บท
ตั้งค่า

ทุกข์ที่ถาโถม(2)

“ลูกชายฉันกำลังจะกลับมาจากเชียงใหม่ ฉันจะให้เขามาอยู่ที่นี่”

คิ้วสวยขมวดเล็กน้อย บ้านหลังนี้มีเพียงหนึ่งห้องนอน ที่ผ่านมาพ่อยกให้เป็นของเธอและออกไปกางมุ้งนอนกลางโถงบ้าน ฉะนั้นแล้วหากลูกพี่ลูกน้องจะมาอาศัยอยู่ด้วยก็คงต้องหาที่นอนหมอนมุ้งมาเอง

“ก็ได้ค่ะ แต่คงต้องนอนนอกห้อง….”

“พอๆ ฉันพูดเอง”

เมื่อเห็นว่าภรรยานั้นพูดจาอ้อมไปอ้อมมาคนเป็นลุงก็ตัดสินใจโพล่งขึ้นด้วยความหงุดหงิด ชายวัยกลางคนล้วงหยิบกระดาษแผ่นใหญ่ขึ้นมาจากซองสีน้ำตาลก่อนวางลงบนโต๊ะต่อหน้าหลานสาว

“ในเอกสารระบุว่าลุงเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านหลังนี้ ลุงเลยจะยกบ้านหลังนี้ให้ลูกชาย”

ม่านไหมได้ยินเช่นนั้นก็เข่าอ่อน รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด

“คือลุงจะให้หนูกับลูกย้ายออกเหรอคะ”

หญิงสาวเอ่ยถามเสียงสั่น นายเมฆหนักใจแม้จะรู้สึกสงสารอีกฝ่ายแต่ถึงอย่างนั้นความโลภในใจก็ทำให้เขาละทิ้งความผิดชอบชั่วดี ชายวัยกลางคนพยักหน้าก่อนหยิบยื่นเงินให้หญิงสาวเป็นจำนวนสามพันบาท

“ลุงเองก็จำเป็น ลูกชายลุงจะแต่งงาน บ้านหลังนั้นก็คับแคบ”

“ลุงไม่สงสารหลานๆบ้างเหรอคะ ถ้าให้พวกหนูไปตอนนี้แล้วหนูจะไปอยู่ที่ไหน”

เธออยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต โดยที่ผู้เป็นย่าให้คำมั่นสัญญาว่าจะยกที่ดินและบ้านหลังนี้ให้ แต่ทว่าเพราะตอนนั้นผู้เป็นลุงต้องการใช้เงิน ทำให้ย่าตัดสินใจโอนที่ดินและบ้านให้เพื่อที่อีกฝ่ายจะนำไปจำนองกับธนาคาร ไม่คิดว่าเขาจะตะบัดสัตย์ต่อแม่และน้องชายเช่นนี้

“แกก็มีเงินไม่ใช่หรือไง ไปหาบ้านเช่าอยู่สิ”

ผู้เป็นภรรยาตะเบ็งเสียงด้วยความหงุดหงิดที่อีกฝ่ายนั้นเข้าใจอะไรยาก อย่างไรเอกสารก็เป็นชื่อสามีของเธอ หากสู้กันทางกฎหมายยังไงเธอก็ชนะ

“รีบๆย้ายออกไปซะ ฉันพูดดีๆแล้วนะ อย่าให้ฉันต้องถึงขั้นพาตำรวจมาลากแกออกไป”

ชายวัยกลางคนปรามภรรยาที่เริ่มใช้คำพูดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินทางกลับไป ทิ้งให้ม่านไหมทรุดนั่งอย่างหมดแรง

เด็กแฝดทั้งสองยังเล็กเกินกว่าที่จะเข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่ รู้เพียงแต่ว่าผู้เป็นแม่กำลังเศร้าจึงได้เข้ามาโอบกอด

