

น้องพร้อมมาแล้ว
3.
กาลเวลาเดินหน้าไม่ย้อนกลับ แม้นมีเงินทองมากมายมหาศาลก็ไม่อาจซื้อเวลากลับคืนมาได้ เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์ที่ต้องก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด ไม่สามารถกลับไปแก้ไขทุกเรื่องราวที่ผ่านมา สิ่งที่ทำได้คือทำปัจจุบันให้ดีกว่าอดีตเท่านั้น
เสียงเพลงประจำวันแม่แห่งชาติ อย่างเพลงค่าน้ำนมดังขึ้นภายในหอประชุมของโรงเรียนรัฐบาล เหล่านักเรียนทุกระดับชั้นต่างพากันร้องขับขานประสานเสียง ตามที่ได้ซุ่มซ้อมมาก่อนหน้าอย่างพร้อมเพรียง
ด้านข้างของหอประชุมมีเหล่าบรรดาคุณแม่ คุณยาย ที่เป็นตัวแทนมาร่วมงานวันแม่ที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น ใบหน้าผู้ปกครองต่างเต็มอิ่มไปด้วยรอยยิ้ม บางคนก็นั่งน้ำตารื้นด้วยความตื้นตันใจ ไม่ต่างจากหญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปีที่นั่งมองลูกชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของรุ่น กำลังเปล่งเสียงร้องเพลงด้วยความสนุกสนานตามประสาเด็กวัยห้าขวบ
เมื่อเพลงจบลงเหล่านักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล จวบจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่หกก็พากันชะเง้อคอมองหามารดา เมื่อใกล้เวลาทำพิธีไหว้แม่เข้าไปทุกที ไม่ต่างจากเด็กชายพัทธดนย์ หรือน้องพร้อมก็หันมองหาแม่เช่นกัน เมื่อเห็นว่าแม่นั่งยิ้มโบกมือทักทาย หนูน้อยก็ส่งยิ้มแฉ่งกลับมาด้วยความดีใจที่แม่มาแล้ว
ทั้งที่ช่วงเช้าก่อนออกจากบ้านแม่ก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมา แต่ก็ยังอดดีใจไม่ได้เมื่อเห็นแม่นั่งอยู่ มือเล็กยกขึ้นโบกทักทาย พร้อมกันนั้นก็สะกิดแขนเพื่อนชี้ไม้ชี้มือมาทางแม่ตัวเอง ดั่งกำลังบอกเพื่อนว่าแม่เราอยู่ตรงนั้น
เสียงประกาศเรียกให้ผู้ปกครองนักเรียนชั้นอนุบาลสามเริ่มเตรียมตัว เมื่ออาจารย์ประกาศชื่อเด็กชายพัทธดนย์ คนเป็นแม่ก็ลุกเดินออกไปนั่งยังเก้าอี้ที่เตรียมไว้
ก้าวเข้าสู่ปีที่สามที่พิมพ์มาดาได้มานั่งที่ตรงนี้ ปีแรกหญิงสาวจำได้ว่าตัวเองนั่งน้ำตาไหลโอบกอดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไว้แน่น จนลูกชายต้องขืนตัวออกมองหน้าเธอด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดแม่ของตนถึงได้ร้องห่มร้องไห้ขนาดนี้
แม้จะเป็นปีที่สาม เมื่อเห็นลูกชายกระพุ่มมือน้อยดั่งดอกบัวตูมก้มลงกราบแทบเท้า พิมพ์มาดาก็น้ำตาคลอขึ้นมาอีกจนได้ รีบก้มตัวลงไปรับไหว้ลูกชาย ลูบศีรษะทุยเล็กด้วยความรักล้นใจ คนเป็นแม่ตื้นตันอิ่มเอมในหัวใจ เรียวปากแย้มยิ้มตลอดเวลา
“น้องพร้อมรักแม่นะครับ” เสียงเล็กเอ่ยบอก ในระหว่างที่กลัดเข็มกลัดดอกมะลิที่คุณครูแจกให้ใส่เสื้อให้มารดา ตามที่ได้ซุ่มซ่อมมาหลายวัน
แม้พิมพ์มาดากับลูกจะบอกรักกันทุกวันทั้งเช้าและก่อนนอน แต่ความตื้นตันใจก็ทำให้น้ำตาไหลออกมาจนได้ จึงรีบเช็ดทิ้งไปส่งยิ้มให้ลูกชาย
“แม่ก็รักน้องพร้อมครับ” หอมแก้มนุ่มสูดความหอมที่คุ้นเคยเข้าเต็มปอด จากนั้นสองแม่ลูกก็สวมกอดกันแน่น
เพราะทั้งชีวิตมอบให้ลูกชายหมดไม่มีเหลือ น้องพร้อมเปรียบดั่งแก้วตาดวงใจ เปรียบดั่งชีวิต เปรียบดั่งลมหายใจ จึงเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูด้วยความรักเท่าที่แม่เลี้ยงเดี่ยวคนหนึ่งจะทำได้
แม้ชีวิตจะไม่ได้สวยหรูหรือเพียบพร้อมสุขสบาย ตรงกันข้ามกลับเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่หาเช้ากินค่ำเท่านั้น เงินที่ได้ก็มาจากการขายของ ไม่ได้มากมายเหลือกินเหลือใช้ แต่ก็ทำให้พิมพ์มาดาเลี้ยงดูลูกชายได้ดีทีเดียว และที่สำคัญยังมีคุณตาคอยช่วยเลี้ยงดูอีกแรง ไม่เคยทำให้ลูกชายเคว้งคว้างไร้ความรัก เธอฟูมฟักเลี้ยงดูลูกด้วยความรักอันเปี่ยมล้น
