12 บ้านพักหลังเล็ก
เมื่อโรบินปฏิเสธ ไม่ยอมไปตามคำชวน เชิดจึงขอตัวไปดูสิ่งที่เจริญหูเจริญตา แม้ว่าวัยย่างเข้าหนุ่มใหญ่ แต่ร่างกายยังแข็งแรง มีกำลังล้นเหลือ จึงมีเบี้ยบ้ายรายทางเข้ามาในชีวิตเป็นประจำ
อรนลินพักอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ ห่างจากแหล่งชุมชน สงบเงียบตามที่เธอต้องการทุกอย่าง ภายในมีแค่เพียงหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องโถง มีห้องน้ำ แต่ความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น กาต้มน้ำร้อน แค่นี้สำหรับเธอก็พอแล้ว ในเมื่อเป็นคนอยู่ง่าย กินง่าย
ด้านหน้ามีต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขา เมษากลัวว่าเธอจะเหงาก็เลยให้พนักงานโรงแรมเอาชิงช้ามาผูกให้ โดยหันหน้ามองไปทางทะเล ซึ่งมีถนนกั้นอยู่ตรงกลาง
เมษาบอกว่า ถ้าเหงาก็โทรศัพท์ไปคุยกับเธอได้ หรือว่าอยากจะไปเที่ยวในวันที่เมษาหยุดงาน ก็จะเป็นไกด์ให้ แต่อรนลินปฏิเสธ ไม่อยากรบกวนเพื่อน
เธอเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า จัดใส่ตู้เสื้อผ้า เครื่องคอมพิวเตอร์วางเอาไว้บนโต๊ะที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องโถง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ อุปกรณ์ถักนิตติ้งจัดใส่ตะกร้าพลาสติกสานแบบหูหิ้ว เตรียมพร้อมสำหรับหยิบขึ้นมาถักได้ตลอดเวลา
เมื่ออยู่คนเดียว ในสถานที่เงียบสุดแสนเหงา อรนลินยังคงจมอยู่กับความทุกข์ ทั้งที่บอกกับตัวเองว่าจะตัดภูดิสออกไปจากหัวใจให้ได้ แต่สุดท้ายก็ลืมไม่ลง
จึงระบายออกมาเป็นตัวอักษร เขียนนวนิยายแนวดราม่า ผู้ชายเจ้าชู้มากรัก แต่ก็ทำไปได้แค่เพียงเล็กน้อย ใบหน้าที่มีรอยยิ้มหยันๆ ของพุทธิตาตามมาหลอกหลอน จึงยุติการทำงาน แล้วคว้านิตติ้งมาถักผ้าพันคอสีเทา โดยไม่รู้ว่าเสร็จแล้วจะเก็บเอาไว้ใช้เอง หรือให้คนอื่น
“ลิน จะกินยำแก้เซ็งไหม เราจะสั่งไปให้”
เสียงใสๆ ของเมษาดังขึ้น หลังจากอรนลินกดรับโทรศัพท์ ความซาบซึ้ง ปลื้มปริ่มเกิดขึ้น เพื่อนคนนี้ห่วงใยเธอตลอดมา ไม่เคยเสแสร้งแกล้งทำเหมือนพุทธิตา
“ไม่ล่ะ ขอบใจจ้ะเมษา เราจะกินมื้อเย็นทีเดียว”
“ดี เราจะพาไปกินของอร่อย ราคาไม่แพง เราเป็นเจ้าภาพเอง”
เมษาแสดงน้ำใจออกมาให้รับรู้ ทั้งที่ไม่มีมีเงินมากมาย ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนด้วยซ้ำ ต่างจากพุทธิตาที่เคยบอกว่ารักเธอมาก ชาตินี้จะเป็นเพื่อนที่ดีตลอดไป แต่ทุกครั้งที่ไปรับประทานอาหารด้วยกัน ส่วนใหญ่เธอเป็นคนออกเงิน พุทธิตาอ้างว่าลืมเอากระเป๋าเงินมา หรือไม่ก็เงินมาพอให้ออกไปก่อน แล้วจะใช้คืนคราวหน้า ซึ่งอรนลินไม่เคยที่จะเรียกเก็บย้อนหลัง
เธอจึงรู้ว่าเพื่อนแท้จึงดูกันในเวลาที่เดือดร้อน
“เมษา อย่าเลย เราจะช่วยออก”
“ได้ไง มาเยือนถึงถิ่นแล้วก็ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อสิจ๊ะ เอาน่า อย่าคิดมาก เราจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ไม่นำความทุกข์มาให้ โอเคนะคะ”
“จ้ะ ถ้าอย่างนั้นเราไปนั่งรับลมทะเลที่ชิงช้าก่อนนะ”
“ตามสบาย ขอให้มีความสุขกับการพักผ่อนในครั้งนี้ แล้วเจอกันตอนเย็น บายจ้ะเพื่อน”
เสียงสดใสตามสไตล์ของเมษาขาดหายไป อรนลินเอาโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนใส่กระเป๋ากางเกงขาสั้นเอาไว้ แล้วออกไปนั่งโล้ชิงช้า รับลมเย็นๆ ข้างหน้าเป็นถนน มีรถวิ่งสัญจรไปมา ถัดไปคือหาดทรายกว้าง มีต้นไม้ปลูกเป็นแนว ส่วนใหญ่จะเป็นต้นมะพร้าว และที่เห็นทีฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาคือทะเล เวลานั้นเกือบสี่โมงเย็น อากาศกำลังสบาย แสงแดดเริ่มโรย ท้องฟ้าสดใส มีปุยเมฆประปราย นกโบยบินขึ้นไปเป็นกลุ่มๆ
เสียงคลื่นยังคงซัดสาดเข้าหาฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเสียงเพลงตามธรรมชาติที่ยากจะสัมผัสได้ง่ายๆ เธอจะมีความสุขมากที่สุด ถ้าหากว่ามีคนรักอยู่เคียงข้าง คอยโล้ชิงช้าให้นั่ง
“ไม่มีอีกแล้ว มันคืออดีต”
เธอเผลอพูดออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวด ต่อการกระทำสุดแสนเลือดเย็น คิดแล้วเจ็บ จนจุก ขอบตาร้อนผ่าว หยาดน้ำตาเริ่มคลอ พยายามที่จะกล้ำกลืนฝืนเอาไว้ แต่ก็แพ้พลังแห่งความเศร้า สุดท้ายได้ปล่อยให้ไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
เจ็บเพราะเพื่อนกับคนรักทรยศ มันยากที่จะทำใจได้ นึกถึงทีไรเป็นต้องเสียน้ำตาทุกที แล้วเมื่อไหร่เธอจะรักษาแผลใจนี้ให้หายได้
ความเศร้าถูกทำลายลงด้วยเสียงสัญญาณเรียกเข้าของโทรศัพท์ หญิงสาวกดรับโดยไม่ดูเบอร์เพราะอยู่ในช่วงกำลังเบลอๆ