“แม้อย่าเศร้าเลยนะคะ เดี๋ยวหนูจุ๊บเหม่งแม่จะได้อารมณ์ดี”

น้ำตาที่สกัดกลั้นเอาไว้พังทลายไหลลงมาไม่ขาดสาย ม่านไหมกอดลูกทั้งสองแนบอกก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นใจ

ลุงและป้าสะใภ้ส่งคนมาข่มขู่ม่านไหมถึงสองครั้งทำให้เธอนั้นตัดสินใจยื่นใบลาออกจากงาน วิทูรตามตื๊อขอมาส่งเธอที่บ้านแต่หญิงสาวกลับปฏิเสธและไม่สนใจเขา ชายหนุ่มที่กลัวว่าจะไม่ได้เจอม่านไหมอีกคิดฉวยโอกาสปุกปล้ำเธอ เขาลากหญิงสาวเข้ามาในมุมลับตาก่อนจะกดเธอติดผนัง

“ช่วยด้วย!”

วิทูรกดมือปิดปากหญิงสาวไม่ให้เธอนั้นส่งเสียงดัง ม่านไหมตื่นตะหนกเป็นอย่างมาก เธอพยายาม ดิ้นรนขัดขืนสุดกำลังก่อนตัดสินใจเตะผ่าหมากอีกฝ่ายจนล้มลงไปกองที่พื้น

“คุณรู้ไหมว่าฉันขยะแขยงคุณแค่ไหน แล้วคิดเหรอว่าฉันจะยอมแต่งงานกับผู้ชายโลเลแบบคุณ!”

หญิงสาวด่าทอเขาเสียงดัง ก่อนจะคว้าเศษผ้าที่ร่วงอยู่ฟาดเขาแรงๆหลายทีเพื่อระบายความโกรธแค้น วิทูรร้องโอดโอยปัดป้องพัลวัน

“ผะ ผมขอโทษ!”

“ผู้ชายที่กล้าทิ้งคู่ชีวิตตัวเองเพื่อผู้หญิงคนอื่นแบบคุณ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องหาความรักจากคนอื่น จำเอาไว้!”

หญิงสาวด่าทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ อีกฝ่ายมองตามอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยดูแลเด็กๆเป็นอย่างดี”

ม่านไหมเอ่ยกับครูประจำชั้นที่เสียสละเวลาเพื่อดูแลเด็กๆหลายคนที่พ่อแม่นั้นไม่สามารถปลีกเวลาออกมารับได้ในช่วงเวลางาน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ลูกสาวฝาแฝดของเธอ ครูสาวมีใบหน้าเศร้าเพราะเธอรู้สึกผูกพันกับเด็กน้อยทั้งสองเป็นอย่างมาก

“ครูคงคิดถึงหนูสองคนมากแน่ๆ”ว่าแล้วเธอก็โอบกอดลูกศิษย์คนโปรดทั้งสอง

ม่านไหมน้ำตาคลอ เธอไม่ได้อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอและ ลูกสาว ทำให้จำต้องตัดสินใจย้ายเข้าไปอยู่ในกรุงเทพเพื่อหางานทำและเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นครั้งที่สอง

“ยังไงก็ติดต่อมาบ้างนะคะ เผื่อมีอะไรให้ครูช่วยเหลือ ครูก็ยินดี”

“ขอบคุณมากเลยนะคะ”

หญิงสาวเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนที่สามแม่ลูกจะขึ้นรถรับจ้างเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่มากถึงสี่ร้อยกิโล

ม่านไหมตะเวนหาบ้านเช่า แต่ราคานั้นก็แพงจนสู้ไม่ไหว กว่าจะเจอบ้านที่ถูกใจและราคาไม่แพงเวลาก็บ่ายคล้อยแล้ว