ส่วนคุณตาก็คอยเลี้ยงดู ยุงไม้ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม อย่าหวังว่าเธอจะได้ลงไม้ลงมือกับลูกชายต่อหน้าคุณตาเชียว เพราะแค่เธอกดเสียงต่ำอ้าปากจะดุ คุณตาก็เตรียมตัวโอ๋หลานเสียแล้ว และยังเป็นคุณตาตามใจหลาน จนบางครั้งพิมพ์มาดาต้องคอยปรามเอาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นหลานชายอาจเสียคนกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจไปแล้วก็ได้
“น้องพร้อมอยากไปไหนไหมครับ หนูอยากกินอะไรไหม” หลังจากเสร็จกิจกรรม โรงเรียนก็ปิดทำการสอนในช่วงบ่าย ปล่อยให้เด็กและผู้ปกครองกลับบ้าน
บ้านของพิมพ์มาดาอยู่ในโซนตลาดเก่าของตัวอำเภอ เป็นตึกแถวสองชั้นสมัยเก่าที่มีอายุเท่าหญิงสาวก็ว่าได้ เพราะจำความได้ก็อยู่ที่นี่แล้ว ชั้นล่างของตึกเปิดเป็นร้านราดหน้ายอดผักที่มีลูกค้าประจำมาอุดหนุนเยอะพอสมควร เพราะเป็นเจ้าเก่าแก่ประจำตลาด และพิมพ์มาดายังทำโจ๊กขายในยามเช้าเพิ่มอีกอย่าง และมีแพลนว่าจะทำขนมปังส่งตามร้านกาแฟอีกด้วย
“น้องพร้อมอยากกินข้าวผัดฝีมือแม่ครับ” เด็กชายพูดเอาใจมารดา แต่ก็ไม่ได้เอาใจเสียทีเดียวเพราะใจจริงก็อยากกินข้าวผัด กินร้านไหนก็ไม่อร่อยเท่าฝีมือแม่ตัวเองเลยจริงๆ
“ได้สิครับ ถ้าอย่างนั้นเราแวะตลาดซื้อของก่อนนะ ในตู้เย็นของหมดพอดี”
“ครับ” สองแม่ลูกขับรถจักรยานยนต์ของคุณตามายังตลาดที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง เป็นตลาดเก่าแก่ร่วมร้อยปีที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ ทำให้มีผู้คนค่อนข้างพลุกพล่านไม่เงียบเหงา
เมื่อมาถึงบ้านพิมพ์มาดาก็พาลูกชายเข้าทางประตูด้านหลัง เพราะด้านหน้ายังมีลูกค้ามาทานราดหน้าหนาตา น้องพร้อมขึ้นไปยังห้องนอนถอดชุดนักเรียนลงในตะกร้า และหาเสื้อผ้าชุดลำลองมาสวมใส่ เพราะถูกผู้เป็นแม่สอนมาตั้งแต่เยาว์วัยว่าให้ช่วยเหลือตัวเอง อีกอย่างเด็กน้อยก็อยากแบ่งเบาภาระแม่ให้ได้มากที่สุด แม้จะยังเด็กนักที่จะช่วย แต่อย่างน้อยช่วยให้แม่เหนื่อยน้อยลงก็ยังดี
ข้าวผัดหมูส่งกลิ่นหอมลอยมาจากห้องครัวที่อยู่หลังร้าน ร่างจ้ำม่ำน่ากอดของน้องพร้อมเดินเข้ามาเกาะขอบเคาน์เตอร์ครัว ชะเง้อคอมองดูแม่กำลังผัดข้าวให้ตัวเอง
“ไปนั่งรอเถอะลูก เปิดทีวีดูก็ได้แม่อนุญาต” แม้ชั้นล่างจะเปิดเป็นร้านอาหาร ทว่าพิมพ์มาดาติดม่านกั้นแบ่งสัดส่วนไว้ให้มีพื้นที่เป็นส่วนตัว พอให้ลูกชายได้นั่งเล่น ดูทีวี ทำการ และบ้านอ่านหนังสือทบทวนความรู้
“ครับ” หนูน้อยเดินกลับออกไปยังด้านใน เพื่อเปิดทีวีดูตามที่มารดาอนุญาต
พิมพ์มาดาไม่ได้เลี้ยงลูกแบบตามใจมากนัก เธอยึดหลักการที่ว่าไม่มีใครสมหวังไปเสียทุกอย่าง ทุกคนย่อมพบเจอกับความผิดหวังทั้งนั้น เธอไม่อยากให้ลูกกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ เมื่อไม่ได้ก็โวยวายต่อต้าน
ดังนั้นการที่เธอค่อยสอนๆ ให้ลูกรู้จักการรอคอย การเห็นคุณค่าของแต่ละสิ่ง ว่ากว่าจะได้มาต้องแลกมากับอะไรนั้นย่อมสำคัญ แม้จะขัดใจกับคุณตาอยู่บ้างก็ต้องสู้กันสักตั้ง
การดูทีวีก็เช่นกัน แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่เธอกลับมองว่าการกำหนดช่วงเวลาในดูมีผลมากเช่นกัน อย่างน้อยก็ทำให้น้องพร้อมไม่จดจ่ออยู่แต่กับหน้าจอทีวี จนไม่สนใจสิ่งรอบข้างมากจนเกินไป ทำให้ลูกมีเวลาสนใจสิ่งที่อยู่รอบตัวและพร้อมจะเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้น
ทุกครอบครัวมีวิธีการเลี้ยงดูไม่เหมือนกัน เธอไม่ได้บอกว่าวิธีที่เธอทำดีที่สุด ถูกที่สุด แต่เธอแค่เห็นว่าเหมาะสมกับลูกเธอที่สุดก็แค่นั้นเอง