายสาปสูญไปแล้วค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะตั้งแต่วันที่เธอตัดสินใจหอบร่างกายบอบช้ำกลับบ้าน ก็ไม่เคยคิดติดตามข่าวสารใดๆอีกเลย แม้แต่โซเชี่ยลเธอก็ไม่เคยเล่นด้วยซ้ำ โทรศัพท์ที่มีก็ไว้ใช้เพื่อติดต่องานและโทรเข้าโทรออกเท่านั้น
“อ้าว ซะงั้น”
นุสบาเห็นว่าม่านไหมไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องสามีเท่าไหร่นัก นุสบาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“แล้วตอนนี้เด็กๆอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ห้าปีแล้วค่ะ ตอนนี้เรียนชั้นอนุบาลสอง”
พูดถึงลูกสาวแล้ว ใบหน้าสวยก็ประดับรอยยิ้มความสุข เธอคอยเหลือบมองนาฬิกาใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังเพื่อรอเวลากลับบ้าน โชคดีที่นี่นั้นเข้างานและเลิกงานเป็นเวลา เนื่องจากช่วงกลางคืนผู้ที่อยู่ประจำตรงนี้จะเป็นผู้ชาย ทำให้ไม่ต้องมีการผลัดเปลี่ยนกะกัน
“ลูกพี่ตอนนี้เจ็ดปีแล้ว เป็นผู้ชาย ว่างๆพาลูกๆไปเล่นที่บ้านพี่ได้นะ”
รุ่นพี่เอ่ยชวน ม่านไหมพยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะหยุดสนทนากันและทำเรื่องเช็คอินให้กับลูกค้าชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่ นุสบาพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ม่านไหมนั้นใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งเธอนั้นยังใช้ศัพท์บางคำที่ลงลึกเจาะจงทำให้สาวรุ่นพี่อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
“เก่งมากเลย บางคำพี่ยังไม่รู้เลยนะ”
“ไหมเคยอ่านหนังสือเจอค่ะ เลยลองเอามาใช้ดู”
หญิงสาวเอ่ยก่อนที่เธอนั้นจะยื่นคีย์การ์ดให้ชายชาวต่างชาติรูปร่างสูง เขาแตะมือหญิงสาวก่อนจะลูบเบาๆพร้อมส่งสายตาสื่อความหมายให้เธอ
“เขาชอบเธอแน่ๆ”
นุสบากระซิบพลางหัวเราะคิกคัก ม่านไหมยิ้มเจื่อนก่อนที่เธอนั้นจะเริ่มให้บริการลูกค้าคนถัดไป ไม่มองไปยังชายชาวต่างชาติที่ดูสนอกสนใจเธอเป็นพิเศษ
“เรื่องปกติน่ะ พี่โดนแต๊ะอั๋งประจำ”
นุสบาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ เธอทำงานที่นี่มาห้าปีแล้ว ช่วงแรกยอมรับว่าตกใจแต่ช่วงหลังเธอชินชาก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย จะมีเพียงคนเดียวที่เธอตัดสินใจสานสัมพันธ์ต่อ แต่ทว่าตอนนี้เขากลับหายหน้าหายตาไปเป็นเดือนๆ