หญิงสาวยื่นเงินให้เจ้าของบ้านพร้อมรับเอกสารสัญญาและกุญแจมาถือไว้ บ้านริมแม่น้ำแห่งนี้มีประวัติไม่ดีนัก แต่ม่านไหมไม่เชื่อเรื่องผีสางจึงไม่ได้สนใจแม้ผู้คนรอบๆจะพยายามคัดค้าน

ทั้งค่าเช่าที่แสนถูกเพียงสามพันต่อเดือน ทั้งยังอยู่ในเมืองหลวงและใกล้โรงเรียนมาก ทำให้ม่านไหมไม่ลังเลที่จะทำสัญญาเช่า

“มาอยู่ใหม่เหรอหนู”

“ใช่ค่ะ”

แม่ค้าส้มตำท่าทางใจดียื่นไก่ย่างให้เด็กๆคนละไม้ พร้อมข้าวเหนียวอีกคนละห่อ ม่านไหมกำลังจะควักเงินจ่ายแต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ

“ให้เด็กๆกิน ไม่เป็นไรหรอก”

หญิงสาวยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะพาเด็กทั้งสองมานั่งเล่นที่สวนสาธารณะติดริมแม่น้ำ เบื้องหน้าเป็นโรงแรมสูงที่ดูหรูหรา ขณะที่เธอกำลังทอดสายตามองลูกสาวที่กำลังวิ่งเล่นอยู่นั้น หูก็ดันได้ยินเสียงสนทนาที่ดังมาจากทางด้านหลัง

“โรงแรมนั้นเขารับสมัครพนักงานแผนกต้อนรับด้วยนะ”หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นก่อนรูดลูกชิ้นเข้าปาก

“ไม่เอาหรอก ฉันจบแค่มัธยมปลายใครเขาจะไปรับ อย่างเก่งก็เป็นได้แค่แม่บ้านเท่านั้นแหละ”คนพูดไหวไหล่ก่อนเขี่ยน้ำแข็งเข้าปาก

“เขารับตั้งแต่มัธยมปลาย แต่แค่ต้องพูดภาษาอังกฤษได้”

“ภาษาไทยฉันยังพูดผิดๆถูกๆ จะมาภาษาอังกฤษอะไรเล่า”

“เสียดายว่ะ ได้ยินว่าเงินเดือนเกือบสองหมื่นเลยนะ”

ม่านไหมหูผึ่ง เธอมองตรงไปยังโรงแรมหรูฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาที่เปล่งประกายความหวัง แม้จะมีวุฒิแค่มัธยมปลายแต่เธอก็สามารถสื่อสารภาษาได้เป็นอย่างดี

หญิงสาวพาเด็กๆเข้านอนก่อนจะค้นหาข้อมูลของโรงแรมนั้น

“ภูผาเหรอ อายุยังน้อยอยู่เลยได้เป็นประธานบริษัทแล้ว เก่งจัง”

น่าเสียดายที่ไม่รูปให้ดูเพราะเธอเองก็อยากรู้ว่าเจ้าของโรงแรมนั้นหน้าตาเป็นยังไง แต่ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่สาระสำคัญเท่าไหร่ เพราะยังไงระดับผู้บริหารก็คงไม่เอาเวลามาใส่ใจพนักงานระดับล่างอย่างเธอ

ม่านไหมสมัครงานผ่านอีเมลก่อนจะแนบเบอร์โทรศัพท์ไปด้วย เสร็จแล้วจึงรีบเข้านอนเนื่องจากว่าพรุ่งนี้ต้องพาเด็กๆไปสมัครเรียนแต่เช้าแต่แล้วสายตาเธอก็เหลือบไปเห็นกล่องไม้ที่วางอยู่บนหัวเตียง จึงเปิดดูก่อนจะพบว่าในนี้มีนาฬิกาเรือนหรูถูกเก็บไว้ หญิงสาวลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเธอยังคงเก็บสิ่งนี้อยู่ จึงค่อยๆเปิดดูอย่างช้าๆ ดวงตาคู่สวยหม่นลงเมื่อนึกถึงเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel